Latest

ความทุกข์ของลูกกตัญญู

เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ
ดิฉันเป็นแฟนด้อมคุณหมอคะ ชอบอ่านเรื่องจิตวิญญาณมากๆ คุณหมออธิบายได้ตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย เป็นบทความที่มีคุณค่ามาก ขอบคุณเหลือเกินค่ะ
ขอเข้าเรื่องเลยนะคะ ดิฉันเกษียณ ตั้งใจมาดูแลคุณพ่อค่ะ คุณพ่ออายุ 85 ปีแล้ว เป็นโรคยอดนิยมทุกอย่าง เบาหวาน ความดัน ไขมัน หัวใจและต้องฟอกไตสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ใช้ชีวิตกึ่งติดเตียง ดิฉันดูแลคุณพ่อเต็มเวลา 24 ชั่วโมง การดูแลโดยทั่วไปก็ราบรื่นดีค่ะ แต่ที่มีปัญหามาปรึกษาคุณหมอก็คือ คุณแม่ที่อายุเท่ากับคุณพ่อ ซึ่งท่านยังแข็งแรงทำอะไรเองได้ ท่านยังไม่ทิ้งนิสัยแม่บ้านที่ชอบหาของอร่อยมาให้สามีทาน โดยไม่สนใจว่าอาหารนั้นคนป่วยจะสมควรทานหรือไม่ ไม่ว่าดิฉันจะเพียรบอกอย่างไร ท่านก็ไม่สนใจ ดิฉันคิดว่าคุณแม่มีความสุขกับการเห็นคุณพ่อทานอาหารที่ท่านจัดหามาอย่างเอร็ดอร่อย
ขณะที่ดิฉันก็เป็นคนเป๊ะเว่อร์ โดยเฉพาะเรื่องอาหาร คุณพ่อเป็นหลายโรค ดิฉันพยายามหาอาหารที่ลดมัน ลดหวาน ลดเค็ม แล้วหมอโรคไตก็ห้ามกินผลไม้สีสัน เบเกอรี่ และธัญพืช เพราะคุณพ่อเคยมีอาการเกร็ง อาการเจ็บหน้าอกจนต้องตื่นกลางดึก คุณหมอบอกว่าเกิดจากอาหารพวกถั่วและผลไม้สีสัน คุณพ่อจึงมีอาหารที่ต้องเลี่ยงหลายอย่าง
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ดิฉันจะจัดอาหารที่จืดลง ลดข้าวในจาน เพิ่มผัก ผลไม้ ลดของหวาน คุณพ่อก็ทานได้ไม่มีปัญหา เพราะเป็นคนกินง่าย แต่ระหว่างทาน คุณแม่ก็จะมานั่งด้วยพร้อมชวนคุณพ่อทานกับข้าวที่ท่านทำหรือซื้อมาให้ ซึ่งเป็นของชอบคุณพ่อ เช่น ขาหมู คากิ หมูทอด ฯลฯ ทั้งเค็ม ทั้งมัน บ่อยครั้งก็เป็นของหวานแบบจัดเต็ม คงไม่ต้องบอกว่าคุณพ่อจะเลือกทานอะไร ดิฉันเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ปล่อยแบบนี้คุณพ่อจะแย่ ก็พยายามบอกคุณแม่ด้วยเหตุด้วยผล ท่านก็ไม่ค่อยฟัง ไม่พอใจ เถียงว่าคนป่วยก็ต้องกินอร่อยๆจะได้มีความสุข มันจะอะไรกันนักหนา เคยกินเคยอยู่กันมาแบบนี้ บลาๆ เมื่อคุณแม่ยังคงไม่สนใจ ทำเหมือนเดิม ที่สุดดิฉันยกจานอาหารของท่านออกไปจากโต๊ะเลย (ซึ่งยอมรับว่าไม่เหมาะสม แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว)
ปัญหานี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างดิฉันกับคุณแม่แย่ลง ท่านไม่พอใจดิฉันไปเสียทุกอย่าง ดิฉันไม่อยากทะเลาะด้วย จึงไม่พูดด้วย ต่างคนต่างอยู่ จนถึงเวลานี้เราแทบไม่พูดกันเลย ทั้งที่เมื่อก่อนนี้เราเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พากันไปดูหนัง ฟังเพลงด้วยกัน จนพี่น้องยังบอกว่าดิฉันสนิทกับคุณแม่มากกว่าใคร
คำถามค่ะ
1) ดิฉันควรจัดการความสัมพันธ์กับคุณแม่อย่างไรดี จริงๆปัญหาระหว่างดิฉันกับแม่มีเพียงเรื่องเดียวคือเรื่องอาหารของคุณพ่อ ดิฉันคิดจะหลีกทางให้คุณแม่ เขาอยู่ด้วยกันมานานกว่า 60-70 ปี มีวิถีการกินที่คุ้นเคย วันนี้คุณแม่ก็ชราเกินกว่าจะปรับตัว ถ้าดิฉันปล่อยให้คุณแม่ทำตามใจ ความสัมพันธ์ของเราก็จะดีขึ้น ที่สำคัญ เชื่อว่าคุณแม่ซึ่งอายุท่านก็มากแล้ว ท่านคงเครียด ไม่มีความสุข ดิฉันกลัวว่าสร้างคนป่วยเพิ่มขึ้นอีกคน ส่วนปัญหาสุขภาพคุณพ่อนั้น ดิฉันควรต้องปล่อยวาง ถือคติสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หรือวางใจในจักรวาลอย่างที่คุณหมอบอกไหมคะ ถ้าเลือกทางนี้ ดิฉันสงสารคุณพ่อค่ะ ท่านคงต้องพบปัญหาสุขภาพตามมาแน่ ขอคุณหมอแนะนำวิธีทำใจด้วยค่ะ
2) กรณีนี้ นอกจากคุณแม่ คุณพ่อก็ไม่พอใจดิฉันที่ห้ามโน่น ห้ามนี้ เห็นของอร่อยมาวางตรงหน้า แต่ก็โดนดิฉันกดดันไม่ให้ทานบ้าง ตักให้ครึ่งเดียวบ้าง ท่านก็ไม่พอใจ ถึงจะบอกเหตุผลไปก็จะไม่สนใจ เพราะอดใจไม่ได้ จนหลังๆชักเหม็นหน้าดิฉันแล้ว ดิฉันกำลังทำคุณบูชาโทษอยู่รึเปล่าค่ะ มันต้องมีอะไรผิดแน่ๆ ทั้งที่เราทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อเขา ดิฉันทำผิดอะไรไปค่ะ
3) ผู้ป่วยโรคไต หัวใจ ความดัน เบาหวาน อย่างคุณพ่อ ไม่ควรทานถั่ว ธัญพืช ผักผลไม้ที่มีสีเข้ม จริงหรือค่ะ อย่างนั้นคงเหลือผักผลไม้ไม่กี่ชนิดที่ทานได้ ถั่วนี่ของโปรดคุณพ่อเลย เคยงดไป การขับถ่ายมีปัญหาเลย เราทานบ้างวนๆไปได้ไหมค่ะ มันส่งผลอะไรต่อร่างกาย เกี่ยวกับอาการเกร็งขาตอนกลางคืน หรืออาการแน่นหน้าอก รึเปล่าค่ะ
4) ดิฉันเกษียณมาโดยต้องการใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีคุณค่า สะสมความดี ที่ผ่านมาใช้ชีวิตทำงาน หาเงิน แสวงหาความสุขเพื่อตัวเองมาตลอด ต่อจากนี้ตั้งใจจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อประโยชน์คนอื่น คือดูแลคุณพ่อคุณแม่ และไม่ขอความช่วยเหลืออะไรจากพี่น้อง เพื่อให้พี่น้องได้มีเวลาไปดูแลตัวเองและครอบครัว แต่ตอนนี้ชีวิตเกษียณของดิฉันกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง ดูแลคุณพ่อ ก็ขัดใจคุณพ่อ โดยเฉพาะเรื่องอาหาร และขัดใจคุณแม่ ทำให้ท่านไม่มีความสุข ตัวเองก็เหนื่อย ทุกๆวันจิตใจก็ขุ่นมัว กลัวจะติดนิสัยไปจนถึงตอนแก่ กลายเป็นคนแก่ขี้หงุดหงิด ไม่มีชีวิตที่ สงบ เย็น และสร้างสรรค์ ดิฉันควรจะวางจิตใจอย่างไรดีค่ะ ตั้งใจจะมาเป็นนางฟ้า ไหงกลายร่างเป็นซาตานไปซะงั้น
คุณหมอจะตอบหรือไม่ก็จะเป็นแฟนคลับตลอดไปค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

…………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าจะดูแลอาหารการกินให้คุณพ่อ คุณแม่ก็มาขัด จะรับมือกับทั้งคุณพ่อคุณแม่อย่างไรดี ตอบว่าผมจะสอนหลักพื้นฐานวิชาแพทย์สักสองสามข้อให้คุณเอาไปใช้นะ เพราะคุณทำหน้าที่ดูแลสุขภาพของคุณพ่อคุณแม่ ก็คือคุณต้องทำหน้าที่แพทย์นั่นเอง

หลักพื้นฐานวิชาแพทย์มีอยู่ว่า เราจะไม่ทำร้ายคนไข้ นั่นประการหนึ่ง เราจะไม่ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ นั่นอีกประการหนึ่ง และเราจะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของคนไข้ นั่นอีกประการหนึ่ง
เอาหลักไม่ทำร้ายก่อน อย่างน้อยตอนนี้คุณทำร้ายจิตใจของคุณแม่และคุณพ่อโดยการใช้อำนาจของความเป็นลูกเข้าไปบังคับจัดการเอาอย่างใจตัวเองข้างเดียว คุณผิดไปหนึ่งหลักแล้วนะ

แล้วหลักไม่ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ละมันเป็นอย่างไร คุณต้องเข้าใจว่าสิ่งที่มีประโยชน์ในทางการแพทย์มีอยู่สองอย่างเท่านั้น คือ (1) ความยืนยาวของชีวิต (2) คุณภาพชีวิต ที่เหลือนอกจากสองข้อนี้ล้วนเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ในทางการแพทย์

เอาประเด็นความยืนยาวของชีวิตก่อน คนอายุ 85 ปีพูดแบบบ้านๆก็คือใช้สัมประทานไปหมดแล้วรอแต่ว่าเมื่อไหร่เขาจะมาเรียกกลับ ในทางการแพทย์อายุขนาดนี้ก็มักจะไม่ทำการรักษาแบบรุกล้ำใดๆแล้ว ดังนั้นถ้าผมเป็นคุณผมจะไม่พยายามขยายความยืนยาวของชีวิตของคนอายุปูนนี้ออกไปเพราะพยายามไปก็อาจจะได้แค่นิดหน่อยแต่ต้องแลกกับอะไรที่แยะจนไม่คุ้มกัน การดื้อดึงทำสิ่งซึ่งรู้ๆอยู่ว่าแทบจะไม่มีผลอะไรต่อความยืนยาวของชีวิตเพราะชีวิตได้ยืนยาวมาจวนเจียนจะสุดขอบของมันแล้ว นั่นแหละคือการทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์

ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะหันมาสนใจประเด็นคุณภาพชีวิตมากกว่า ว่าทำอย่างไรจะให้คุณภาพชีวิตของท่านดีขึ้น ตอนผมเป็นนักเรียนแพทย์ที่ปกสมุดของนักเรียนทุกคนจะปั๊มโลโก้ไว้ว่า “อัตตานัง อุปมัง กเร” ผมแปลง่ายๆว่าถ้าเราเป็นคนไข้ในสภาพอย่างนี้เราจะคิดอย่างไร คุณก็ใช้หลักนี้เลย สมมุติว่าคุณอายุ 85 ปี นอนกึ่งติดเตียงแบบคุณพ่อ คุณอยากทำอะไรให้คุณภาพชีวิตของคุณดีขึ้นบ้าง คุณจะกินอะไร จะอยู่อย่างไร จะทำอะไร นั่นแหละ คือคำตอบว่าคุณควรจะเพิ่มคุณภาพชีวิตให้คุณพ่อได้อย่างไร อย่าไปคิดจากมุมของลูกสาวดีเด่นในสายตาของชาวบ้านเพราะคำตอบที่ได้ไม่ใข่คำตอบที่คุณพ่ออยากได้

ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะยิ้มให้คุณพ่อคุณแม่ทุกครั้งที่เจอหน้าท่าน เพราะแค่คุณยิ้มให้คุณภาพชีวิตของท่านทั้งสองก็ดีขึ้นแล้ว

ผมจะเปิดให้ทั้งสองท่านได้โอ๋ได้เอาใจกันเพราะเวลาที่ท่านจะอยู่ด้วยกันก็เหลือไม่มาก เปิดให้ท่านได้กินอะไร ได้ทำอะไรที่ท่านอยากกินอยากทำ หากคุณอยากจะสอดแทรกอะไรด้วยความหวังดี อย่างมากก็แค่สอดแทรกหลักธรรมะซึ่งมีประโยชน์สำหรับบั้นปลายชีวิต เช่นชวนฝึกสติสมาธิ ชวนฝึกผ่อนคลายร่างกาย เป็นต้น

2.. ถามว่าผู้ป่วยโรคไต หัวใจ ความดัน เบาหวาน อย่างคุณพ่อ ไม่ควรทานถั่ว ธัญพืช ผักผลไม้ที่มีสีเข้ม จริงหรือคะ ตอบว่าไม่จริงหรอกครับ คำสอนแบบนั้นมันเป็นคำสอนตามความเชื่อในคอนเซ็พท์บางอย่างแต่ไม่ใช่หลักฐานวิทยาศาสตร์ เพราะหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่ทำวิจัยได้ในคนตัวเป็นๆบ่งชี้ว่าอาหารที่ดีที่สุดของผู้ป่วยโรคเรื้อรังรวมทั้งโรคไตคืออาหารพืชเป็นหลัก ซึ่งก็คือทุกอย่างที่คุณรับฟังมาว่าหมอห้ามกินนั่นแหละ คุณควรจะขวานขวายไปหามาให้ท่านกิน รายละเอียดเกี่ยวกับความเข้าใจผิดสับสนระหว่างไฟเตทกับฟอสเฟตจนนำไปสู่การห้ามผู้ป่วยโรคไตกินถั่วกินนัทนั้นผมพูดไปบ่อยแล้ว ไม่ขอพูดซ้ำ คุณไปหาอ่านเอาเอง

3.. ถามว่าตัวเองจะวางจิตใจอย่างไรดีจึงจะไม่กลายเป็นคนแก่ขี้หงุดหงิดไม่สงบเย็น ตอบว่า..อ้าว ก็ไหนคุยว่าเป็นแฟนหมอสันต์ชอบอ่านเรื่องจิตวิญญาณมากๆ แล้วที่อ่านมาไปไหนเสียหมดละครับ (หิ หิ เปล่าต่อว่า แค่ล้อเล่น) เอาเป็นว่าผมซักซ้อมความเข้าใจคอนเซ็พท์ชีวิตง่ายๆกับคุณสักอย่างสองอย่าง

คอนเซ็พท์แรกก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา วันนี้พูดถึงแค่ “อนัตตา” ตัวเดียวก็พอ ปัญหาของคุณคือ “อัตตา” ของความเป็นลูกกตัญญูมันใหญ่คับฟ้าจนพ่อแม่ต้องมาเป็นทุกข์เพราะมีลูกใหญ่ระดับบ้าอำนาจ คุณก็แค่เอาคอนเซ็พท์อนัตตามาใช้สิครับ ว่าความอยากเป็นลูกกตัญญูระดับที่ชาวบ้านมองกันด้วยสายตาชื่นชมนั้นมันเป็นแค่บทละครที่คุณเขียนขึ้นมาเอง มันไม่ใช่ของจริง เวลาเล่นละครบทนี้คุณไม่ต้องอินมากจนพ่อแม่กระเจิดกระเจิงก็ได้ เอาแค่พอดีๆ

คอนเซ็พท์ที่สองก็คือการอยู่นิ่งๆตรงกลาง มัชฌิมา ปฏิปทา อยู่นิ่งๆตรงกลาง ไม่แกว่งไปหาหรือไปกอดรัดสิ่งที่ใจชอบ ไม่แกว่งหนีสิ่งที่ใจไม่ชอบ เพราะใจนั้นมันเป็นแค่ความคิดหรือคอนเซ็พท์ชั่วคราว ไม่ใช่ของจริง ให้คุณอยู่นิ่งๆตรงกลาง มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ยอมรับมันทั้งหมด acceptance ยอมรับ ยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ยอมรับมันตามที่มันเป็น ท่องคาถาสี่บทของหมอสันต์ทุกวัน ขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย เมตตา

ควบคู่กับคอนเซ็พท์อนิจจังทุกขังอนัตตา และคอนเซ็พท์มัชฌิมาปฏิปทา ให้คุณฝึกสร้างความช่ำชองในการใช้เครื่องมือวางความคิด กรณีของคุณผมแนะนำให้ใช้เครื่องมือชิ้นเดียวให้เป็น คือผ่อนคลายกล้ามเนื้อ relaxation ซึ่งคุณประเมินผลการใช้ได้ด้วยตัวเองด้วยการมองหน้าตัวเองขณะยิ้มกับกระจก ยิ้มกับพ่อแม่ ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ทำแค่นี้อย่างเดียวทุกวันก็พอ แล้วคุณจะบรรลุธรรม และคุณพ่อคุณแม่ของคุณก็จะได้อานิสงส์ มีความสุขไปด้วย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

………………………………………………….