MBT3 ชั้นเรียนฝึกสติรักษาโรครุ่นที่ 3
ผมไปเปิดเอาเครื่องตัตหญ้าแบบสะพายแกว่งออกมาจากห้องเก็บของเพื่อตัดหญ้าเอง มันจะได้ไม่ยาวมากเกินไประหว่างทีคนรับจ้างไม่มา แต่พอดึงสายสตาร์ทเครื่องตัดหญ้าไปได้สักยี่สิบครั้ง ก็สรุปได้ว่ามันสตาร์ทไม่ติด ผมนึกถึงหนังโฆษณาในโทรทัศน์นานมาแล้ว ที่มีคนขี่มอเตอร์ไซค์ไปเครื่องดับหน้าวัดแม่นาคพระโขนงตอนกลางดึก สตาร์ทยังไงก็ไม่ติด จนแม่นาคต้องออกมาชี้แนะด้วยเสียงโหยหวลว่า
“…สงสัย..ย หัวเทียนบอด..ด..ด..”
ผมจึงไปเอาหัวเทียนสำรองซึ่งมีค้างอยู่ในห้องเก็บของมาเปลี่ยน แล้วสตาร์ทใหม่ มันก็ไม่ติดอีก จึงตัดสินใจเอาไขควงมาไขเข้าไปดูในคาร์บูเรเตอร์ของเครื่อง เพราะคนเขาพูดกันเสมอว่าเครื่องยนต์สองจังหวะแบบนี้ ถ้าไม่หัวเทียบบอร์ดก็ลูกลอยในคาร์บูค้างหรือนมหนูในคาร์บูตัน ผมไขเข้าไปโดยที่ไม่เคยซ่อมคาร์บูมาก่อนเลยในชีวิต เหอะน่า ถือว่าเป็นการฝึกสมองคนแก่ อย่างมากก็แค่ซ่อมไม่ได้
ค่อยๆบรรจงไขเข้าไปทีละชั้น แกะฝาครอบออก เอาลูกลอยออกมาดูก็ไม่เห็นจะติดขัดหรือสกปรกตรงไหน เห็นมีรูเล็กๆที่เป็นทางน้ำมันไหลออกมา ผมเข้าใจว่าตรงนี้ละมังที่เรียกกันว่านมหนู จึงแคะเอาลิ่มที่ปิดเปิดรูออกมาล้าง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแก๊ง ชิ้นส่วนของคาร์บูหล่นออกมา แต่หาได้ไม่ครบ หายไปชิ้นหนึ่ง ที่รู้ว่าหายเพราะมันเป็นสลักที่ชิ้นอื่นต้องอาศัยเกาะจึงจะห้อยอยู่ได้ หาอยู่นานจึงพบว่ามันหล่นเข้าไปในฝาครอบเครื่อง กว่าจะงมหาของเจอ เอาชิ้นส่วนกลับเข้าที่ได้อีกก็นานโข แล้วสตาร์ทใหม่.. ไม่ติด
คราวนี้เป็นไม้สุดท้ายแล้ว ผมยกเครื่องตัดหญ้าใส่ท้ายรถขับไปปากเกร็ด เพราะเครื่องแบบนี้ในเมืองไม่มีใครซ่อมได้หรอก ต้องไปบ้านนอก ผมขับหาร้านซ่อมแถวห้าแยกปากเกร็ดไม่เห็นมี จึงขับเข้าไปในซอยวัดกู้ เห็นร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์อยู่ร้านหนึ่งกำลังเปิดดำเนินการอยู่ จึงจอดตะโกนถาม
“น้อง..ซ่อมเครื่องตัตหญ้าได้ไหม” ช่างซึ่งมีอายุราวสี่สิบตอบว่า
“ผมไม่เคยนะพี่ แต่พี่เอามาดูก็ได้”
เขาลงมือไปทีละลำดับอย่างเชี่ยวชาญ ไขหัวเทียนออกมาตรวจ ชักเชือกสตาร์ทดูไฟที่หัวเทียน เห็นว่าไฟมาเป็นปกติแล้วก็ใส่หัวเทียนกลับเข้าไปใหม่ ชักเชือกสตาร์ทอีกราวสิบหน ไม่ติด เขาเปิดหัวเทียนออกมาเหล่ดู สลับกับดม..แล้วเหล่ ดม..แล้วเหล่
“มันแห้ง” ผมบอก เขาพยักหน้าและว่าน้ำมันไม่มาที่หัวเทียน แล้วเขาก็เปิดหูกระต่ายที่ก้นคาร์บูดูว่ามีน้ำมันไหลออกมาไหม เมื่อเห็นน้ำมันไหล คราวนี้เขาตัดสินใจเปิดคาร์บู ผมแอบดูเห็นว่าชิ้นส่วนที่ผมใส่กลับเข้าไปยังอยู่ครบ เขาตรวจดูรูที่น้ำมันไหลลงคาร์บูแล้วก็บอกว่าน้ำมันก็ไหลลงลูกลอยดี ผมถามว่า
“แสดงว่านมหนูไม่ตันหรือ” เขาบอกว่า
“เปล่า ลูกลอยก็ลูกลอย
นมหนูก็นมหนู ไม่เกี่ยวกัน”
ว่าแล้วเขาก็เอาไขควงไขเอาสิ่งที่ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าตรงนี้ต่างหากที่ชาวบ้านเรียกกันนมหนูออกมาดู เขาเหล่ดู แล้วเอาเครื่องเป่า แล้วเอาลวดแยง แล้วเหล่ แล้วใส่เข้าไป
ระหว่างทำการซ่อม มีมอไซค์รับจ้างในซอยและชาวบ้านแวะมารับบริการเป็นระยะๆ ส่วนใหญ่เป็นการคอนซัลท์ (ปรึกษา) ซึ่งเขาก็บอกวิธีแก้ปัญหาไป หรือทำให้ดูเดี๋ยวนั้น โดยไม่เก็บเงิน
แล้วเขาก็สตาร์ทเครื่องตัดหญ้าของผมใหม่ คราวนี้สตาร์ทติด เขาค่อยๆเอาไขควงปรับรอบเครื่องอยู่พักใหญ่ รวมเวลาที่เขาซ่อมก็นานเป็นชั่วโมง
“ค่าซ่อมเท่าไหร่น้อง” เขาบอกว่า
“แปดสิบบาท” ผมรู้สึกว่ามันถูกเกินไป จึงยื่นเงินให้และบอกว่า
“พี่ให้สามร้อยก็แล้วกัน” เขาผงะ แต่ยิ้ม แล้วส่ายหัว
“ผมรับไว้ร้อยหนึ่งละกัน” ว่าแล้วยื่นสองร้อยกลับมาให้ผม ผมยื่นกลับไปให้เขาใหม่และว่า
“ค่าซ่อมหนึ่งร้อย ค่าสอนพี่ให้รู้จักนมหนูอีกสองร้อย” เขายิ้มปากกว้างและรับเงินไว้ด้วยท่าทางแบบยังรู้สึกผิดอยู่นิดๆ
กลับมาถึงบ้าน ทั้งหมดนี้ผ่่านไปจนเกือบเที่ยงวันแล้ว แต่ผมเครื่องกำลังร้อน จึงลงมือตัดหญ้ากลางแดดเปรี้ยงจนเสร็จ เผอิญภรรยาแอบถ่ายรูปไว้ จึงเอารูปมาลงให้ดูเป็นหลักฐาน
ตัดหญ้าเสร็จสบายใจแล้วก็มานั่งเตรียมการสอนวันพรุ่งนี้ คือคอร์สฝึกสติรักษาโรค (Mindfulness based treatment – MBT2) เอาประสบการณ์จากการสอนชั้นเรียนแรก (MBT1) มาแก้ไข พบว่าต้องแก่ไขแยะมาก สาระหลักก็คือจะลดการพูดกันถึงทฤษฎีให้น้อยลง ลงมือทำให้มากขึ้้น และเอาการจดบันทึกประสบการณ์แบบฝรั่งมาใช้บ้างแต่ไม่มากเกินไป หน้าตาหลักสูตรของคอร์สใหม่เป็นอะไรที่อาจจะมีประโยชน์กับผู้ไม่มีโอกาสได้มาเรียน ผมจึงเอามาลงให้ดูด้วย
วัตถุประสงค์คือให้มีความรู้และทักษะการพัฒนาสติตนเองตามแนวทาง MBSR ของ U. of Mass. ที่ประยุกต์ให้เหมาะกับคนไทยโดยใช้ชื่อ MBT แทน โดยมุ่งให้ผู้เรียนมีทักษะพอที่จะเอาไปฝึกปฏิบัติต่อในชีวิตประจำวันของแต่ละคนด้วยตนเอง จนใช้ป้องกัน บรรเทา และรักษาโรคเรื้อรังของตนได้
ตารางเรียน
9.00 – 9.30 Opening session. บรรยายนำเรื่องการแยกส่วน ความคิด ร่างกาย และจิตสำนึกรับรู้
9.30 – 10.00 Workshop1. Aware of a thought ฝึกรับรู้ความคิดด้วยวิธีเฝ่าดูจากภายนอก
10.00 – 10.30 Workshop2. Recall ฝึกย้อนดูความคิด (สติ) และการสลายตัวของความคิด
10.30- 10.45 Workshop3. Conscious without thought ฝึกอยู่กับจิตสำนึกรับรู้ที่ปลอดความคิด
10.45-11.00 Workshop4. Breathing meditation ฝึกประสานสติกับลมหายใจ
11.00-11.15 Morning break พักรับประทานน้ำชา
11.00 – 11.15 Workshop5. Hands movement ฝึกประสานสติกับการเคลื่อนไหว
11.15 – 11.30 Workshop6 Just walk ฝึกสามประสาน สติ-ลมหายใจ-การเคลื่อนไหว
11.30 – 12.00 Workshop7. Muscle relaxation ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
12.00 – 12.15 Workshop8. Relax movement ฝึกสี่ประสาน (สติ-การหายใจ-การเคลื่อนไหว-การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ)
12.15 – 12.30 Workshop9. Chi ฝึกรับรู้พลังงานภายในร่างกาย
12.30-13.30 Lunch break พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.30 – 13.45 Workshop10. Chi movement ฝึกห้าประสาน สติ-การหายใจ-การเคลื่อนไหว-การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ-พลังงานภายในร่างกาย
13.45 – 14.05 Workshop11. Full Tai Chi ฝึกรับรู้พลังงานภายในด้วยวิธี ไทชิชี่กง
14.05 – 14.15 Workshop12. Here and now equanimity ฝึกรับรู้ปัจจุบันอย่างอุเบกขา
14.15 – 14.30 Workshop13. Awareness expansion ฝึกขยายจิตรับรู้ (แผ่เมตตา)
14.30 – 14.45 Workshop14. Acceptance and thanks. ฝึกรับรู้ ยอมรับ และขอบคุณปัจจุบัน
14.45 – 15.15 Workshop15. Coping with pain ฝึกรับรู้ความเจ็บปวดอย่างอุเบกขา
15.15-15.30 Evening break พักรับประทานน้ำชา
15.30 – 16.00 Workshop15. Daily wrap-up สรุปสิ่งที่ฝึกเรียนมาตลอดวัน
16.00 ปิดคอร์ส