Latest

ปรึกษาเรื่องความทุกข์จากการโดนนอกใจ

(ภาพวันนี้: โครงการเกษตรหลังตรง)

เรียน คุณหมอสันต์ ที่เคารพ

         ผมประสบความทุกข์ใจากภรรยาที่แต่งงานกันมา  20 ปี หมดใจและไปคบกับรุ่นน้องที่ทำงานที่อายุห่างกัน 16 ปี ผมได้ขอร้องให้เห็นแก่ลูกสาวทั้งสองคนที่ยังเรียนอยู่แค่ระดับมัธยมปลายและต้น
        หลังจากเขาคบกันได้ประมาณ 9 เดือน ผมเพิ่งจะทราบและขอร้องเขา ตอนนี้ผ่านมา 3 เดือน เธอขอหย่าผมแต่ผมยังขอร้องอยู่ เธอบอกว่าผมมีความสุขกับสถานะอย่างนี้เหรอ ผมขออนุญาตเรียนถามคุณหมอสันต์ดังนี้นะครับ

1.  ผมอยากทราบว่าผมตัดสินใจถูกหรือไม่ที่ขอยื้อเธอไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้  เพราะผมไม่อยากให้ลูกมีปม เพราะเด็กทั้ง 2 คน พื้นฐานเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับภายนอก ผมกลัวเด็กๆจะรับไม่ไหว

2 . ผมต้องใช้ยานอนหลับเพื่อให้นอนได้ในช่วงแรก  ตอนนี้ผมคิดว่าโชคดีที่ได้เปิดเจอเพจคุณหมอสันต์  ได้มีโอกาสอ่านเรื่อง  spirituality และการทำ  meditation ซึ่งช่วยให้เอาหลักการมาฝึกปฏิบัติ เพื่อให้สามารถนอนหลับได้เองบ้าง  เลยมีคำถามในด้านนี้ว่าถ้าเราปล่อยวางและเข้าถึงความไม่ยึดตัวตนของเราแล้ว  เป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ต่อของมนุษย์เราคืออะไรครับ  อะไรที่จะเป็นตัวผลักดันให้เรายังต้องทำงานภายใต้สภาวะสังคมที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรงกันอยู่ครับ

           กราบขอบพระคุณคุณหมอสันต์เป็นอย่างสูง

ส่งจาก iPhone ของฉัน

………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าเมียขอหย่าแต่ตัวเองขอยื้อไว้เป็นการตัดสินใจถูกหรือผิด ตอบว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีถูกไม่มีผิดครับ

ถ้าเป็นผู้ชายทั่วไปเมื่อเมียเสนอออกวีซ่าตลอดชีพให้อย่างนี้ก็ต้องรีบคว้ามับทันที หิ หิ

แต่คนที่ยึดมั่นอยู่กับคอนเซ็พท์ชั่วดีถี่ห่างอย่างคุณนี้ก็จะคิดห่วงลูกห่วงเต้าก่อนเรื่องอื่น

ดังนั้นเรื่องนี้ถูกผิดไม่มี คุณต้องตัดสินใจะเอาเอง ผมทำได้อย่างมากแค่แชร์ประสบการณ์ของชายแก่อายุเจ็ดสิบ ดังนี้

  • พังเพยโบราณมีว่าคนอยากแต่งงานหรืออยากจะหย่า พระอยากจะสึก อย่าไปขวาง เพราะยังไงก็ขวางไม่อยู่ ไม่เล็ดออกไปทางใดก็ต้องเล็ดออกไปทางหนึ่งจนได้ นั่นประการหนึ่ง
  • การหย่าร้างเป็นชีวิตจริงของคู่สมรสราว 53% ทั่วโลก พูดง่ายๆว่าสมัยนี้คู่สมรสที่จบลงด้วยการหย่าร้างจะกลายเป็นส่วนใหญ่ไปเสียแล้ว ดังนั้นคุณไม่ควรตื่นเต้ลล์ นั่นอีกประการหนึ่ง
  • การแต่งงานกัน ในแง่กฎหมายคือการมีเจตนาตรงกันของคนสองคน เมื่อเจตนาไม่ตรงกันเมื่อใด ว่ากันตามตัวบท สัญญาอันนั้นเป็นโมฆียะไปแล้วเรียบร้อย ขึ้นศาลไหนฝ่ายจะเลิกก็จะเป็นฝ่ายชนะทุกที นั่นอีกประการหนึ่ง ถึงคุณจะอ้างกับศาลว่าคุณเป็นคนดี แต่ศาลก็ไม่นับ เพราะการพิจารณาความละเมิดสัญญา จะพิจารณากันแต่ประเด็นเจตนาตรงกันหรือไม่ตรงกันเป็นหลัก ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งการเป็นคนดีกลับจะเป็นข้อให้อีกฝ่ายหนึ่งถือเป็นข้อชิงชังรังเกียจเสียอีก ตัวอย่างหนึ่งในชีวิตจริง สมัยผมเป็นแพทย์ฝึกหัด ผมลุ้นเพื่อนซึ่งเป็นพยาบาลห้องฉุกเฉินให้ญาติดีกับหมอรุ่นพี่ที่เขามาหลงรักเธอหัวปักหัวปำ เธอส่ายหน้าไม่เอาโดยอธิบายว่า

“..พี่เขาดีเกินไป”

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

2.. ถามว่าการเป็นห่วงลูกน้อยห้อยแข้งเป็นความห่วงใยโดยชอบไหม ตอบว่าชอบอย่างยิ่งครับ ตรงนี้ผมขอชมว่าคุณเป็นพ่อที่ดีมีความรับผิดชอบ แต่ผมให้ข้อมูลคุณเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งในฐานะคนแก่อาบน้ำร้อนมาก่อนในสองประเด็น

ประเด็นที่ 1. คุณไม่ต้องห่วงลูกสาวมากเกินไปว่าพวกเธอจะช็อค เพราะเด็กสมัยนี้เขาเรียนรู้ความจริงของชีวิตเร็วกว่าสมัยคุณเป็นเด็กแยะเพียงแต่พวกเธอไม่ได้เล่าให้คุณฟังเท่านั้น งานวิจัยชิ้นหนึ่งในเด็กหญิงไทยพบว่าโดยเฉลี่ยเมื่อขึ้นชั้น ม.2 เทอมที่ 2 พวกเธอก็เจนจบความลับผู้ใหญ่เขารู้และปกปิดกระมิดกระเมี้ยนกันหมดแล้ว การหย่าร้างของพ่อแม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพวกเธอ เพราะเพื่อนๆในชั้นก็เจอปัญหาแบบเดียวกัน

ประเด็นที่ 2. คุณควรจะเลิกเลี้ยงลูกแบบปกป้องลูกไม่ให้รับรู้ชีวิตจริงเสียที เพราะไม่ว่าต่อไปลูกจะไปอยู่กับ Solo Mum หรือ Solo Dad พวกเธอก็ต้องปรับตัวกับชีวิตจริงอยู่ดี ต้องหัดตักน้ำ ผ่าฟืน หุงข้าวต้มแกง ดังนั้นมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตคุณควรคุยกับลูกตรงๆ บอกลูกๆว่าชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยน ต้องปรับตัว ขอแค่คุณบอกลูกๆว่าหัวใจของพ่อเปิดไว้สำหรับลูกๆเสมอ แค่นี้ลูกๆเขาจะรับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้ดีกว่าที่คุณคิด

3.. ถามว่าหากเชื่อหมอสันต์ ปล่อยวางและเข้าถึงความไม่ยึดตัวตนแล้ว  เป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ต่อคืออะไร ทำไมจะต้องทนทำงานภายใต้สภาวะสังคมที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรงกันอยู่ ตอบว่าเป้าหมายของชีวิตมนุษย์ที่เกิดมาแล้วก็คือเพื่อใช้ชีวิตให้เต็มศักยภาพที่ตัวเองมี ซึ่งแน่นอนว่าเราจะทำได้ดีที่สุดเมื่อเราไม่หลงยึดถือหรือมุ่งปกป้องตัวตนของเรา ส่วนข้อที่ว่าคนเราต้องทนทำงานภายใต้การถูกบีบให้แข่งขันถูกกดดันนั้น คุณมองให้ดีนะ ใครกันนะที่ถูกบีบ ใครกันนะที่ถูกกดดัน ตัวตนของเรานั่นแหละที่รู้สึกว่าตัวเองถูกบีบถูกกดดันเพื่อปกป้องและเชิดชูตัวตนนี้ให้ปลอดภัยและสูงเด่น หากตัวตนไม่มี ก็ไม่มีใครถูกบีบ ไม่มีใครถูกกดดัน ชีวิตก็จะสามารถทำงานสร้างสรรค์ประโยชน์แก่ชีวิตอื่นและแก่โลกได้เต็มศักยภาพที่มี โดยที่มีความสุขด้วย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์