Latest

ระวังนะ..คุณจะแก่และตายไปพร้อมกับความสงสัย

เรียนอาจารย์หมอสันต์
ติดตามอาจารย์มาตลอดครับ และชื่นชมการตอบคำถามของอาจารย์มาก มันมีความลุ่มลึก และมีเหตุมีผล ในส่วนการตอบทางวิชาการก็มักมีการอ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แสดงให้เห็นว่าอาจารย์เข้าถึงอะไรบางอย่างที่ผมก็ยังไม่สามารถรู้ได้ ก็พยายามปฏิบัติตามที่อาจารย์แนะนำอยู่ครับ เรื่องความรู้ตัวแต่ก็ยังไม่ถึงไหนครับ เกิดคำถามขึ้นครับว่า
     1. ถ้าอาจารย์บอกว่า “ความรู้ตัว ผู้รู้ นี่คือสิ่งที่เป็นตัวเราแท้จริง” มันแยกออกมาจากรูปธรรม นามธรรมทั้งหลาย เอาเข้าจริงๆ ก็เข้าใจที่อาจารย์บอกนะครับ ว่ามันเหนือกว่าการอธิบายด้วยคำพูดใดๆ ทั้งสิ้น มันเป็นของที่ต้องรู้ด้วยตัวเอง เป็นปัจจัตตัง คำถามคือ “ถ้าเราแท้จริง คือ ความรู้ตัว” แล้วสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งรูปธรรม นามธรรม ตั้งแต่ ร่างกายสังขารของเรานี้ เพื่อนมนุษย์ ไปจนถึงสิ่งของต่างๆ ตึกราม บ้านช่อง ไปจนถึงโลกทั้งหมด และจักรวาล มันคืออะไรอะครับ? หรืออาจารย์จะให้เข้าใจว่าเป็นเพียงภาพมายาไม่ใช่ของจริงทั้งนั้น ซึ่งมันยากมากครับ เพราะมันขัดกับความรู้สึกของเรา ที่เราสัมผัสรับรู้อยู่กับสิ่งที่เป็นรูปธรรมมาตลอด และคิดว่าเป็นของจริง แล้วมันจะไม่ใช่ของจริงได้ยังไงอะครับ ในเมื่อเราสัมผัสมันอยู่ รับรู้มันอยู่ทางประสาทสัมผัสทุกๆวัน
     2. ความรู้ตััว หรือความหลุดพ้น จะทำให้ตัวเราแท้จริง แยกออกมาจากตัวเราที่เป็นร่างกายหรือสังขารได้ยังไงครับ ในเมื่อมันยึดโยงกันอยู่ตลอด สังขารมันมีเจ็บ มีป่วย มีเหนื่อย มีหิว พอหิวขึ้นมาเราก็ต้องไปหาข้าวให้มันกินอยู่ทุกวันๆ มันแยกออกมาว่าไม่ใช่ตัวเราได้ยังไงอะครับ ในเมื่อทุกวันเราก็ยังต้องดูแลร่างกายสังขารของเราให้มันดำรงชีวิตไปได้ๆ ในทุกวันๆ เหมือนที่อาจารย์ก็ยังต้องบำรุงสังขารด้วยการกินดี ออกกำลังกาย อย่างนี้ก็ถือว่าเรายึดติดกับร่างกายอยู่หรือเปล่าครับ
     3. การปฏิบัติความรู้ตัวมากๆ มันจะทำให้เกิดการไปผิดทางได้ไหมครับ เหมือนอย่างทางพุทธศาสนาว่า การฝึกดูจิตต้องมีอาจารย์คอยสอบอารมณ์นะ ไม่งั้นผิดทางจะเป็นบ้าไปได้ ยังงี้ เราจะมีโอากาสผิดทาง ถึงขั้นเป็น psychi ได้มั้ยครับ หลงผิดหลุดไปเลย ละทิ้งสังขาร ทิ้งโลกทุกอย่าง เพราะถือว่ามันไม่ใช่ของจริงอย่างงี้อะครับ
     4. แต่ยังไงผมก็เข้าใจนะครับ ว่าความรู้ตัวคือคำตอบของทุกอย่าง แต่คำถามของผม มันมาจากคนที่ยังไม่หลุดพ้นนะครับ บางทีจึงยังไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์คงเข้าใจและเข้าถึงแล้วตอนนี้ อาจารย์เคยอ่าน หนังสือเรื่อง The power of now มั้ยครับ content ก็คล้ายๆ กับที่อาจารย์กำลังสอนอยู่เลยครับ
ขอบพระคุณสำหรับคำตอบนะครับ

(ชื่อ) ……

…………………………………………

ตอบครับ

    1. ถามว่าที่ว่าโลกนี้คือภาพหลอนนั้นเป็นอย่างไร แล้วสิ่งของต่างๆ ตึกราม บ้านช่อง ไปจนถึงโลกทั้งหมด และจักรวาลนี้ มันคืออะไรอะครับ ตอบว่า คุณกำลังพยายามที่จะคลี่คลายความแตกต่างระหว่างสมมุติบัญญัติ กับ สิ่งที่ความรู้ตัวรับรู้ตามที่มันเป็น ด้วยวิธีคิดใคร่ครวญเอาคำตอบ ระวังนะ..คุณจะแก่แล้วตายไปพร้อมกับความสงสัยแบบตลอดชีพโดยไม่ทันได้เรียนรู้อะไรเป็นเนื้อเป็นหนัง เพราะเนื้อหาเรื่องที่คุณสงสัยนั้นไม่อาจเข้าถึงด้วยการคิดเอา ยิ่งคุณพยายามคิดยิ่งพยายามอ่าน คุณก็ยิ่งหลงเข้าไปในรกในพงของสมมุติบัญญัติ เนื้อหาเรื่องที่คุณสงสัยจะเข้าถึงได้ก็ด้วยการ “รู้” ผ่านสำนึกของการเป็นผู้รู้ตัว (ไม่ใช่สำนึกของการเป็นบุคคล) เท่านั้น

     อย่างไรก็ตาม แม้ผมจะไม่ตอบคำถามของคุณตรงๆอย่างที่คุณอยากให้ตอบ ผมจะเลือกพูดถึงประเด็นที่คุณน่าจะนำไปใช้ประโยชน์ในชีิวิตจริงได้บางประเด็นดังนี้

     ประเด็นที่ 1. การสอนทางจิตวิญญาณทุกกรณี ทุกศาสนา เขาสอนกันเรื่องของจิตใจเท่านั้นนะ รวมทั้งคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยในกรณีที่คุณนับถือพุทธ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องจิตใจล้วนๆ แม้แต่ร่างกายยังไม่ได้พูดถึงเลย ส่วนตึกราม บ้านช่อง คอนโด ก้อนหิน เหล่านั้น ไม่มีครูทางจิตวิญญาณคนไหนไปพูดถึงมันเลยนะ คำว่า “โลก” ในการสอนเรื่องจิตวิญญาณหมายถึงโลกที่ปรากฎในใจคุณ ไม่ใช่คุณไปเคาะผนังตึกป๊อกๆแล้วตั้งปุจฉาว่าแข็งโป๊กอย่างนี้จะเป็นภาพหลอนไปได้อย่างไรกันวะ นั่นคุณไปแสวงหาผิดที่แล้ว

    ประเด็นที่ 2. เรื่องความเป็นมายาหรือสมมุติบัญญัติของโลก ผมจะพยายามอธิบายให้คุณนะ

     ชีวิตประกอบขึ้นจากสามส่วนคือ ร่างกาย ความคิด และความรู้ตัว

     ร่างกายนั้นเป็นฮาร์ดแวร์ เอาไว้ก่อนนะ เรามาพูดถึงแต่ซอฟท์แวร์ คือ “ความคิด” และ “ความรู้ตัว” ก่อน

    ความรู้ตัวนั้นอุปมา1 เหมือนน้ำในมหาสมุทรซึ่งกว้าง ลึก นิ่ง และเย็น ขณะที่สิ่งที่เกิดขึ้นให้ความรู้ตัวได้รับรู้ (เช่นภาพ เสียง สัมผัส) ณ ขณะใดขณะหนึ่งนั้น อุปมาเหมือนผิวน้ำในมหาสมุทร บ้างก็เป็นลูกคลื่น บ้างก็แตกกระจายเป็นฟอง บ้างก็เป็นวังน้ำวน ซึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เมื่อดับไปแล้วก็ไม่ไปไหน เพราะมันก็ล้วนเป็นน้ำนั่นแหละ นั่นหมายฟามว่าทั้งตัว “ผู้รู้ตัว” เอง และทั้งสิ่งที่ถูกรับรู้ แท้จริงแล้วเป็นสิ่งเดียวกัน พูดอย่างนี้จะงงไหมเนี่ย งงก็ไม่เป็นไร เก็บความงงไว้ก่อน เพราะตรงนี้ถ้ามัวขยายความจะยิ่งเสียเวลามากเกินไป

     เวลาผ่านไป ทันใดนั้น แอ่น แอ้น แอ๊น ก็มีชายคนบ้ามาจากไหนไม่รู้พายเรือผ่านมาบนผิวน้ำแล้วบอกว่า นี่คือคลื่นมีรูปร่างเป็นระลอกๆ นั่นคือฟองน้ำมีรูปร่างกลมๆบางๆมีลมอยู่ข้างใน นั่นคือวังน้ำวนมีลักษณะไหลวนชลเชี่ยวเป็นเกลียวลึกลง และโน่นคือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่ลึกนิ่งและเย็น สิ่งที่ชายคนบ้าคนนี้สาธยายออกมาจากปากของเขาคือความคิด หรือคอนเซ็พท์ หรือสมมุติบัญญัติ ซึ่งแจงออกมาเป็นชื่อ (names) และรูปร่าง (forms) แต่ว่าทั้งชื่อและรูปร่างที่เขาพูดถึงนั้น มันเป็นคนละอันกับของจริง ไม่ว่าจะเป็นมหาสมุทร คลื่น ฟองน้ำ หรือวังน้ำวน

     การที่เรามองเห็นได้ยินสัมผัสสิ่งรอบตัวที่นี่เดี๋ยวนี้ตามที่มันเป็น ไม่ได้พากย์หรือพิพากษาหรือใส่ชื่อบอกรูปร่าง นั่นคือความรู้ตัวขณะที่รับรู้ปัจจุบัน

     แต่การที่เราคิดวิเคราะห์จดจำขยายความสิ่งที่เรามองเห็นได้ยินสัมผัสออกมาเป็นชื่อและรูปร่าง นั่นคือความคิด หรือคอนเซ็พท์ หรือสมมุติบัญญัติ ซึ่งเป็นเพียงมายา ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับของจริง เหมือนกับที่คนพายเรือมาไม่เกี่ยวอะไรเลยกับมหาสมุทรและผิวน้ำ

     อุปมา2 บังเอิญตอนนี้ผมกำลังนั่งดูภรรยาวาดภาพสีน้ำมันบนผ้าใบอยู่ ขออุปมาความคิดและความรู้ตัวว่าเหมือนผ้าใบซึ่งมีสองด้าน คือด้านหน้าและด้านหลัง ตัวผ้าใบคือความรู้ตัว ด้านหน้าของผ้าใบที่มองเห็นเป็นภาพท้องทุ่งทัสคานี่ที่ประเทศอิตาลีคือสมมุติบัญญัติ ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างความรู้ตัว (คือผ้าใบ) กับความคิดหรือสมมุติบัญญัติ (คือสีที่วาดลงไป) ส่วนผสมนี้จะเรียกว่า “ใจ” ก็คงได้กระมัง เป็นส่วนที่บอกเรื่องราวในอดีตอนาคต ส่วนด้านหลังที่มองเห็นเป็นผิวผ้าดิบคือสิ่งที่ความรู้ตัวรับรู้ได้ตรงๆอันได้แก่ภาพเสียงสัมผัสก่อนที่จะมีการตั้งชื่อบอกรูปร่างซึ่งเราเรียกง่ายๆว่า “ปัจจุบัน” ด้านหลังผ้าใบนี้ใกล้ชิดกับเนื้อผ้าใบมากหรือจะพูดให้ถูกก็คือมันเป็นสิ่งเดียวกัน การจะเข้าถึงเนื้อผ้าต้องมองทางด้านหลังผ้าใบ ไม่ใช่ไปมองทางด้านหน้าซึ่งเป็นภาพท้องทุ่งอันเปรียบเสมือนสำนึกของความเป็นบุคคลซึ่งไม่มีอะไรที่จะคล้ายเนื้อผ้าอันเปรียบเหมือนสำนึกของความเป็นผู้รู้ตัวเลย ฉันใดก็ฉันนั้น ในการใช้ชีวิตในแต่ละวันนี้อย่าเผลออยู่แต่กับความคิดหรืือสมมุติบัญญัติที่เราเรียกชื่อได้บอกรูปร่างได้ มันไม่ใช่ของจริง ให้หมั่นพลิกไปรู้ด้านหลัง คือการรับรู้ (perception) ภาพ เสียง สัมผัส ณ ปัจจุบันตามสภาพที่มันเป็นก่อนที่จะมีการพากย์และพิพากษาหรือบอกชื่อและรูปร่าง เพราะนั่นเป็นของจริงที่แนบชิดแทบจะเป็นอันเดียวกับความรู้ตัว

          เมื่อคุณตั้งหลักอยู่ที่ความรู้ตัวได้แล้ว จากจุดนี้ให้คุณเฝ้าดูสรรพสิ่งในปัจจุบันตามที่มันเป็น ถึงตอนนี้อาวุธของคุณคือความสนใจ (attention) เมื่อใดที่มีความคิดเกิดขึ้นโดยคุณไม่ได้ตั้งใจ แสดงว่าคุณปล่อยให้ความสนใจพุ่งออกไปภายนอก (หมายถึงนอกความรู้ตัว) ให้คุณดึงความสนใจจากภายนอกเข้ามาอยู่กับความรู้ตัวใหม่ ให้คุณขยันเฝ้าดูอยู่อย่างนี้ เฝ้ามองการขึ้นๆลงๆของความคิดจากความรู้ตัวซึ่งนิ่งๆ อย่างมั่นคงโดยไม่แวะเข้าไปข้องเกี่ยวกับความคิดเหล่านั้น จนความคิดที่สับสนอลหม่านค่อยๆลดจำนวน ลดความแรง แล้วหมดกำลังในที่สุด

     การไปสู่ความรู้ตัวนี้ คุณไม่ต้องเดินทางไปค้นหาที่ไหน และคุณไม่ต้องสร้างมันขึ้นมา มันมีของมันอยู่แล้ว มันไม่ใช่คำสอนที่ต้องทำความเข้าใจด้วยซ้ำไป มันเป็นตัวคุณอยู่แล้ว และมันอยู่ที่ในตัวคุณที่นี่เดี๋ยวนี้นี่เอง ส่วนความคิดก็ดี คอนเซ็พท์ก็ดี ความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นบุคคลคนนี้ก็ดี ตำราก็ดี คำสอนก็ดี คัมภีร์ก็ดี ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสมมุติบัญญัติ ไม่ใช่ของจริง การไปนิยามความคิด ถกคอนเซ็พท์ เถียงกันถึงข้อความในตำรา เป็นการพายเรือพูดจ๋อยๆอยู่บนผิวน้ำ เป็นการไปคนละทาง ไม่มีวันที่จะได้เข้าถึงตัวน้ำอันเป็นความรู้ตัวที่แท้จริง
 
  2. ถามว่าจะวางความยึดติดในร่างกายนี้ได้อย่างไรเพราะชีวิตกับร่างกายมันดูเป็นชิ้นเดียวกัน ตอบว่าถ้าวางไม่เป็นก็ยังไม่ต้องวาง แต่ให้โฟกัสที่การรับรู้และยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ณ ปัจจุบันตามที่มันเป็น รวมถึงรับรู้และยอมรับความเปลี่ยนแปลงใดๆที่เกิดขึ้นกับร่างกายด้วย ให้ดำเนินชีวิตเหมือนแม่น้ำท่ี่ไหลผ่านฝั่งแห่งทุกข์และสุขไปอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่มีหนีฝั่งหนึ่งไปยึดเกาะกับอีกฝั่งหนึ่ง สุขมาก็รับได้หมด ทุกข์มาก็รับได้หมด อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ไม่ต้องไปร้อนรนกระวนกระวายอะไร ทำแค่นี้ได้ก็มีค่าเท่ากับวางความยึดติดในร่างกายลงได้แล้ว

     อนึ่ง การไม่ยึดติดในร่างกายไม่ได้หมายความว่าจะไม่ดูแลร่างกาย คุณซื้อรถยนต์มาคุณก็ต้องดูแลล้างเช็ดและพาเข้าอู่เมื่อถึงเวลาทั้งๆที่รถยนต์ก็ไม่ใช่ตัวคุณ ร่างกายก็เช่นกัน มันเป็นเพียงพาหนะของคุณก็จริงแต่คุณก็ต้องดูแล การดูแลไม่ดูแล เป็นคนละเรื่องกับการยึดติดไม่ยึดติด การดูแลเป็นเรื่องที่ร่างกาย ส่วนการยึดติดเป็นเรื่องที่ใจของคุณ

    3. ถามว่าการฝึกความรู้ตัวจะทำให้บ้าไหม ตอบว่าการฝึกความรู้ตัวคือการฝึกวางความคิด ทำให้ความคิดทีี่มากมายเฟอะฟะหรือวกวนซ้ำซากลดน้อยลง จิตใจสงบเย็นขึ้น เป็นการช่วยรักษาโรคบ้าห้าร้อยจำพวกได้ด้วย และไม่ทำให้คนดีๆกลายเป็นบ้าแน่นอนครับ

      ส่วนที่คุณว่าในศาสนาพุทธคนไปฝึกจิตแบบไม่มีอาจารย์ชี้นำแล้วเป็นบ้าได้นั้น คุณคงหมายถึงการฝึกสมาธิ (concentration meditation) ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการฝึกวางความคิด อย่างไรก็ตามแม้การฝึกสมาธิก็ไม่ได้ทำให้คนเป็นบ้าดอก คุณเข้าใจผิดไปมาก เพื่อแก้ความเข้าใจผิดนี้ไม่ให้ระบาดไป ผมขอเสียเวลาอธิบายเรื่องการฝึกสมาธิหน่อยนะ

      การมีสมาธิมีหลายระดับ ระดับปกติในชีวิตประจำวันคือคุณจะทำอะไรแล้วใจคุณอยู่ที่สิ่งนั้นได้อย่างน้อยก็คร่าวๆไม่แว้บหายไปไหนนานๆ เช่นคุณนั่งรถเมล์ไป คุณก็เตือนตัวเองว่าอีกกี่ป้ายจะถึงที่หมายที่คุณจะต้องลง จะได้ไม่นั่งเลยป้ายไป นี่เป็นสมาธิขั้นต้น ขั้นถัดขึ้นมาคือคุณมีความสามารถตั้งใจจดจ่อกับการทำการงานเป็นพิเศษเช่นศิลปินจะวาดรูป หรือผมจะผ่าตัดหัวใจ ผมต้องตั้งใจจดจ่อเป็นพิเศษจึงจะทำได้ สมาธิทั้งสองระดับนี้มีในตัวเราทุกคน ไม่ต้องไปนั่่งฝึกสมาธิ และสมาธิแค่สองระดับนี้ก็เพียงพอแล้วที่คุณจะใช้เป็นพื้นฐานในการฝึกความรู้ตัว

      ส่วนการไปนั่งหลับตาฝึกสมาธินั้นเป็นการฝึกจดจ่อกับอะไรสักอย่างหนึ่งอย่างเดียวแบบจดจ่ออย่างยิ่งเพื่อให้เกิดสมาธิระดับที่ลึกยิ่งขึ้นไปอีก ขณะฝึกสมาธิแบบนี้คุณจะทำการทำงานอะไรไม่ได้เลย ต้องจดจ่อนิ่งๆอย่างเดียว และเมื่อเกิดสมาธิลึกเข้าไปๆ สมองจะรับรู้สิ่งเร้ารอบตัวได้น้อยลงๆ ภาษาแพทย์เรียกว่าเกิด sensory deprivation ทำให้สมองมีความไวต่อสิ่งเร้าเล็กๆน้อยๆเช่นภาวะขนลุกขนชันหรือร้อนวูบวาบหรือเหน็บๆจี๊ดๆที่ผิวหนังซึ่งในภาวะปกติที่มีสิ่งเร้ามากมายสมองจะไม่รับรู้สัญญาณละเอียดพวกนี้ นอกจากนี้แล้วการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติก็จะมีความไวมากขึ้นเป็นพิเศษ ทำให้เกิดอาการที่เป็นผลจากการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติบางส่วนไวเกินไปเช่นน้ำลายไหล น้ำตาไหล ขณะเดียวกันสมองก็อาจรับรู้ภาพหรืือเสียงซึ่งไม่มีแหล่งกำเนิดจริง เช่นเห็นภาพหลอน หรือได้ยินเสียงหลอน แต่เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นขณะมีสติมีสมาธิดี คนที่สุขภาพจิตปกติอยู่ก่อนพอพบกับประสบการณ์เหล่านี้เขาก็แค่รับรูุ้โดยไม่มีปัญหาอะไร มีแต่คนที่มีพื้นเป็นโรคจิตเภทที่แยกแยะอะไรจริงอะไรหลอกไม่ออกอยู่ก่อนแล้วเท่านั่นแหละที่พอเกิดภาพหลอนหรือเสียงหลอนขึ้นมาแล้วจะไปหลงเข้าใจผิดว่าเป็นของจริงเป็นตุเป็นตะ คือพูดง่ายๆว่าอาการโรคบ้าที่มีอยู่เก่าแล้วเกิดกำเริบขึ้นมาขณะฝึกสมาธิ

     ปลายทางของการนั่งฝึกสมาธิคือการที่ใจเป็นหนึ่ง นิ่งอยู่กับสิ่งเดียว มีข้อดีคือความคิดขณะนั้นน้อยลง ทำให้เข้าถึงความรู้ตัวได้ง่ายขึ้น คือมีประโยชน์สำหรับคนที่วางความคิดด้วยสมาธิในชีวิตประจำวันไม่ลง แต่ก็มีข้อเสียคือขณะนั่งสมาธิจะเกิดความสบายกายสบายใจจนทำให้ติดอกติดใจ พอเลิกนั่งกลับมาใช้ชีวิตประจำวันทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม หรืออาจมีความหงุดหงิดมากกว่าเดิมเพราะใจอดเปรียบเทียบกับตอนนั่งสมาธิไม่ได้จึงรู้สึกว่าไม่มีความสุขกับชีวิตประจำวันเหมือนตอนที่ได้นั่งสมาธิ เลยกลายเป็นคนติดสมาธิ ติดวัดติดวา หนีโลก

     ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการฝึกความรู้ตัวซึ่งเป็นการอาศัยสมาธิระดับที่ทุกคนมีอยู่แล้วเป็นปกติประจำตัวมาเอื้อให้สามารถเฝ้าดูความคิดขณะใช้ชีวิตประจำวันทำการทำงานอยู่ เฝ้าดูการเกิดของความคิด เฝ้าดูการสลายตัวของความคิด วางความคิดลงให้เป็น หรือตั้งคำถามเพื่อสืบหาต้นตอที่มาของความคิดเพื่อให้วางมันลงได้ง่ายขึ้น การฝึกความรู้ตัวนี้เป็นคนละเรื่องกันและไม่เกี่ยวอะไรกันกับการฝึกสมาธิ

     4. ถามว่าหมอสันต์เคยอ่านหนังสือเรื่อง The Power Of Now ไหม ตอบว่าเคยอ่านเมื่อนานหลายปีมาแล้วครับ และผมนับถือว่าเป็นหนังสือที่ดีมากในระดับโลกเล่มหนึ่งเลยทีเดียว แต่อย่าลืมว่าหนังสือเล่มใดๆไม่ว่าจะดีแค่ไหนก็เป็นแค่สมมุติบัญญัตินะ มันอยู่ตรงกันข้ามกับทางแห่งความหลุดพ้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์