Latest

ถ้าคุณขับรถแล้วเห็นบ้านสีแดงและต้นไม้แดงนี้ซ้ำซาก มันหมายความว่าอย่างไร

ภาพวันนี้ : พวงคราม (ซ้าย) และตะแบก (ขวา) ข้างห้องนอนผู้มาเข้าคอร์สที่เวลเนสวีแคร์

เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ

ดิฉันอายุ 65 ปี ดูแลคุณแม่มา 3 ปี คุณแม่เสียเมื่อ 3 เดือนก่อน ตั้งแต่ก่อนคุณแม่เสียราวหนึ่งปีดิฉันเป็นโรคซึมเศร้า หาจิตแพทย์ กินยา พอคุณแม่เสียดิฉันยังซื้อยากินเองแต่ไม่ไปหาจิตแพทย์แล้วเพราะมองไม่เห็นประโยชน์ หมอก็แค่พูดด้วยไม่กี่คำแล้วสั่งจ่ายยาเดิมมาให้กินเป็นอย่างนี้มาปีกว่าแล้ว ที่จะปรึกษาหมอสันต์คือดิฉันมีความคิดว่าการมีชีวิตอยู่ต่อไปนี้มันไม่มีประโยชน์อะไร ควรจะหาทางตายไปเสีย ความคิดแบบนี้จะวนเวียนมาตอกย้ำจนเป็นความคิดประจำในหัว วันไหนความคิดนี้ไม่มาเป็นเรื่องแปลก มีแต่จะมาถี่ขึ้นๆ บางคืนนอนจากหัวค่ำถึงตีสี่นอนไม่หลับ คิดเรื่องนี้ตลอด พยายามเอาความคิดนี้ทิ้งไปอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เปรยกับพวกญาติพวกเขาก็ได้แต่ไล่ไปหาหมอแบบไม่ได้ใส่ใจใยดีอะไรกับดิฉันมากไปกว่ามรดกที่พวกเขาจะได้เมื่อดิฉันตายไป ดิฉันควรจะทำอย่างไรจึงจะเป็นอิสระจากความคิดนี้ได้

ขอบพระคุณค่ะ

……………………………………………………………………………

ตอบครับ

วันหนึ่งสมัยที่ยังไม่มี GPS ผมขับรถเที่ยวไปในต่างประเทศ ขับไปๆเพลินๆเห็นบ้านสีแดงทรงประหลาดมีต้นเมเปิลแดงอยู่หน้าบ้าน โผล่ขึ้นมาหลังหนึ่ง ขับต่อไปๆเพลินๆอีกราวครึ่งชั่วโมงก็เห็นบ้านสีแดงทรงประหลาดกับต้นไม้แดงแบบเดิมโผล่ขึ้นมาอีกหลังหนึ่ง มันหมายความว่าอย่างไร

ก็หมายความว่าุผมกำลังขับรถหลงทางเป็นวงกลม แล้วผมจะไปถึงไหนไหมเนี่ยตราบใดที่ผมยังไม่รู้ตัวว่ากำลังหลงทางอยู่ในวงกลม

ฉันใดก็ฉันเพล ถ้าอารมณ์อย่างหนึ่งอย่างใดโผล่ขึ้นมาในใจคุณซ้ำซาก หรือถ้าความคิดบางความคิดโผล่ขึ้นมาในใจคุณซ้ำซาก แปลว่าคุณตกอยู่ในวงจรของการย้ำคิด หรือวงจรถูกป้อนให้คิดให้ทำซ้ำซาก (compulsiveness) หรือพูดแบบบ้านๆก็คือคุณกำลังใช้ชีวิตอยู่ในบ่วง “กรรมเก่า” วงจรย้ำคิดนี่แหละคือการตกเป็นทาสขนานแท้ เพราะแม้กระทั่งการสนองตอบต่อสิ่งเร้าโดยใจของคุณเองซึ่งเป็นสิ่งที่คนอื่นล้วงเข้ามาไม่ได้ มีคุณคนเดียวจะกำกับได้ คุณยังไม่รู้วิธีกำกับมันเลย คุณก็เลยถูกป้อนให้คิดให้ทำซ้ำซากโดยไม่รู้ตัว แล้วจะมีรูปแบบของการเป็นทาสใดที่หนักหนาไปกว่าการที่ตัวเองตกเป็นทาสของความคิดตัวเองนี้อีกเล่า

ความซ้ำซาก (repetition) นี้มันมีพลังมากนะ โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ล้วนหมุนวนอยู่ในวงกลมของความซ้ำซาก ร่างกายของเราก็ตกอยู่ในวงจรของความซ้ำซาก ดูร่างกายของผู้หญิงอาจจะเป็นตัวอย่างที่ชัดหน่อย ทุกเดือนต้องมีเหตุพิเศษ ความคิดของเราก็ไม่อยู่นอกกฎเกณฑ์นี้ เพราะรากฐานของระบบประสาทและสมองนั้นผูกขึ้นจากการวิ่งของกระแสประสาทในเซลประสาทซึ่งต่อกันเป็นวงจรซ้ำซาก การจะออกจากความซ้ำซากได้จึงยิ่งใหญ่เสมอหรือยิ่งใหญ่กว่าการเลิกทาสทีเดียว

เวลาผมทำแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตัวเอง ผมพูดกับผู้ป่วยเสมอว่า

“เพราะเรากินแบบเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม

เราจึงมาจบที่การเป็นโรคเรื้อรังอย่างนี้

เราไม่มีวันหายจากโรคเรื้อรังนี้ได้หรอก

หากเรายังกินแบบเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม”

หลักข้อเดียวกันนี้ใช้ได้เลยเมื่อใดก็ตามที่มีความเครียดเกิดขึ้นในใจ สไตล์การสนองตอบต่อสิ่งเร้าด้วยการคิดแบบเดิมๆ ทำแบบเดิมๆ ซ้ำๆซากๆ พาเรามาสู่ความเครียดเรื้อรัง ตราบใดที่เรายังคิดซ้ำๆสไตล์เดิม เราจะออกจากความเครียดเรื้อรังได้ไหมละ ท่านสาธุชนโปรดตรองดู หิ หิ

หลายท่านได้ดิบได้ดีมามีวันนี้ได้เพราะเป็นคนมีวินัยต่อตัวเอง นั่นก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการคิดซ้ำซากทำอะไรซ้ำซาก แต่เป็นการทำซ้ำซากแบบมีสติกำกับ อย่าเผลอเอามาเป็นเรื่องเดียวกันกับการคิดอะไรซ้ำซากหรือการย้ำคิดโดยไม่รู้ตัว อย่างหลังนี้เป็นความซ้ำซากที่เราสร้างขึ้นมาให้ตัวเองแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์อุปมาเหมือนคนงานก่อสร้างปัญญาอ่อนทำการเชื่อมเหล็กต่อกรงขังตัวเองไว้ข้างในแล้วออกไปไหนไม่ได้ แต่ช่างปัญญาอ่อนคนนั้นเขายังร้องตะโกนให้คนอื่นมาช่วยได้เพราะมันเป็นกรงเหล็กมันยังตัดได้ แต่กรงของความย้ำคิดที่เราสร้างขึ้นในใจนี้ยิ่งกว่ากรงเหล็กเพราะถ้าตัดไม่เป็นยิ่งพยายามตัดมันยิ่งต่อใหม่ได้เร็วแบบแน่นหนากว่าเดิม คนอื่นก็ไม่มีใครที่ไหนจะมาช่วยตัดมันออกไปได้

ถามว่าแล้วจะออกจากวงจรย้ำคิดแบบไม่รู้ตัวนี้ไปได้อย่างไร ตอบว่าผมจะไม่คุยกับคุณแบบแพทย์คุยกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้านะ แต่ผมจะคุยกับคุณแบบเพื่อนมนุษย์ที่เราต่างมีกลไกการผูกโยงถักทอความคิดขึ้นมาพันตัวเองเหมือนๆกัน และล้วนทุกข์ทรมาณจากความย้ำคิดคล้ายๆกัน จะต่างกันก็แค่บางคนมากบางคนน้อย ความเหมือนกันนี้ทำให้ผมพอมีอะไรมาแชร์กับคุณได้

ขั้นที่ 1. คุณต้องชาร์จไฟก่อน คุณยามนี้เหมือนเครื่องคอมที่แบตสำรองกำลังจะหมด จะไปรันโปรแกรมอะไรยากๆยาวๆไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมดีเลิศประเสริฐศรีอย่างไรมันก็ไม่เวอร์คเพราะเครื่องตายเสียก่อนจะเซ็ทอัพโปรแกรมเสร็จ วิธีชาร์จไฟหรือสร้างพลังชีวิตก็เอาแบบง่ายๆบ้านๆเลย คือไปนอนตากแดด ร้อนก็เปลี่ยนไปนอนแช่น้ำเย็น หนาวก็แช่น้ำอุ่น หาโอกาสไปอยู่กับธรรมชาติเหยียบดินเหยียบหญ้าเดินป่าเดินดงฟังเสียงนกเสียงกา ไม่สนอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันหรือเป็นเรื่องเป็นราวทั้งนั้น ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นเลย ชาร์จไฟอย่างเดียว จะนานกี่วันกี่เดือนไม่รู้ ชาร์จจนไฟเขียวขึ้น

หรือหากคุณอยากชาร์จไฟแบบทางลัดก็มีวิธีนะ คุณไปหาอะไรทำที่เป็นการช่วยคนอื่นที่เขากำลังตกทุกข์ได้ยากโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ไม่รู้จะทำอะไรก็เดินเก็บขยะตั้งแต่หน้าบ้านจนถึงปากซอยก็ได้ วิธีทำอะไรให้คนอื่นโดยไม่หวังอะไรตอบแทนนี้เป็นวิธีชาร์จพลังชีวิตขึ้นมาทางลัด

ขั้นที่ 2. เริ่มฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกาย ขณะที่ชาร์จไฟ คุณค่อยๆฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกาย จะฆ่าตัวตายแบบไหนดียังเป็นเรื่องไกลตัว ก่อนจะตายทั้งทีก็หาวิธีตายให้มันผ่อนคลายสบายๆหน่อย ฝึกสั่งให้กล้ามเนื้อร่างกายผ่อนคลายไปทีละส่วน เริ่มที่ใบหน้า ผ่อนคลายใบหน้า ฝึกยิ้มที่มุมปากแบบพระพุทธรูปในโบสถ์ด้วย ยิ้มคนเดียว ยิ้มเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฝึกผ่อนคลายคอ บ่า ไหล่ ผ่อนคลายทั้งตัว

ขั้นที่ 3. ฝึกรับรู้การหายใจและรับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย นานๆครั้งก็สนใจหน่อยว่าตอนนี้กำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ สังเกตร่างกายดูหน่อยว่ามีความรู้สึกอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง ใหม่ๆก็ความรู้สึกปวด เจ็บ คัน ต่อไปก็สนใจความรู้สึกที่ละเอียดขึ้น ลมพัดมาแขนเย็น ขนลุก หรือบางทีแค่หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพัก แล้วผ่อนลมหายใจออกยาวๆ พร้อมกับสังเกตอาการซู่ซ่าบนร่างกาย สังเกตยังไม่เห็นก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อเริ่มสังเกตความรู้สึกซู่ซ่าบนร่างกายได้ก็แสดงว่า ไฟเริ่มชาร์จติดแล้ว ผมหมายถึงพลังชีวิตเริ่มกลับมาแล้ว

ขั้นที่ 4. ฝึกสังเกต สังเกตอะไรก็ได้ที่ผ่านเข้ามาสู่การรับรู้ที่เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง สัมผัสผิวหนัง กลิ่น รส บางครั้งไม่มีอะไรให้สังเกต สังเกตลมหายใจตัวเองก็เบื่อ ให้สังเกตความเงียบ โต๋เต๋อยู่ในความเงียบ ปักหลักอยู่ในความเงียบ สังเกตเสียงต่างๆรอบตัว จากเสียงดังไปเสียงค่อย เมื่อมีความคิดผุดขึ้นมา ช่างมัน หันหลังให้ ไม่สนใจ สังเกตเสียงรอบตัวหนุกกว่า

จากปักหลักอยู่ในความเงียบเพื่อสังเกตเสียง ก็พัฒนามาเป็นปักหลักอยู่กับลมหายใจเพื่อสังเกตความคิดที่โผล่ขึ้นมาในใจ ความคิดไม่ใช่เรา เราเป็นผู้สังเกต ความคิดเป็นสิ่งที่ถูกสังเกต วิธีสังเกตก็คือแค่แอบดูเฉยๆว่า อ้า.. เจ้าความคิด “ตายเสียดีไหม” โผล่มาอีกแล้ว พอสังเกตเห็นมันแว้บเดียวแล้วก็รีบหลบกลับมาตามดูลมหายใจ สักพักก็แอบดูความคิดใหม่ ขยันแอบสังเกตดูความคิดของตัวเองไป เท่าที่กำลังสติจะเอื้อให้ทำได้

คุณฝึกทำแค่นี้ไปสักเดือนหนึ่งก่อน ถ้าผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วยังไม่ก้าวหน้า ยังคิดแต่จะตายดีไม่ตายดีอยู่เหมือนเดิม และถ้าคุณยังอยู่ (หิ หิ พูดเล่น) ให้เอาจดหมายอีเมลนี้มาขอเข้าเรียน Spiritual Retreat ที่เวลเนสวีแคร์ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี บอกเจ้าหน้าที่เขาว่าผมสัญญาว่าจะให้คุณเข้าเรียนแบบฟรีหมด กินฟรี อยู่ฟรี เรียนฟรี ชั้นเรียนหน้าสำหรับคนทั่วไปน่าจะประมาณ 15-18 มีค. 66

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์