Latest

เรื่องไร้สาระ (31) ไปเที่ยวงานคาวบอยมวกเหล็ก

วันนี้เสร็จจากแค้มป์ RDBY25 ซึ่งสอนติดต่อกันมาสี่วัน ผมหมดแรงนอนตากแดดบนสนามหน้าบ้านสักพักแล้วก็หลับไป ตื่นขึ้นมาก็ตะวันตกพอดีจึงชวนหมอสมวงศ์ไปซ้อมวิ่งจ๊อกกิ้งเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าวิ่งที่สมัครไว้แล้ว เขาจะจัดขึ้นที่ฟาร์มโคนมมวกเหล็ก ตกค่ำก็รู้สึกตาสว่างและมีเรี่ยวมีแรงดีจึงชวนกันไปเที่ยวงานเทศกาลคาวบอยในตลาดมวกเหล็ก ความจริงควรจะไปเมื่อวานเพราะได้ข่าวว่ามีลุงหงา (สุรชัย จันทิมาธร) มาดีดกีตาร์ร้องเพลงด้วย แต่ติดงานสอนอยู่ไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไปวันนี้แทนละกัน

เด็กตัวเล็กตัวน้อยชักหุ่นกระบอกที่ตัวเองทำมาอยู่หลังม่านดำ

ในงานคนเยอะมาก ส่วนใหญ่แต่งตัวเป็นคาวบอยสวมหมวกปีก บางคนแต่งตัวเกือบเหมือนคาวบอย ถ้าเอากะทะหรือกะละมังที่มัดติดพุงใบนั้นออกก็จะเหมือนคาวบอยตัวจริงเลย (ฮิ ฮิ)

ที่เป็นหญิงสาวแต่งตัวเป็นคาวบอยก็มี ความจริงต้องเรียกว่าคาวเกิร์ลจึงจะถูก สวมหมวกปีกกว้าง คาดเข็มขัดกระสุน และพกปีน แต่ว่าขึ้นขี่ม้าไม่ได้นะ เพราะกระโปรงของเธอสั้นจู๋และแค้บ แคบ ถ้าขี่ม้ามีหวัง..แคว่ก..ก

มีวงดนตรีร็อคชื่อวงอะไรไม่ทราบแต่งตัวแบบคาวบอยเล่นเพลงฝรั่งซึ่งผมไม่รู้จักอยู่บนเวที ผู้ฟังนั่งฟังกันบนกองฟางบ้าง บนสนามหญ้าบ้าง คะเนจำนวนผู้ฟังในสนามมีไม่ต่ำกว่าสองพันคน เสียงดนตรีดังยิ่งกว่าเสียงระเบิด มันไม่แสบแก้วหู แต่มันกระแทกหน้าอก บึก บึก บึก จนผมรู้สึกว่าหากอยู่ละแวกใกล้เวทีนานๆอาจเกิด blunt trauma คือหัวใจบาดเจ็บจากการถูกกระแทกได้

นักแสดงที่น่ารักพากันแนะนำตัวตอนจบ บางคนภาษาไทยยังไม่แข็งแรง

เดินมาตามถนนที่คนเที่ยวงานแน่นขนัดก็เห็นโปสเตอร์ชวนให้เข้าไปชมละครหุ่นและละครใบ้ ในโปสเตอร์แสดงภาพดาราซึ่งเป็นเด็กๆชายหญิงระดับประถมหน้าตาบ้องแบ๊วน่ารักราวสิบคน เราสองตายายจึงตัดสินใจเข้าไปชม เขาให้เข้าชมฟรี เป็นห้องติดแอร์มีม้านั่งทำด้วยไม้ไผ่ง่ายๆให้ผู้ชมนั่ง ผู้ชมส่วนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กนั่งชมกันอยู่บนพื้นหน้าเวที มีม่านสีดำกั้น เด็กผลัดกันออกมาแสดงละครใบ้ แล้วก็เริ่มแสดงละครหุ่นโดยเด็กๆตัวเล็กตัวน้อยนั่งอยู่หลังม่านสีดำชักหุ่นกระบอกซึ่งเด็กๆทำขึ้นมาจากวัสดุเหลือใช้ในบ้าน เล่นเป็นละครเล่าเรื่องชีวิตของกุ้งหอยปูปลาในคลองมวกเหล็กซึ่งกำลังถูกมลภาวะไล่ที่ แสดงได้แป๊บเดียวก็จบ แล้วเหล่านักแสดงก็ออกมายืนหน้าม่านแนะนำตัวกับผู้ชม บางคนก็พูดภาษาไทยไม่ได้เพราะเป็นเด็กต่างชาติจากโรงเรียนนานาชาติที่ม.เอเซียแปซิฟิกซึ่งตั้งอยู่ในมวกเหล็กนี่เอง แต่ก็น่าพิศวงที่เด็กจากหลายโรงเรียนมาทำกิจกรรมร่วมกันได้อย่างกลมกลืนน่ารัก

เสร็จจากชมละครหุ่นของเด็กๆ เราแวะไปอาคารริมถนนอีกอาคารหนึ่งซึ่งเขียนป้ายชวนให้เข้าชมนิทรรศการเล่าเรื่องเมืองมวกเหล็ก มีไกด์กิตติมศักดิ์นำชมด้วย ในโถงแสดงภาพเก่าๆเล่าวิถีชีวิตชาวมวกเหล็กตั้งแต่สมัยอยู่กระต๊อบใช้โคเทียมเกวียนมาจนสมัยเลี้ยงวัวนมรีดนมวัว มีภาพถ่ายมุมสวยๆงามๆของเมืองหลายภาพ ที่ผมชอบใจมากเป็นพิเศษคือภาพสพานรถไฟข้ามคลอองมวกเหล็กซึ่งเปรียบเทียบให้เห็นตั้งแต่สมัยร.5 กับสมัยปัจจุบัน

เสือลายเมฆกำลังเดินผ่านกล้อง

แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์ผมมากที่สุดก็คือภาพและวิดิโอคลิปที่ได้จากการตั้งกล้องอัตโนมัติทิ้งไว้ที่ป่าชุมชนบ้านมวกเหล็กใน ต. มิตรภาพ อ.มวกเหล็ก ซึ่งเป็นผืนป่าเล็กๆเนื้อที่ 514 ไร่ ทำให้ได้ทราบว่าสัตว์ที่เดินผ่านกล้องดังกล่าวมีสัตว์ป่าที่หายากซึ่งผมไม่เคยคิดเลยว่าจะยังมีอยู่ในมวกเหล็ก เช่นเสือดาวลายเมฆ แมวดาว เลียงผา หมีชนิดต่างๆ กระทิง หมูป่า เป็นต้น ป่าชุมชนแห่งนี้เป็นพื้นที่ปิดจึงรักษาสภาพธรรมชาติและสัตว์ป่าไว้ได้ดีเยี่ยมจนผมตั้งใจว่าจะต้องหาเวลาไปเยี่ยมสักครั้ง

หมีก็มีหลายชนิด ตัวนี้เรียกว่าหมีอะไรจำไม่ได้แล้ว
เลียงผาแม่ลูก ซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นสัตว์สูญพันธ์ไปแล้ว

น่าเป็นห่วงนิดหนึ่งตรงที่ป่าชุมชนแห่งนี้อยู่ติดกับเหมืองขุดปูนซิเมนต์ของบริษัทเอกชนหนึ่งซึ่งกำลังคิดอ่านจะขยายเขตสัมปะทานเข้ามาในผืนป่าแห่งนี้อยู่ทุกลมหายใจเข้าออกและเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชุมชนในอำเภอมวกเหล็กอยู่เนืองๆ ผมเข้าใจว่านักอุตสาหกรรมหรือเจ้าของกิจการก็ย่อมจะคิดแต่จะขยายกิจการเพิ่มยอดขายให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งมันเป็นธรรมดาของการทำธุรกิจ เหมือนกับผมสมัยที่เป็นหมอผ่าตัดหัวใจก็คิดแต่จะทำผ่าตัดหัวใจให้คนไข้ให้ได้มากที่สุด เหมือนกับว่าเราถูกปั้นให้มาทำสิ่งนั้น เราก็มุ่งมั่นที่จะทำ ทำ ทำ มันให้ได้แบบสุดๆไปเลย อันนี้ผมเข้าใจได้

อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นแบบที่บ้านเรียกว่าควายนะ นี่เขาอยู่ป่า เรียกว่ากระทิง
แมวดาว ไม่ใช่เสือดาว

แต่ว่านอกจากงานอาชีพหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ทำแล้ว เราทุกคนยังเป็นอีกอย่างหนึ่งเหมือนกันหมด คือเป็น “คน” เหมือนกัน ในความเป็นคนนี้ทุกคนย่อมจะมีสำนึกผิดชอบชั่วดี มีสำนึกที่จะแบ่งปันโลกใบนี้ให้สัตว์อื่นได้อยู่อาศัยบ้าง ที่จะรักษาสิ่งสวยๆงามๆไว้ให้ลูกหลานได้ดูบ้าง และที่จะรู้จักทำอะไรเพื่อสนองความอยากของตนแค่ “พอดี”

ดังนั้นผมจึงหวังว่าด้วยความเป็น “คน” ของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับผืนป่าแห่งนี้ สัตว์ป่าหายากในผืนป่าชุมชนบ้านมวกเหล็กในนี้จะยังได้มีชีวิตอยู่ต่อไป คงจะไม่ถูกขยายเป็นเขตสำประทานให้ระเบิดปูนซิเมนต์เพื่อเอาไปขายเป็นกำไรให้ผู้ถือหุ้นบริษัทปูนเสียหมด

เอ๊ะ เที่ยวงานเทศกาลคาวบอยอยู่ดีๆไหงมาลงที่ความเป็นห่วงสัตว์ป่าได้เนี่ย จบดีกว่า

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์