Latest

ผมนักเรียน SR นะครับ มีคำถามครับ

(ภาพวันนี้: กลับจากท่องเที่ยวเดินป่า มาประจำการที่บ้านมวกเหล็กแล้ว มีเวลามองความสวยงามรอบบ้านอีกครั้ง)

ผมนักเรียน SR นะครับมีคำถามครับอ. พร้อมส่งรูปมาให้ดูเผื่ออ.จำผมได้

ตอนที่ได้ฝึกทำอานาปานสติกับอ.ตอนนั้น ตอนนั้นผมบอกอ.ว่าทำแล้วใจฟู แน่นๆ หลักจากนั้นผมก็ผ่านการปฏิบัติ กระบวนการเรียนรู้ต่างๆไปเรื่อยๆหลากหลาย พยายามจะครองความรู้ตัวไว้ตลอดเวลาและพิจารณาเฝ้ารอความคิดบ่อยๆ และปฏิบัติแบบนั่งสมาธิบ้างประปราย โดยทุกครั้งที่ทำอานาปาณสติหรือเจริญสติบางอย่าง จะมีความรู้สึกใจฟูอยู่เนืองๆเสมอ ผมก็พยายามเฝ้าดูความรู้ตัวนี้และมีสติไม่ให้จมกับความรู้สึกอิ่มเอม ความรู้สึกเต็มมากเกินไป และรู้ตัวอยู่ตลอด

จนกระทั่งผมได้ไปค้นพบคลิปนึงในช่องต่างประเทศเรื่องการเปิดจักรตาที่3 และทำให้ผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหลังทดลองทำแล้วเปิดจักระตาที่สามออก มันทำให้ผมรู้สึกเต็ม รู้สึกแน่น รู้สึกปิติเป็นล้นพ้น โดยไม่ต้องปฏิบัติ และใช้ชีวิตอย่างมีความรู้ตัวมากขึ้น เหมือนเพิ่ม awareness จากเดิมโดยที่ไม่ต้องพยายามมาก ซึ่งผมก็พยายามไม่อินกับความรู้สึกปิตินี้ และเฝ้าดูมันอยู่ห่างๆ แต่ก็รู้สึกทราบซึ้งและขอบคุณ ที่เรามาเจอสิ่งนี้ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างรู้ตัวมากขึ้น เพราะเหมือนจะมีความรู้สึกหน่วงบริเวณหัวคิ้ว ตำแหน่งที่ตรงกับจุดของpineal gland (ผมจบแพทย์มาแต่ไม่ได้practiceทางแพทย์แล้ว) สิ่งที่มหัศจรรย์คือก่อนหน้านี้ผมนอนหลับผมจะไม่เฟรชตลอดจนคิดว่าตัวเองน่าจะเป็น OSA แต่หลังเปิดตาที่ 3 ผมก็ไม่ต้องงีบช่วงบ่ายอีก ไม่ทราบว่าอ.มีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ ตอนนี้ที่ผมอยากรู้คือผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม 

เพราะสิ่งนี้ไม่ได้มาจากการคิด แต่มาจากข้างในเป็นความรู้สึก เหมือนตอนแรกหัวใจผมเปิดออกอย่างเดียว ตอนนี้ตาผมเปิดออกด้วย แต่ผมจะพยายามไม่อินมากครับ เพื่อคงความรู้ตัวในความปิตินี้ไว้ เพราะชีวิตผ่านช่วงที่มหัศจรรย์กับการปฏิบัติและยึดในตัวตนช่วงปฏิบัติมาแล้ว ตอนนี้เหมือนเป็นสิ่งที่ก้าวกระโดดแต่พยายามยั้งตัวเองไว้ไม่ให้ตื่นเต้นและรู้ตัวเวลาตื่นเต้น และบอกใครเพราะไม่อยากให้ส่งผลต่อการหลงว่ามีตัวตนของตัวเอง  ครั้งนี้ทำให้ผู้รู้สึกถึงความรัก ความเมตตากรุณา ปิติเป็นล้นพ้น จริงๆ

ถ้าอ.อ่านแล้วงง ผมสรุปคำถามคือ ผมไม่ได้บ้าหรือมีมิจฉาสมาธิใช่ไหมครับ แล้วเหมือนจะมีอะไรพยายามguideเราตลอด สิ่งนี้รึเปล่าครับที่เรียกปัญญาญาณ เวลาใจเราที่บอกว่าใช่ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราไม่ได้ติดในกับดักครับ เพราะผมเชื่อว่าทุกคนมีเส้นทางการตื่นที่แตกต่างกัน หลากหลายวิธีการ ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร 

ขอบคุณอ.ครับ

………………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าฝึกสมาธิแบบเปิดจักระตาที่ 3 แล้วมีความปิติตื่นเต้นลิงโลดใจเป็นล้นพ้น อย่างนี้เป็นบ้าหรือเปล่า ตอบว่าไม่ได้เป็นบ้าหรอกครับ

ก่อนจะคุยกับคุณต่อไปขอเกริ่นให้ท่านผู้อ่านนิดหนึ่ง เรื่องที่หนึ่ง ว่าจักระตาที่สามนี่มันคืออะไรกัน คำว่าจักระเป็นคำพูดของพวกโยคีที่เล่นเรื่อง “พลังชีวิต” ว่าพลังชีวิตในร่างกายเรานี้มันมีศูนย์รวมใหญ่ๆอยู่เจ็ดจุดตามแนวกระดูกสันหลังจากก้นทะลุหัว จุดที่สองนับจากข้างบนเรียกว่าจักระตาที่สาม ซึ่งมีตำแหน่งอยู่ตรงกลางหัวประมาณตำแหน่งของต่อมไพเนียลในวิชากายวิภาคศาสตร์ของแพทย์พอดี ทั้งหมดนี่เป็นแค่คำนิยามหรือคอนเซ็พท์ของโยคีแค่นั้นนะ คนที่ไม่ได้ยุ่งอะไรกับโยคีเขาไม่มีตาที่สามนี่ด้วยหรอก

เรื่องที่สอง ว่าการทำสมาธิเปิดจักระตาที่สามนี่เขาทำกันยังไง ผมเล่าให้ฟังว่ารากของคอนเซ็พท์นี้มันมาจากหลักวิชา 8 ขั้นตอนสู่ความหลุดพ้นที่เขียนไว้โดยโยคีชื่อปตัญชลีเมื่อประมาณ 2000 ปีมาแล้ว ในขั้นตอนที่ห้าชื่อการหดหรือถดถอยจากอายตนะปกติ (Pratyahara) เป็นการเลิกสนใจรับรู้อะไรที่ผ่านเข้ามาทางอายตนปกติทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง สัมผัส หรือความคิดที่โผล่เข้ามาในใจ ไม่เอาทั้งนั้นเพิกเฉยหมด เพราะทั้งหมดนั้นเป็นโลกของภาษาหรือโลกของตรรกกะเดิมๆหรือเป็น known ที่มีแต่จะชักพาให้วนเวียนอยู่ในอ่างเก่าๆไม่ไปไหนสักที จึงต้องปิดการรับรู้ผ่านอายตนเหล่านั้นทั้งหมดเสียเหมือนเต่าหดหัว หดหาง หดมือ หดตีนเข้าไปอยู่ในกระดองหมด อะไรที่บอกเป็นภาพ เสียง ภาษา หรือตรรกะได้ ไม่เอาเลย เพื่อจะเปิดตนเองออกไปสู่ unknown อันเป็นย่านที่ตนเองไม่เคยรู้จักมาก่อน การทิ้งโลกที่เป็น known ไปสู่ unknown นี่แหละที่เรียกกันเป็นสำนวนว่าเป็นการเปิดตาที่สาม กลไกการปฏิบัติที่แท้จริงก็คือการจดจ่อสมาธิ (selectively focus) ที่ทำกันอยู่ในทุกกลุ่มความเชื่อทุกศาสนานั่นเอง ต่างกันแต่เทคนิคปลีกย่อยขั้นละเอียดว่าใครจะเอาอะไรมาเป็นเป้าในการจัดจ่อแบบ selectively focus นี้

กลับมาคุยกับคุณหมอต่อ ที่ผมตอบว่าคุณหมอไม่ได้บ้าก็เพราะเราจะไปเรียกคนที่มีความกระดี๊กระด้าตื่นเต้นลิงโลดใจหรือคนที่ joyful หรือ blissful ว่าเป็นคนบ้าได้อย่างไร คนอย่างนั้นแหละคือคนแบบที่ทุกคนควรจะเป็น ส่วนคนที่หน้ายาวๆในหัวเต็มไปด้วยคอนเซ็พท์หรือความคิดยึดถือร้อยแปดจนวันๆหาความเบิกบานในชีวิตไม่ได้ ได้แต่หงิกหน้าใส่คนอื่นทั้งวัน คนแบบนี้ต่างหากคือคนบ้า จะบ้าดี บ้าเกียรติ บ้าเงิน ฯลฯ ก็ล้วนบ้าเหมือนกันหมด

2.. ถามว่าฝึกสมาธิแบบเปิดจักระตาที่ 3 แล้วเกิดความรัก เมตตา ปิติตื่นเต้นลิงโลดใจเป็นล้นพ้น เป็นมิจฉาสมาธิหรือเปล่า ตอบว่าไม่ได้เป็นมิจฉาสมาธิหรอกครับ

เรามาย้อนที่มาของคำว่า “มิจฉาสมาธิ” นี้สักนิด มันเป็นคำที่มาคู่กับคำว่า “สัมมาสมาธิ” คำว่า “สัมมา” ในภาษาบาลีนี้แปลกันเป็นภาษาไทยว่า “ชอบ” ซึ่งมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนครั้งแรกเลยเรื่องการยอมรับทุกสิ่งโดยอยู่นิ่งๆตรงกลาง ไม่แกว่งไปกอดรัดสิ่งที่อยากได้ ไม่แกว่งหนีสิ่งที่ไม่อยากได้ ซึ่งท่านได้สอนให้ปฏิบัติได้ในการทำกิจในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำ จะประกอบอาชีพ คือไม่ว่าจะทำอะไรก็ให้ทำแบบ “สัมมา” หรือแบบ “ชอบ” คือทำไปโดยประคองใจให้อยู่นิ่งๆตรงกลางไม่แกว่งไปกอดรัดสิ่งที่อยากได้ หรือแกว่งหนีสิ่งที่ไม่อยากได้ ดังนั้นการทำสมาธิแบบใดๆก็ตามที่ไม่พาใจไปกอดรัดสิ่งที่ชอบหรือพาใจหนีสิ่งที่ไม่ชอบก็ล้วนเป็นสัมมาสมาธิทั้งสิ้น  

3. ถามว่าฝึกสมาธินานไปแล้วเหมือนจะมีอะไรพยายาม guide เราตลอด สิ่งนี้เรียกปัญญาญาณหรือเปล่า ตอบว่าจะเรียกว่าปัญญาญาณก็ได้ครับ

กลไกการเกิดของสิ่งที่เรียกว่าปัญญาญาณเป็นกลไกง่ายๆไม่ซับซ้อน คือเมื่อความคิดที่ห่อหุ้มบดบังการรับรู้ของเราไว้หมด 360 องศาเริ่มจางลงหรือหมดไป เราก็เริ่มเห็นหรือรับรู้ unknown ซึ่งก่อนหน้านั้นมันก็อยู่ที่นั่นแหละแต่มันถูกบดบังด้วยความคิด ดังนั้นสังหรณ์ใดๆที่โผล่ขึ้นมาชี้นำเรายามที่เราปลอดความคิด จึงเรียกว่าเป็นปัญญาญาณได้ทั้งหมด

4.. ถามว่าเวลาที่ใจเราบอกว่าใช่ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใช่จริงโดยไม่ได้ถูกหลอกให้ติดในกับดัก ตอบว่า เราไม่มีทางรู้ได้ ต้องทดลองหยิบไปใช้ ใหม่ๆหยิบผิดหยิบถูกเป็นธรรมดา แต่นานไปเราจะจับไต๋ได้และหยิบถูกเกือบจะทุกครั้ง

ความลังเลตรงนี้มันเกิดจากเราฝึกการสนองตอบของเราโดยใช้ความคิดอ่านเชิงเหตุผลตรรกะ (intellect) มาเสียจนเคยชิน พอมีกลไกใหม่ที่นำเสนอในรูปของพลังชีวิตหรือความรู้สึกกระดี๊กระด๊า มันเป็นของใหม่ เราจึงลังเล นี่มันเป็นธรรมดา การกล้าลองเป็นทางเดินหน้าทางเดียว อย่าหันกลับไปหาตรรกะของเหตุและผลแบบเดิมๆอีก เพราะอย่าลืมว่าเรากำลังดิ้นรนออกจาก known ไปสู่ unknown ถ้าเราจำกัดจำขังตัวเองไว้ในตรรกะของเหตุและผลเดิมๆ แล้วตลอดชาติเราจะได้รู้จัก unknown ได้อย่างไรละครับ คุณหมอลองตรองดู

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์