Latest

เด็กวัยก่อน 7 ขวบ สำคัญที่ต้องได้แคลอรี่เพียงพอ

ภาพวันนี้: ม่วงมงคล (ชื่ออย่างไม่เป็นมงคลคือ “โคลงเคลง”)

สวัสดีค่ะ คุณหมอสันต์

วันนี้ลูกชาย 3.9 ขวบแล้วค่ะ ไปโรงเรียน และยังกินเจอยู่ (บ้านเรากินเจ ไม่นม ไม่ไข่ 3 คน พ่อแม่ลูก ค่ะ) แต่จะมีเพิ่มขนมที่มีส่วนผสมของไข่และนมอยู่บ้าง เพราะโรงเรียนพากิน โรงเรียนเป็นมังสวิรัติค่ะ แต่ที่บ้านแม่ก็ไม่ได้ให้กินนมวัวหรือไข่ไก่เหมือนเดิมค่ะ ไม่อยากไปจุกจิกกับครูมากเกินไปค่ะ น้องแข็งแรงดีค่ะ มีเป็นอีสุกอีใสไปเมื่อ 2 เดือนก่อน เพราะติดจากคุณพ่อ เพราะคุณพ่อไปเจาะแผลงูสวัสให้คุณย่ามา 555 ด้วยความไม่รู้ว่าเป็นโรคติดต่อกันได้ ตอนคุณพ่อมีตุ่มขึ้น 2 ตุ่ม ก็สงสัยและรีบไปหาคุณหมอ ถึงได้รู้ว่าเป็นอีสุกอีใสค่ะ หลังจากนั้นก็แยกกันอยู่ แต่ก็ไม่ทัน ติดกันเรียบร้อย ทั้งแม่และลูกในอีก 2 อาทิตย์ถัดมา ตามระยะฟักตัวเลยค่ะ

ตอนที่แฟนไปหาคุณหมอ คุณหมอสงสัยว่าทำไมไม่มีไข้เลย เลยเช็คผลเลือดให้ พบว่าเลือดสมบูรณ์มาก แฟนแข็งแรงมาก (ทั้งที่ชอบกินมาม่าและน้ำอัดลมอยู่บ่อยๆ) และถามว่าฉีดวัคซีนโควิดหรือยัง แฟนตอบว่ายังไม่ได้ฉีดซักเข็มเลย คุณหมอบอกมีภูมิโควิดแล้ว เลยคิดว่า ไม่ใช่ติดกันทั้งบ้านไปแล้วเหรอนี่ แบบไม่รู้ตัวค่ะ

เมื่อวานกลุ่มแม่ๆ คุยกันเรื่องวัคซีนโควิด ว่ามีการเปิดจอง ลงทะเบียนสำหรับเด็ก 6 เดือน – 5 ปี ที่โรงพบาบาล … วันนี้โรงเรียนก็มีประกาศรายชื่อเด็กที่เคยลงทะเบียนจะฉีดไว้ พ่อ กับ แม่ ตั้งใจจะไม่ฉีดสักเข็มค่ะ แล้วก็ย้อนไปดูบทความเก่าของคุณหมอว่า จะต้องฉีดไปถึงเข็มที่เท่าไร และก็ไม่ได้อยากให้ลูกชาย 3.9 ขวบ ต้องฉีดด้วยค่ะ อยากจะรบกวนถามคุณหมอค่ะ ว่าคิดเห็นหรือมีเหตุผลกับวัคซีนเด็กปฐมวัยอย่างไรคะ เนื้อหาข่าว ตามไฟล์แนบค่ะ

กราบขอบพระคุณที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้ชีวิต ให้ข้อคิด และเป็นประโยชน์อยู่เสมอเลยเลยนะคะ

ชื่นชมคุณหมอสันต์มากค่ะ

…………………………………………………………………

ตอบครับ

ขอถือโอกาสนี้แจ้งข่าวแฟนบล็อกและเฟซบุ้คของผมว่าหมอสันต์ได้เลิกเขียนและเลิกตอบคำถามเรื่องวัคซีนโควิดมาหลายเดือนแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เฟซบุ้คของผมถูกปิด ทั้งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับทางการของไทยเรานะครับ ไม่เกี่ยวเลยโปรดอย่าได้เข้าใจผิด มันเกี่ยวกับผู้มีส่วนได้เสียในต่างประเทศล้วนๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับคนในประเทศไทย ผมยังตอบคำถามเรื่องโรคโควิดอยู่ แต่ว่า…ต้องไม่เกี่ยวกับวัคซีน (หุ..หุ)

ที่ผมหยิบจดหมายคุณขึ้นมาตอบก็เพื่อจะพูดถึงประเด็นหนึ่งซึ่งผมเห็นว่าสำคัญในกรณีเลี้ยงลูกด้วยอาหารแบบมังสวิรัติหรือวีแกน นั่นคือประเด็นการให้เด็กก่อนวัยเรียนอย่างลูกของคุณนี้ได้รับแคลอรีอย่างพอเพียง เพราะงานวิจัยพบว่าไม่ว่าจะเลี้ยงด้วยอาหารแบบไหน หากเด็กไม่ได้รับแคลอรี่พอเพียงจะทำให้การเติบโตของเด็กชะงักในสามสี่ปีหลังหยุดนมแม่ เพราะเมื่อแคลอรี่ไม่พอใช้ ร่างกายจะไปเบียดเอาโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาเผาผลาญให้พลังงานแทน ทำให้เด็กผอมหรือมีดัชนีมวลกายต่ำกว่าที่ควร

การจะให้ได้แคลอรี่เพียงพอมีหลักง่ายๆว่าให้เด็กได้กินจนอิ่ม กลไกที่จะทำให้อิ่มในกรณีที่ยังไม่เสพย์ติดรสชาติของอาหาร จะมีกลไกหลักคุมอยู่สองกลไกเท่านั้น คือ (1) เมื่ออาหารเต็มกระเพาะจนผนังกระเพาะถูกยืด เด็กจะอิ่ม และ (2) เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นถึงระดับหนึ่ง อินสุลินจะเป็นตัวแจ้งสมองให้เกิดความอิ่ม

สำหรับเด็กที่กินอาหารมังสวิรัติหรืออาหารวีแกน หากจัดอาหารที่ได้สัดส่วนของแคลอรี่สูงพอก็ไม่มีปัญหา แต่หากจัดอาหารให้มีสัดส่วนของใยอาหาร (กาก) มากเกินไป ปริมาณอาหารจะเต็มกระเพาะก่อนที่แคลอรี่จะเข้าไปในร่างกายได้เพียงพอต่อความต้องการ เพราะใยอาหารเป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ แม้แต่ผลไม้ซึ่งรสหวานก็ยังจัดเป็นอาหารที่มีสัดส่วนของกากสูงสัดส่วนของแคลอรี่ต่ำ

การจะแก้ปัญหานี้ต้องให้เด็กได้กินอาหารที่ให้แคลอรีสูงมากขึ้นโดยให้มีสัดส่วนของใยอาหารต่ำลง อาหารไขมันเป็นอาหารให้แคลอรีสูงที่สุด จึงควรให้กินอาหารไขมันเช่น อะโวกาโด ถั่วต่างๆ งา นัทต่างๆ น้ำมันมะกอก เป็นต้น อาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นอาหารให้แคลอรีครึ่งหนึ่งของอาหารไขมันแต่ร่างกายก็นำไปสร้างเป็นพลังงานได้เร็วที่สุด จึงควรเน้นอาหารคาร์โบไฮเดรตด้วย เช่น ธัญญพืชอย่างข้าว ขนมปัง เมล็ดพืชทุกชนิด พวกหัวใต้ดินที่ให้แป้ง เช่น มันเทศ มันฝรั่ง เพื่อให้เด็กได้แคลอรีเพียงพอในพื้นที่กระเพาะอาหารอันจำกัด

ควบคู่กันไปต้องเปิดให้เด็กได้ออกกำลังกายเต็มที่และได้นอนหลับอย่างเสรี เพราะยิ่งออกกำลังกายมากยิ่งได้นอนหลับมาก ยิ่งมีฮอร์โมนการเติบโตออกมามาก ร่างกายยิ่งสร้างมวลกล้ามเนื้อได้มาก เด็กยิ่งเติบโตดี การให้เด็กได้หลับมากนี้ต้องยอมให้ผลการเรียนลดลง หรือแม้จะถูกลดชั้นก็ยอม หรือแม้ต้องย้ายมาอยู่โรงเรียนใกล้บ้านซึ่งสู้โรงเรียนเก่าที่อยู่ไกลไม่ได้ก็ยอม เพราะวัยนี้การได้วิ่งเล่นและได้นอนหลับสำคัญและเป็นประโยชน์กับเด็กมากกว่าสิ่งใดๆที่เด็กจะได้จากโรงเรียน

ในความเห็นส่วนตัวของหมอสันต์ ช่วงอายุ 1-7 ปีซึ่งเป็นวัยที่กฎหมายยังไม่บังคับให้ไปโรงเรียน เด็กไม่ควรไปโรงเรียนเลยจะดีที่สุด เพราะวัยนี้เด็กจะมีพัฒนาการที่ดีกว่า มีสุขภาพดีกว่า หากได้กินๆเล่นๆนอนๆอยู่นอกโรงเรียน ผมไม่เชื่อว่าการให้เด็กไปโรงเรียนช้า(คือ 7 ขวบเมื่อกฎหมายบังคับ) พอเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะโง่กว่าหรือมีความสามารถน้อยกว่าหรือมีพัฒนาการด้อยกว่าคนที่ไปโรงเรียนเร็ว เพราะผมไม่เคยเห็นงานวิจัยแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะบ่งชี้ว่ามันเป็นเช่นนั้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์