Latest

เป็นคนแบบรู้แล้ว..แต่ไม่ทำ จะทำไงดี

 เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ

จะสมัครมาเข้าแค้มป์ GHBY แต่ไม่เห็นอาจารย์เปิดแค้มป์ใหม่ จะเข้าที่กำลังจะเปิดเสาร์นี้ก็เต็มแล้ว ตั้งใจว่าจะมาทั้งๆที่ยังลังเล ที่ลังเลเพราะอ่านบล็อกของคุณหมอมาสามปี รู้หมดแล้ว แต่ทำไม่ได้ คือจะลดน้ำหนัก แต่ไม่สำเร็จ จะเริ่มกินก็อดไม่ได้ ออกกำลังกายก็ออกไม่สำเร็จ คือรู้หมดแล้วแต่ทำไม่ได้ อย่างนี้มาแค้มป์จะได้ประโยชน์ไหมคะ ความจริงที่เขียนมานี้ไม่ได้ตั้งใจจะถามเรื่องมาไม่มาหรอกเพราะตั้งใจจะมาอยู่แล้ว แต่อยากถามคุณหมอว่าคนที่รู้หมดแล้วแต่ทำไม่ได้อย่างหนูนี้จะทำอย่างไรดี จะเลิกกินนั่นกินนี่ก็กลัวสูญเสียความอร่อยในชีวิต คือเรื่อง motivation อะค่ะ อยากจะ motivate ตัวเอง ไปเข้าเรียนคอร์ส … ที่โรงแรม… มาแล้วก็ไม่เวอร์ค โชคดีที่คอร์สแรกไม่ต้องเสียเงิน

…………………………………

ตอบครับ

1. ชั้นเรียน พลิกผันโรคด้วยตัวเอง (GHBY) ชั้นถัดไปเปิดแล้ว คือ 29-30 กค. 60

2. การจะมีสุขภาพดี จำเป็นไหมที่ต้องมาเข้าแค้มป์ ตอบว่ามันขึ้นอยู่กับประเภทของคน เพราะมีคนอยู่สี่ประเภท คือ

     2.1 มีผู้อ่านจำนวนหนึ่งแค่อ่านบล็อกนี้แล้วเอาไปทำเอง ก็มีสุขภาพดีขึ้นทันตาเห็น ในแง่ของการลดน้ำหนักบางคนลดได้มากกว่า 30 กก. ในแง่ของการรักษาโรค บางคนเลิกยาเบาหวานความดันหัวใจได้หมด โดยไม่เคยเห็นหน้าหมอสันต์ไม่เคยมาเข้าคอร์สเลยอะไรสักคอร์สเลย แค่อ่านบล็อกแล้วทำตามด้วยตัวเอง

     2.2 มีผู้อ่านอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุ ไม่มีความรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เช่นออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อทำอย่างไร แบบเสริมการทรงตัวทำอย่างไร ทำไม่เป็น ทำอาหารพืชเป็นหลักแบบไม่ใช้น้ำมันทำอย่างไร ทำไม่เป็น จะเลิกยาเลิกอย่างไรไม่รู้วิธี ผู้อ่านกลุ่มนี้มาเข้าแค้มป์แล้วกลับไปก็เปลี่ยนชีวิตตัวเองได้ดีมากและพร่ำบอกว่าถ้าไม่ได้มาแค้มป์ก็คงจะเอาดีไม่ได้

     2.3 มีผู้อ่านอีกจำนวนหนึ่งที่รู้หมดแล้วว่าหมอสันต์จะสอนอะไร บ้างก็ลองเปลี่ยนแปลงตัวเองไปแล้วแต่ล้มเหลว มาเข้าแค้มป์เพื่อหาเพื่อนหรือหาความบันดาลใจ พอกลับจากแค้มป์ไปแล้วก็ขยันเข้าไลน์เข้ากลุ่ม ขยันทำ ขยันประกวดประขันอวดความสำเร็จกัน แล้วก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ในที่สุด

     2.4 มีผู้อ่านอีกจำนวนหนึ่ง โชคดีที่ส่วนนี้มีไม่มาก คือเป็นประเภทรู้หมดแล้วเหมือนกัน แต่ทำไม่ได้ ส่วนใหญ่ยังไม่เคยได้ลงมือทำเลยสักแก็กเดียว มาเข้าแค้มป์เพื่อหวังจะใช้โอกาสมาแค้มป์เป็นการเริ่มตั้งไข่เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่พอกลับจากแค้มป์แล้วก็ยังทำตัวเป็น “ว่าวที่หลุดลอย” ตั้งไข่ไม่ได้สักที กลุ่มนี้มักจะหลบหน้าหลบตาไม่ยอมเจอหมอสันต์ เขียนอีเมลไปหาก็ไม่ตอบ

     ผมไม่รู้ว่าคุณจะเป็นแบบไหนระหว่างแบบข้อ 2.3 กับข้อ 2.4 ถ้าไม่แน่ใจจะมาลองดูเข้าแค้มป์ดูก็ไม่มีอะไรเสียหายมากนะครับ นอกจากเสียเงิน 9,000 บาท ตรงนี้คุณตัดสินใจเองก็แล้วกัน

     3. ถามว่าเป็นคนชนิดรู้หมดแล้วแต่ไม่ทำ จะแก้ไขตัวเอง หรือจะ motivate ตัวเองอย่างไรดี  ตอบว่าถ้ามีเซลส์แมนที่ยิ่งใหญ่ทีสุดของโลกจะมาขายของให้คุณ หากคุณไม่ซื้อเสียอย่าง เขาจะขายของให้คุณได้ไหม ไม่ได้หรอกครับ เขาจะขายของให้คุณได้ก็ต่อเมื่อคุณยอมซื้อ

     ความขี้เกียจของคุณมันคือ “ความคิด” มันเป็นตัวคอยบอกคุณว่าวันนี้มันค่ำแล้วนะ เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่า กินอย่างนี้ไม่อร่อยมั้ง ทำแบบนี้เหนื่อยนะ ไปนั่งแฮงกิ้งเอ้าท์ที่ร้านไอติมกันดีกว่าไหม อะไรทำนองนี้  
 ความคิด (thought) ก็คือเซลส์แมน จะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็สั่งความรู้ตัว (consciousness) ไม่ได้ เพราะโดยศักดิ์ฐานะความรู้ตัวเป็นเจ้านาย ความคิดเป็นขี้ข้า แต่ที่ความคิดขึ้นมานั่งบนหัวของคุณซึ่งเป็นเจ้านายได้นั้นเพราะมันแอบเชื่อมโยงกับความความสนใจและความเชื่อของคุณ ความคิดมีอำนาจก็เพราะได้อำนาจจากความเชื่อของคุณ ตัวความเชื่อเองก็ไม่มีอำนาจของมันเองดอก เหมือนเหมือนพระจันทร์ที่ไม่มีแสง ต้องอาศัยอำนาจของความรู้ตัวซึ่งเหมือนดวงอาทิตย์ที่ให้แสงแก่พระจันทร์สะท้อนออกเป็นดั่งแสงของตัวเองได้ ดังนั้นอำนาจทั้งหมดอยู่ที่ความรู้ตัว ตัวความคิดจริงๆเป็นแค่ภาพหลอน ถ้าคุณเชื่อว่าความคิดมีอำนาจนั่นหมายความว่าคุณมอบอำนาจให้มัน

     ระวังให้ดีนะ เวลาที่ความคิดพูดกับคุณ คุณต้องมองหาว่ามันพูดกับใคร ถ้ามันพูดกับคุณ แสดงว่ามันพูดกับไอเดียที่ฝังแฝงอยู่ในคุณที่ปักใจเชื่อว่าคุณเป็นบุคคลคนหนึ่งที่มีแคแรคเตอร์แบบนั้นแบบนี้ ชอบกินนั่นชอบกินนี่ เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้อย่างแจ่มชัดว่าไอเดียนั้นไม่ใช่คุณ เสียงของความคิดก็จะหมดความหมาย ดังนั้นคุณจะต้องไม่ถอย คุณต้องประกาศกับตัวเองให้แจ้งชัดว่าคุณเป็นความรู้ตัว เป็นเจ้านาย คุณจะเอาอย่างนี้ และจะต้องเป็นไปตามนี้ คุณจึงจะหลุดพ้นจากความขี้เกียจซึ่งเป็นความคิดเจ้าเล่ห์ของคุณได้

     เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่การลดน้ำหนัก มันจะมีผลต่อชีวิตของคุณในภายหน้าทุกๆด้าน คุณไม่มีวันที่จะเอาดีกับชีวิตได้หากคุณตกเป็นทาสของความคิดทั้งๆที่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีต่อตัวคุณ ความเชื่อ (belief) เป็นตัวการสำคัญ ความเชื่อผิดว่าตัวเราเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ เช่นเป็นคนชอบกินไอติม เป็นคนไม่ถนัดการกีฬา มันจะทำตัวเป็นอีโก้ที่คอยซูเอี๋ยกับความคิดขี้เกียจ ทำให้คุณล้มเหลวกับการปลดแอกตัวเองออกจากความขี้เกียจอยู่ร่ำไป

     4. ถามว่าจะเลิกกินนั่นกินนี่ก็กลัวสูญเสียความเอร็ดอร่อยในชีวิตไป จะทำอย่างไรดี ตอบว่าความกลัวสูญเสียความเอร็ดอร่อยนั้นไม่ใช่คุณนะ มันเป็นความคิดของคุณที่กลัวสูญเสีย ไม่ใช่คุณ คุณจะไม่สูญเสียตัวเองเมื่อคุณปลดปล่อยตัวเองออกจากความคิด โลกทั้งโลกจะไม่หันหลังให้คุณเมื่อคุณเป็นคนที่มีความรู้ตัวมากขึ้น ทุกคนยังมองคุณเป็นคนเดิม คุณอย่าไปเชื่อความคิดที่ดิ้นรนหาสิ่งที่คุณกลัวมาตีแผ่ชักแม่น้ำให้คุณถอย คุณต้องกล้าพูดว่าใช่ แล้วเดินออกไปจากตรงนี้ ไม่ต้องกลัว การมีชีวิตอยู่ในอำนาจของความคิดน่ากลัวกว่า ผมเข้าใจคุณ หลายคนมาถึงจุดนี้แล้วถอยกลับไป ความคิดมันดูยิ่งใหญ่ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นแค่ภาพหลอน คุณในฐานะความรู้ตัวต่างหากที่เป็นของจริง ความคิดจะมาข่มขู่ความรู้ตัวไม่ได้ มันข่มขู่ได้แต่ตัวตนที่เป็นบุคคลที่เราเรียกว่าอีโก้เท่านั้น

     ผมทำได้แต่ชี้ทางเท่านั้นนะ ถ้าคุณไม่เดิน พระเจ้าก็ช่วยคุณไม่ได้ คุณต้องสมัครใจ ใช่..ฉันจะเดินออกไปจากชีวิตของบุคคลคนนี้ ปัง..ง ก้าวออกไปเลย ผมผ่านจุดนั้นมาแล้ว จึงรู้ว่าไม่มีอะไรต้องกลัว หากคุณฝ่าข้ามจุดนี้ไปได้แล้ว ต่อจากนี้ไปความคิดที่ยิกๆอย่างโน้นอย่างนี้ก็จะกลับทำตัวเป็นทาสผู้ภักดีหรือเป็นลูกหมาน้อยของคุณไปเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์