Latest

เรื่องไร้สาระ (32) เดินป่า ล่าแสงใต้

วันที่1 (จันทร์ 17 Apr 2023)

เก็บลูกนัทไว้เผื่ออดอยากในป่า

เรามากันวันนี้หกคน เป็นสมาชิกสว.ระดับเลขเจ็ดเสีย 5 คน บวกลูกชายผมซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งแพทย์ประจำคณะคนแก่ เป็นคนขับรถ และเป็น “ไก่ (guide)” อีกหนึ่งคน มาถึงสนามบิน Christchurch เอาตอนเก้าโมงครึ่งในสภาพง่วงนอน มิชชั่นของเราในทริปนี้มีสองอย่าง คือ “เดินป่า และ ล่าแสงใต้” ซึ่งการล่าแสงใต้นี้เราจะต้องทำกันที่ตอนใต้สุดของเกาะซึ่งอยู่ใกล้ขั้วโลกมากที่สุด และต้องทำในคืนเดือนมืดที่สุด ซึ่งก็คือคืนนี้ ดังนั้นแผนก็คือเราจะขับรถแบบไม่หยุดเลยไปนาน 6 ชั่วโมงจนถึงตำบล Kaka point เพื่อไปปักหลักล่าแสงใต้อยู่ที่นั่น มิชชั่นนี้จะใช้เวลาทั้งหมด 14 วัน ไปจบที่กระท่อมเดินไพร Hooker Hut ที่อยู่โดดเดียวกลางหุบเขาหิมะในเมาท์คุ้ก

12.00 น. ล้อหมุน ผมทำหน้าที่คนขับชั่วคราวขับออกจากไครสต์เชิร์ชในสภาพร่างกายที่ง่วงสบัด ต้องขับรถไปด้วย เปิดเพลงแล้วร้องเพลงตามเสียงดังๆไปด้วย สมาชิกที่ช่วยร้องบอกว่าเพิ่งรู้ว่าการร้องเพลงนี้ร้องไปด้วยหลับไปด้วยก็ทำได้ด้วย ขับเลียบชายฝั่งตะวันออกลงมาได้สองชั่วโมงกว่าสมาชิกก็ร้องเรียนว่าคิดถึงห้องสุขา จึงขับแวะเข้าไปจอดหน้าส้วมในสวนสาธารณะของเมือง Ashberton เพื่อให้สมาชิกทำกิจและยืดเส้นสาย คนที่ทำกิจเสร็จและรอเพื่อนก็ถือโอกาสเก็บลูกนัทหน้าตาคล้ายลูกเกาลัดขนาดโตกว่าหัวแม่โป้งเท้าหน่อยหนึ่งที่หล่นเกลื่อนกลาดทั่วไป เข้าใจว่าคงจะเผื่อไปอดอยากในป่าไม่มีอะไรกิน เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าป่าในนิวซีแลนด์นี้ไม่มีไม้ผลอะไรให้เก็บกินกันตายได้อย่างเมืองร้อนดอก

หาดหินกลม Moeraki beach

ขับต่อมาอีกนานหนึ่งอสงไขยจนสมาชิกร้องหิว จึงแวะที่เมืองเล็กๆชื่อ Oamaru ซึ่งได้สมยานามว่าเป็นเมือง “เจ้าชายนิทรา” ที่หลับตลอดศกเพราะยากที่จะพบสิ่งมีชีวิตในเมืองนี้ เราขับผ่ากลางเมืองร้างแล้วแวะกินกลางวันที่ร้านต้มเหล้าชื่อ Scotts Brewing Co ถึอโอกาสชิมเบียร์ที่เขาบ่มเสียด้วย เผลอละเลียดอยู่นานเป็นชั่วโมงกว่าจะนึกได้ว่าเราต้องขับตียาวไปอีกไกล คราวนี้ต้องเปลี่ยนคนขับ เพราะกฎหมายห้ามคนดื่มแอลกอฮอล์ขับรถ เดินทางกันมาได้อีกหน่อยก็ถึง Moeraki beach หรือหาดหินกลม เราแวะชมหาดซึ่งมีรูปโฆษณาของการท่องเที่ยวเป็นรูปดารากระโดดไปตามก้อนหินติดไว้ที่สนามบิน ไปกระโดดก้อนหินเลียนแบบดารา คนที่ขาแข็งแรงดีก็รอดตัวไป แต่สมาชิกที่ขายังไม่ฟื้นตัวดีจากการนั่งเครื่องบินนานๆกระโดดจะขึ้นไปยืนบนก้อนหินแล้วกลับมีเสียงดัง “ตุบ..” เพราะร่างกายกระเด้งกลับลงมาเอาก้นกระแทกพื้นหาดทรายกลายเป็นรอยบุ๋ม โชคดีที่ไม่ถึงขั้นกระดูกก้นกบหัก

ผมสบายดีครับ

ค่ำจวนเจียนจะหมดแสงแล้ว เราขับผ่าน Shag Point ซึ่งเป็นจุดแวะดูแมวน้ำ อดไม่ได้จึงขับแวะเข้าไปดู ทางเดินลงไปหาดเป็นทางแหวกพงหญ้าแคบๆ ตอนแรกนึกว่าเดินผ่านหมานอนหมอบอยู่ริมทาง ที่ไหนได้ เป็นแมวน้ำเจ้าของบ้าน ผมร้องทักว่าเป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่าจึงมานอนแหม็บตรงนี้ เขากระพริบตาปริบๆเป็นนัยบอกว่าผมสบายดี สมาชิกท่านหนึ่งค่อยๆเอื้อมมือไปหาเหมือนจะลูบหัว คราวนี้ท่านผงกหัวขึ้นอ้าปากส่งเสียงและแยกเขี้ยวโง้งซี่ละไม่ต่ำกว่า 10 ซม. ให้ดูขาวจวั๊ะเป็นหลักฐานว่าผมสบายดี แต่ผู้หวังดีตกใจกลัวหดมือกลับแทบไม่ทัน เราเดินต่อไปจนถึงชายหาดซึ่งมองเห็นเหล่าแมวน้ำนั่งบ้างนอนบ้างสลอนอยู่แต่ไกลแล้วกลับขึ้นรถ

ขับต่อมาจนมืดค่ำก็มาถึงเมือง Balclutha เอาตอนสองทุ่ม เมืองนี้เป็นความศิวิไลซ์แห่งสุดท้ายที่เราจะหาซื้อสะเบียงอาหารได้ ต่อจากนี้ไปจะเป็นบ้านเล็กตำบลน้อยหาของกินยาก ร้านค้าปิดไปบ้างแล้ว ยังเหลือซุปเปอร์อยู่ร้านเดียวซึ่งปิดสามทุ่ม เปิดแต่ร้านแต่ส้วมไม่เปิด จึงซื้ออาหารตุนไว้สำหรับสองวันข้างหน้า อย่างน้อยก็ทันได้ไก่ย่างตัวสุดท้ายของร้านมาหนึ่งตัว สมาชิกคิดถึงห้องสุขาอีกแล้วเพราะจากสุขาเก่ามาได้สี่ชั่วโมง เราใช้กูเกิ้ลพาไปหาส้วมแบบไอที.ข้างถนนแห่งหนึ่ง แต่เข้าไปแล้ว ทำกิจแล้ว หาที่ชักโครกไม่ได้ หาอยู่ตั้งนั้นก็หาไม่เจอ จนสุดท้ายมาถึงบางอ้อเอาเมื่อล้างมือ ส้วมมันชักโครกให้แบบอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้เสร็จกิจแล้วล้างมือ ส่วนผู้ใช้ที่มีนิสัยเสร็จกินแล้วไม่ล้างมือก็ควานหาที่ชักโครกต่อไปเถอะ หิ หิ

จากนี้ไปเป็นการขับรถคันเดียว เดียวดาย อยู่ในความมืด ฝนตกพรำๆ รู้แต่ว่าชายทะเลอยู่ทางซ้าย ไร่เลี้ยงแกะอยู่ทางขวา ความเดียวดายทำให้หวลนึกถึงอดีต

“เฮ้ย..ลืมบัตรเครดิตไว้ที่ร้านต้มเหล้า”

เล่นเอาทุกคนหลุดออกจากภวังค์ ทบทวนตามลำดับแล้วได้ความว่าการจะดื่มเหล้าโดยจ่ายเงินสดที่ร้านนี้ต้องเอาบัตรเครดิตตึ๊งไว้ก่อน ป้องกันเมาแล้วชักดาบ แต่คนเมาคนนี้เมาแล้วไม่ได้ชักดาบ เป็นเมาแล้วลืม พนักงานผลัดเวรกันจึงไม่รู้ว่าลุงแกตึ๊งบัตรไว้ สมาชิกช่วยกันคิดแผนแก้ไขกันใหญ่ว่าจะแก้ไขกันอย่างไรดี ในที่สุดก็ลงมติใช้แผน “ช่างมัน” คือทิ้งบัตรไปเสีย แจ้งยกเลิกบัตรกับแบงค์ และโทรบอกร้านว่าให้ช่วยทำลายบัตรให้ด้วย ทั้งหมดนี้ยังทำตอนนี้ไม่ได้เพราะบนรถกลางทางอย่างนี้ไม่มีเน็ท ต้องรอไปถึงที่พักก่อน

Nugget Point จุดที่ดีที่สุดในการดูแสงใต้ ถ้า..ฟ้าไม่หม่น

ซึ่งในที่สุดเราก็มาถึง ปากทางเข้าบ้านเป็นถนนพงหญ้าแคบเท่ากับทางเกวียนแถมหักศอกอีกต่างหากแถมไม่มีป้ายเลขที่บ้าน ต้องยึกยักกันหลายทีกว่าจะเอารถเจ็ดที่นั่งผ่านปากทางเข้าไปได้ แล้วขับผ่านทุ่งเลี้ยงแกะขึ้นเขาไปอีกพักหนึ่งก็ถึงบ้านหลังใหญ่ริมทะเล ซึ่งทุกห้องนอนเปิดเข้าหาทะเลและมองเห็นแสงใต้(ถ้ามันมีจริง) พื้นพรมมีระบบฮีตเตอร์ที่ทำให้พรมอุ่นทันทีที่แรกเหยีบบ ห้าทุ่มแล้วสมาชิกต่างช่วยกันสาละวนคนละไม้คนละมือ ก่อฟืนจุดเตาผิง เอาอาหารออกมาทำ ที่เก็บลูกนัทมาก็เอาลูกนัทออกมาทดลองอบ ผลปรากฎว่าลูกนัทระเบิดอยู่ในเตาอบปึงปังต้องมาขัดเช็ดเตาอบให้เขาอีก แถมลูกนัทที่อบได้ก็ขมปี๋กินไม่ลง โปรเจ็คลูกนัทช่วยชีวิตจึงต้องเป็นอันพับไป หลังเข้านอนแล้วสมาชิกบางคนยังทะยอยออกมาชะโงกหน้าดูแสงใต้ (aurora australis) ซึ่งว่ากันว่ามันคือปรากฎการณ์ที่เม็ดแสงอาทิตย์ชนสนามแม่เหล็กขั้วโลกทำให้ห็นเป็นแสงสีต่างๆตามแนวสนามแม่เหล็ก ดูกันจนถึงเที่ยงคืนแต่สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือ..ก้อนเมฆ

วันที่ 2 (อังคาร 18 Apr 2023)

รุ่งเช้าเราไปเดินขึ้น Nugget Point ซึ่งเป็นประภาคารอยู่บนเขาสูงที่เป็นแหลมยื่นออกไปและอยู่ใกล้ๆนี้เอง เป็นที่สูงวิวดีรอบทิศ มองลงไปข้างล่างเห็นเหมือนฝูงปลาโลมากระโดดโลดเต้นกันอยู่ ผมบอกฝรั่งที่มีเลนส์เทเลว่าคุณช่วยส่องปลาโลมาข้างล่างให้ผมหน่อยสิ เขาตอบว่า

Lost Gypsy Caravan รถบ้านของฮิ้ปปี้นักประดิษฐ์

“นั่นมันแมวน้ำ ไม่ใช่ปลาโลมา” ผมแย้งว่า

“แต่ผมเห็นครีบของมันเวลามันกระโดดขึ้นพ้นน้ำนะ” เขาอธิบายว่า

“นั่นเป็นแขนของมัน”

จากนักเก็ทพ้อนท์เราไปดู Roaring Bay Penguins & Seals ซึ่งฟังชื่อแล้วเหมือนจะได้ยินเสียงสิงห์โตทะเลคำราม แต่พอไปถึงแล้วพบว่าเป็นอ่าวที่มีแมวน้ำตัวเขื่องนอนเกลื่อนพื้นหญ้าอยู่สามสี่ตัว มีถ้ำมองให้แอบดูนกเพ็นกวินตาเหลือง ซึ่งมันจะยกพลขึ้นบกตอนเย็นพวกเราจึงขับรถไปเที่ยวที่อื่นก่อน โดยขับรถไปที่ตำบล Papatowai เพื่อเยี่ยมร้าน Lost Gypsy Carawan

ชีวิตนี้มีสิ่งยั่วยุมากมาย

ซึ่งเป็นรถบ้านของฮิปปี้คนหนึ่งที่เปิดให้คนเข้าดูฟรี พอไปถึงพบว่ามันเป็นรถบ้านเก่าๆแบบมอๆเซอๆ ที่ปากทางขึ้น มีป้ายเล็กๆอันหนึ่งเขียนไว้ว่า

“ชีวิตนี้มีสิ่งยั่วยุมากมาย รวมทั้งเจ้าปุ่มข้างล่างนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย”

ป้าซึ่งเป็นคนทนสิ่งยั่วยุไม่ได้ เอานิ้วชี้จิ้มลงไปที่ปุ่มนั้น ผลปรากฎว่า

ภายในรถบ้านเต็มไปด้วยของเล่นที่ใช้มือหมุน

“ว้าย..ย”

มีน้ำเย็นเฉียบฉีดออกมาใส่หน้าคนกดจนทำเอาพื้นที่รอบๆเปียกไปหมด

เมื่อเข้าไปในรถบ้าน มีสิ่งประดิษฐ์ที่กลไกหลักต้องอาศัยมือหมุนวางบนโต๊ะบ้าง แปะตามผนังบ้าง รวมแล้วมากกว่าร้อยชิ้น แต่ละชิ้นมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกันออกไปและค่อนข้างละเอียดอ่อน บางชิ้นก็ถึงกับซับซ้อน บางชิ้นก็ออกแนวตลก ตัวคุณฮิปปิ้นั่งซ่อมรองเท้าอยู่ที่ซอกหนึ่งของรถบ้าน เขาเป็นคนใจดีสุภาพเรียบร้อย ผมบริจาคเงินให้เขาไป 20 เหรียญเพราะกลัวเขาอดอยาก เขายิ้มรับอย่างคนใจเย็น และแนะนำวิธีเล่นของเล่นให้สองสามอย่าง กำลังจะกลับอยู่แล้วสมาชิกบางคนเกิดอยากดูสวนสิ่งประดิษฐ์ข้างหลังบ้างซึ่งเขากั้นรั้วไว้และเก็บเงินค่าเข้าดูคนละ 8 เหรียญ ผมบอกเขาว่าเราจะขอจ่ายเงินเพื่อเข้าดูสวนข้างหลัง เขาบอกว่ายูจ่ายแค่ 20 เหรียญก็พอ คิดสะระตะหักรวมทั้งเงินบริจาคแล้วเรายังได้กำไรอีก 6 เหรียญ ดีเหมือนกันแฮะ วิธีแกล้งบริจาคก่อนแล้วซื้อที่หลัง ได้ของถูกกว่า หิ หิ

ถ้ำมองนกเพ็นกวิน

เที่ยวดูสิ่งประดิษฐ์ในสวน แวะกินกลางวันข้างทาง แล้วขับรถกลับไปนักเก็ทพ้อยน์เพื่อให้ทันถ่ายรูปอาทิตย์ตกน้ำที่นั่นและเผื่อฟลุ้กจะปักหลักดูแสงใต้ไปด้วยเสียเลย แต่ไปถึงแล้วก็ผิดหวังเพราะฟ้าเต็มไปด้วยเมฆไม่มีทีท่าว่าจะเห็นตะวันตกน้ำได้เลย จึงไปเข้าถ้ำมองดูนกกีวีตาเหลืองที่สร้างไว้เหมือนโรงสังกะสีเก็บของ มีฝรั่งอัดกันแล้วในถ้ำเมื่อรวมพวกเราก็แน่นเท่าปลาซาร์ดีนกระป๋องพอดี เฝ้ากันอยู่หนึ่งชั่วโมงจนมืดก็ไม่เห็นนกกีวีสักตัว เข้าใจว่าวันนี้มันใจแตกไม่กลับบ้าน พวกเราจึงพากันถอย พวกฝรั่งที่เฝ้าอยู่เห็นเราถอยก็ดีใจพากันถอยบ้าง เข้าใจว่าจะหมดกังวลว่าจะมีคนเห็นโดยที่ตัวเองไม่เห็น

กลับมาถึงบ้านอันอุ่นสบายทำอาหารกินกันอิ่มดีแล้ว มู้ดนักล่าแสงใต้ก็เปลี่ยนเป็นมู้ดหมีจำศีล ทุกคนเข้านอนหลับอุตุกันหมด โดยนัดหมายกันว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นหกโมงเช้า เพื่อให้ทันเข้าถ้ำ Cathedral Cave ก่อนน้ำทะเลจะขึ้นปิดทางเข้าถ้ำ

เดินฝ่าป่าเฟิร์นโบราณไปหนึ่งชั่วโมงเพื่อทะลุชายทะเล

วันที่ 3 (พุธ 19 Apr 2023)

7.00 น. ล้อหมุน ฝนตกพรำๆ เราขับรถมุ่งหน้าไปยังถ้ำทะเล Cathedral Cave จอดรถไว้ แล้วใส่เสื้อกันฝนเดินฝ่าป่าเฟิร์นย้อนยุคไปราวหนึ่งชั่วโมงจึงทะลุหาดทรายขาวสะอาด เดินตามหาดทรายไปอีกราว 1 กม. จึงไปถึงปากถ้ำ แล้วได้เข้าถ้ำทันเวลาก่อนน้ำขึ้น ถ้ำแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น ถ้ำทะเลใหญ่ที่สุดในโลก ตอนที่เราเข้าไปนั้นยังมีแสงสว่างจากชายหาดเข้ามาอย่างเหลือเฟือ แต่ที่ก้นถัำต้องอาศัยแสงไฟที่ส่องจากหน้าผากของไก่จึงจะมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไร

Cathedral Cave ถ้ำทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เดินไปตามชายหาดยามน้ำลงเพื่อเข้าปากถ้ำ
Mc Lean Fall

ขากลับจากชมถ้ำทะเลเราเพิ่งสังเกตว่าตอนเราเดินฝ่าป่าเฟิร์นมานั้นเราเดินลงเขา พอขากลับถึงได้ซึ้งใจว่าการเดินขึ้นเขามันกินแรงขาแค่ไหน กว่าจะมาถึงที่จอดรถได้ก็หิวได้ที่ เขามีโต๊ะปิคนิกไว้ให้ แต่ไม่เห็นมีใครไปใช้เพราะมันหนาว อย่างเก่งฝรั่งที่เช่ารถ Jucy ซึ่งมีที่ทำอาหารกินหลังรถด้วยก็เปิดท้ายกินกันหลังรถ ส่วนของพวกเรานั้นสมัครใจสละสิทธิ์ไม่เอาบรรยากาศ คือมุดกินกันอยู่ในรถโดยปิดประตูหน้าต่างให้สนิทอีกต่างหาก

ออกจากถ้ำทะเลเราขับรถต่อเพื่อไปเดินไพรไปชมน้ำตก Mc Lean Fall ต้องเดินผ่านป่าแบบผสมป่าดิบชื้นและป่าเฟิร์นโบราณไปเกือบชั่วโมง ตลอดทางผ่านห้วยธารละหารหนองเป็นระยะ จนไปถึงตัวน้ำตกซึ่งใหญ่โตอลังการ์ไม่เสียเที่ยวที่บากบั่นมา ชื่อน้ำตกนี้ตั้งตามชื่อชาวไร่คนหนึ่งซึ่งมาบุกเบิกทำไร่อยู่ที่นี่ แกเป็นคนใจดี ใครมาชมน้ำตกก็ใส่ใจต้อนรับขับสู้พาไปดู จนคนเรียกชื่อแกเป็นชื่อน้ำตกไปเลย

นกเพ็นกวินตาเหลือง ถ่ายจากรูปถ่าย

จากนั้นเราขับรถผ่านอ่าว Porpoise bay ซึ่งว่ากันว่าเป็นบ้านของปลาโลมา แต่ไม่ได้เห็นปลาโลมาสักตัว แล้วไปเที่ยวที่หน้าผาชื่อ Curio Bay Cliff เดินตามหน้าผานี้ลงไปจะผ่านสวนสงวนสำหรับเป็นที่อยู่ของนกกีวีตาเหลือง ผมเพิ่งมาทราบจากสวนนี้เองว่าหน้านี้นกเพ็นกวินตาเหลืองมันผลัดขนมันจึงอยู่บ้านไม่ยอมออกทะเล มิน่าเราไปรออยู่ที่ถ้ำมองตั้งนานไม่เห็นสักตัว เวลามันอยู่บ้านเราก็มองไม่เห็น เพราะบ้านมันซ่อนอยู่ในพงหญ้า เราเห็นแต่ทางเข้าบ้านเป็นรอยที่มันเดินอยู่ประจำ จึงถ่ายรูปนกจากรูปที่เขาติดไว้ให้ดูแทน

ไม้กลายเป็นหิน 180 ล้านปี ตามชายหาดคูริโอเบย์

พ้นสวนสงวนนี้จะผ่านหน้าผาลงไปหาชายหาดซึ่งเป็นแหล่งของป่าไม้กลายเป็นหิน (Putrified forest) อายุ 180 ล้านปี มีท่อนซุงซึ่งกลายเป็นหินแล้วระเกะระกะให้ดูที่ชายหาดหลายท่อน

บ่ายคล้อยและเริ่มจะหมดแรงจากการเดินไพรแล้ว เราขับรถมุ่งเลียบทะเลตอนล่างของเกาะมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเพื่อไปเดินป่าครั้งใหญ่ที่เมืองเต อาเนา ขับผ่านจุดใต้สุดของเกาะจึงแวะถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐานเสียหน่อยว่าเรามาถึงจุดใต้สุดแล้ว ที่ตรงนี้มีลมแรงมาก ต้นไม้แถบนี้ลู่ลมกันเป็นแถบๆจนดูน่าขบขัน ผมถ่ายรูปมาให้ดูด้วย จากจุดนี้เราขับไปเข้าที่พักกลางทางที่เมือง Riverton

ที่จุดใต้สุดของเกาะ ลมแรงขนาดไหนดูภาพต้นไม้เอาก็แล้วกัน
แวะปิคนิคริมคลองข้างถนน

วันที่ 4 (พฤหัส 20 Apr 2023)

วันนี้อากาศสดใส นับว่าเป็นฤกษ์ดี เราขับตรงแน่วไปยังเป้าหมายที่เราจะเริ่มต้นเดินไพรในเส้นทาง Routeburn Track กันอย่างจริงจัง ขับมาจนเลยเวลาเที่ยงแล้วจึงแวะปิคนิคอาหารกลางวันกันที่ริมคลองตกปลาข้างถนน แล้วก็เดินทางต่อไปจนถึง The Divine อันเป็นจุดตั้งต้นเดินป่า แผนในวันนี้คือเราจะเดินในเส้นทาง Routeburn Track ไปจนถึงจุดแยกไปกระท่อม Howden Hut แล้วเลี้ยวซ้ายเพื่อขึ้นไปบนยอดเขา Key Summit ซึ่งว่ากันว่าเป็นที่วิวรอบทิศดีมาก

ทางเดินไพร Routeburn Track มีน้ำตกและธารน้ำใสข้างทางเป็นระยะๆ
มีธรรมชาติที่ได้รับการสงวนรักษาอย่างดี

ทุกคนมาพร้อมเครื่องแต่งกายเต็มยศ เสื้อกันฝน รองเท้าบู้ทอาร์ซาโล ไม้สกีโพล เป้อย่างดี มีแบรนด์ จะไม่พร้อมก็แต่สังขารแค่นั้นแหละ เพราะบางคนเพิ่งท้องเสียมาตั้งแต่ลงจากเครื่องบินยังไม่หาย เราเริ่มออกเดินทางไปบนเส้นทางธรรมชาติอันสวยงาม สภาพป่าเป็นป่าดิบชื้น ตลอดเส้นทางนอกจากไม้ยืนต้นแล้วยังมีพืชธรรมชาติเช่นมอส เฟิร์น เห็ดต่างๆ มีน้ำตกเล็กๆและธารน้ำใสเป็นระยะๆ เส้นทางเดินเป็นแบบค่อนข้างเรียบง่ายแต่มีขึ้นมีลง กำลังพลที่เรี่ยวแรงดีได้เดินออกหน้าไปแล้ว ส่วนพวกที่กระปลกกระเปลี้ยเดินตามหลัง

สิบนาทีกับหนึ่งชั่วโมงนะ

เมื่อตอนที่กองหลังเดินมาถึงทางแยกนั้น ตามหมายกำหนดการเราควรจะใช้เวลา 30 นาที แต่นี่เราใช้เวลาไปแล้วชั่วโมงครึ่ง เป้าหมายของคณะคือจะไปที่ Key Summit แต่ป้าเอาไม้สกีโพลชี้ข้อมูลบนป้ายว่าไปทางนี้อีกตั้งชั่วโมงหนึ่งนะ แต่ไปทางนี้อีกแค่สิบนาที เธอพูดย้ำถึงสองครั้ง ผมวินิจฉัยว่าเธอคงจะหมดแรงเดินขึ้นซัมมิทแล้ว ผมจึงบอกให้ไก่ล่วงหน้าไปบอกกองหน้าว่าผมกับป้าจะไม่ขึ้นซัมมิท แต่จะเดินไปดู Lake Howden แล้วกลับมารอที่ทางแยกนี้แทน

Lake Howden บนเส้นทางเดินไพร Routeburne track

ผมไม่รู้ว่าทัพหลวงที่เดินขึ้นไป Key Summit พบเห็นอะไรบ้าง แต่การตัดช่องน้อยลงมาที่ Lake Howden ก็ถือว่าไม่ผิดหวัง เพราะทะเลสาปฮอว์เด็นในอากาศที่เย็นยะเยือกนี้สวยงามไม่แพ้ใครเหมือนกัน ขากลับผมกับป้าใช้เวลากระย่องกระแย่งประมาณ 40 นาทีจึงจะขึ้นมาถึงสามแยกอันเป็นจุดนัดหมายได้ จากนั้นทั้งคณะก็พากันเดินกลับลงมายังปากทางที่ The Divide

เราขับรถเข้าที่พักนอกเมืองเต อาเนา ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่สะดวกสบายแถมมีอ่างจาคุชชี่น้ำอุ่นกลางแจ้งให้นอนดูดาวบนท้องฟ้าซึ่งเห็นทางช้างเผือกชัดแจ๋วอีกด้วย เป็นที่ชื่นชอบของสมาชิกทุกคนยกเว้นป้าซึ่งยังไม่หายป่วยและขอตัวเข้านอนทันทีที่กินอาหารเย็นเสร็จ

เส้นทางตั้งต้นเต็มไปด้วยน้ำตกและธารน้ำขนาดใหญ่

วันที่ 5 (ศุกร์ 21 Apr 2023)

“เมื่อวานเผาหลอก วันนี้เผาจริง”

ผมพูดทีเล่นทีจริงถึงแผนการเดินป่าในวันนี้ซึ่งมีเป้าหมายไปที่ Lake Marian อันเป็นเส้นทางเดินป่าที่โหดในระดับปานกลาง ผิดกับเส้นก่อนๆที่เราเดินมาซึ่งโหดในระดับเบื้องต้น ป้าซึ่งยังไม่หายท้องเสียขอตัวนอนเฝ้าบ้านไม่ออกไปเดินด้วย แต่พอถูกผมบิวด์ว่าเรามานี่เพื่อเดินป่าและล่าแสงใต้ ไม่ได้แสงใต้ได้เดินป่าให้เป็นเนื้อเป็นหนังก็ยังดี การไม่ได้ไป Lake Marian ครั้งนี้จะเป็นความเสียหายระดับเสียชาติเกิดเชียวนะ ป้าจึงหักใจร่วมเดินทางไปด้วย

เส้นทางเดินป่าตั้งต้นด้วยยี่สิบนาทีแรกเป็นทางเดินง่ายๆเต็มไปด้วยน้ำตกขนาดใหญ่เสียงครืนครั่นและธารน้ำใสไหลซัดซ่าอยู่ทั่วไป เป็นช่วงการเดินที่น่ารื่นรมย์มาก หลังจากนั้นทางเดินก็หายไปดื้อๆ ต้องอาศัยลูกศรสีส้มเล็กๆบนต้นไม้เป็นตัวนำทาง เป็นการเดินไปบนท้องลำธารแห้งซึ่งพื้นทางเดินเป็นก้อนหินกลมบ้างเหลี่ยมบ้าง ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ฝรั่งเดินได้เร็วสวบ สวบ สวบ เพราะฝรั่งมีความพร้อมสามอย่างคือ (1) มีรองเท้าและถุงเท้าที่ดี (2) มีกล้ามเนื้อขาและก้นที่แข็งแรง (3) มีการทรงตัวที่ดี เขาจึงเดินจากยอดหินก้อนหนึ่งไปหายอดหินอีกก้อนหนึ่งโดยอาศัยโมเมนตัมพาตัวเองพุ่งไปข้างหน้าช่วยให้การทรงตัวง่ายขึ้น แต่คณะของเราซึ่งมีรองเท้าและถุงเท้าที่ดีไม่แพ้ฝรั่งก็จริง แต่ไม่มีกล้ามเนื้อและการทรงตัวที่ดี พวกเราต้องปีนขึ้นไปบนยอดหินก้อนหนึ่งจากข้างนี้ แล้วไปก้าวลงที่ข้างโน้น แล้วไปปีนขึ้นก้อนหินก้อนถัดไป แบบขึ้นๆลงๆตลอดชาติ ลำบากกันไปแบบนี้นานมาก ผมถามป้าว่า

การประชุมลงมติครั้งสำคัญ

“ท้องไส้เป็นไงบ้าง” เธอตอบเป็นพังเพยโบราณว่า

“ขี้หดตดหายหมด”

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

ตัดสินใจเดินหน้า บนเส้นทางห้อยโหนน้องๆทาร์ซาน

เดินอย่างลำบางลำบนกันมาได้ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งควรจะถึงที่หมายแล้วเพราะตามป้ายที่ปากทางบอกว่าไปชั่วโมงครึ่ง กลับชั่วโมงครึ่ง แต่สอบถามฝรั่งที่สวนมาพบว่าเรายังมาไม่ได้ถึงครึ่งทางเลย ไก่ซึ่งคุมกองหลังอยู่รุดขึ้นมารายงานว่าป้ากันน้าตัดสินใจถอยกลับแล้ว ผมถามฝรั่งอีกคู่หนึ่งที่สวนมาถึงเส้นทางอีกครั้ง เขาและเธอตอบว่า

“เดินอย่างนี้ไปอีก 20 นาทีแล้วก็จะสบายแล้ว แล้วข้างบนมันสวยมากจริงๆ” ผมจึงบอกว่า

“คุณพรรณาความสวยข้างบนให้เพื่อนผมที่เป็นผู้หญิงสูงวัยสองคนที่อยู่ข้างล่างฟังหน่อยนะ”

Lake Marian ทะเลสาปบนเขา ปลายทางของการบากบั่น

รู้สึกว่าฝรั่งจะทำงานได้ผล เพราะไก่ซึ่งเดินย้อนกลับไปแล้วกลับมาส่งข่าวว่าป้าตัดสินใจเดินหน้าต่อ กองหน้าเองเดินมาได้สองชั่วโมงก็มาถึงจุดที่น่าเกรงขามที่สุด เพราะต้องมีการปีนป่ายห้อยโหนน้องๆทาร์ซานจึงจะขึ้นไปได้ ผมให้คณะทัพหลวงนั่งรอการตัดสินใจของคณะป้าซึ่งเป็นกองหลัง หากพวกเธอถอยเราก็จะถอยไปพร้อมกันหมด แต่เป็นที่ผิดคาด พวกเธอมาถึง พิจารณาดูเส้นทางที่จะต้องห้อยโหนขึ้นไปแล้วพยักหน้าว่าไปต่อ เราก็จึงต้องลำบากกันต่อไป

เซลฟ์ พอร์เทรต ที่เลคมาเรียน

ในที่สุดเราก็มาถึงเลคมาเรียน ทะเลสาปบนเขา ปลายทางของการบากบั่น นั่งพักอยู่ได้ไม่นานก็ต้องคิดอ่านลงจากเขา เพราะเราใช้เวลาเดินขึ้นมา 4 ชั่วโมง และนี่จะห้าโมงเย็นแล้ว ถ้าเราใช้เวลาเดินกลับเท่ากับที่เดินขึ้น เราไม่ถึงข้างล่างเอาสองสามทุ่มเรอะ

ผมถามไก่ว่าเอาที่กรองน้ำมาด้วยไหม เขายื่นถุงใส่น้ำดิบให้ผม ผมเอาไปกรอกน้ำในทะเลสาปตุนไว้ก่อน ใครจะไปรู้ได้ คืนนี้เราอาจติดค้างอยู่ในป่าแล้วจะเอาน้ำที่ไหนกิน

ผมถามไก่อีกว่า

เดินบนก้อนหิน เดินลงยากกว่าเดินขึ้น

“เอาไฟฉายมาด้วยหรือเปล่า” เขาตอบว่า

“มาถามเอาป่านนี้จะเปลี่ยนแผนอะไรได้หรือ”

ผมพิจารณาดูคำตอบแล้วเห็นว่าชอบด้วยตรรกะ อีกทั้งน้ำเสียงของเขาแสดงว่าเขาเอาไฟฉายมา ผมจึงเงียบเสีย

แล้วการเดินทางกลับก็เริ่มขึ้น ขามาลำบากอย่างไรขากลับลำบากยิ่งกว่าเพราะการเดินหินท้องธารนั้นเดินลงยากกว่าเดินขึ้น

คนถือไม้เท้าคนตาบอดนำหน้า คนมีไฟหน้าผากอยู่กลางส่องไปหน้า คนที่มีไฟมือถือปิดท้ายส่องไปกลาง

เดินลงมาได้ราวสองชั่วโมงก็มืดสนิท จำเป็นต้องบริหารจัดการวิธีเดินทัพใหม่เพื่อป้องกันการไถลล้มแข้งขาหักในความมืด ให้ป้านำหน้าถือไม้เท้าเดินเคาะๆก้อนหินไปแบบคนตาบอด ไก่ซึ่งมีไฟสว่างติดหน้าผากเดินกลางแล้วส่องไฟไปข้างหน้า ผมซึ่งมีไฟโทรศัพท์มือถืออยู่ท้ายแถุวส่องไฟให้กลางแถว ถ่านไฟหมดเมื่อไหร่ก็ปักหลักค้างคืนกันตามโพรงไม้เมื่อนั้น แต่โชคดีที่ถ่านไฟมาหมดเอาตอนลงมาถึงน้ำตกซึ่งเป็นทางเดินง่ายแล้ว จากจุดนั้นเราอาศัยแสงดาวนำทางต่อจนเดินกลับลงมาถึงที่จอดรถได้ตอนหนึ่งทุ่ม รวมเวลาเดินป่าไปกลับวันนี้ 7 ชั่วโมง

(การเดินป่าล่าแสงใต้ทริปนี้มีกำหนด 14 วัน เพิ่งเล่ามาได้ 5 วัน ที่เหลือติดไว้ก่อนนะครับ ถ้าว่างจะมาเล่าต่อ)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์