Latest

การเสียสติ ก็คือการทำแบบเดิมๆซ้ำๆแต่คาดหมายผลลัพท์ที่ต่างจากเดิม

(ภาพวันนี้ / ชงโคหน้าบ้าน บานรับลมหนาว)

(หมอสันต์พูดกับกลุ่มแฟนบล็อกที่มาเยี่ยม)

เวลาเราได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่มาเครื่องหนึ่ง เราสนใจอ่านคู่มือการใช้งานอย่างจริงจังเพราะอยากจะใช้ประโยชน์จากความซับซ้อนของมันให้เต็มที่ ฟังชั่นพื้นฐานที่สำคัญเช่นกดตรงไหนมันจะสนองตอบอย่างไร หรือถ้าเปิดแอ็พทิ้งไว้มันจะกินพลังงานของเครื่องจนแบตหมด ทุกคนที่มีโทรศัพท์มือถือจะรู้กันทั่ว

แต่ร่างกายและใจซึ่งเราได้มาตั้งแต่เกิดและจะต้องใช้มันไปจนตายนี้ มีสักกี่คนที่รู้ว่ามันก็เป็นหุ่นยนต์หรือเป็นเครื่องยนต์ (machine) ชิ้นหนึ่ง มีสักกี่คนที่รู้ว่ามันทำงานโดยกลไกอัตโนมัติเมื่อได้รับสิ่งเร้าอย่างนี้มันต้องสนองตอบอย่างนี้ทุกคราวไปเพราะฟังชั่นพื้นฐานของมันผูกเป็นวงจรไว้เช่นนั้น และมีใครรู้บ้างว่ามันทำงานได้ด้วยพลังงานเหมือนที่มือถือทำงานด้วยแบตเหมือนกัน และถ้าเปิดแอ๊พตัวหลักๆทิ้งไว้เช่นการคิดอะไรฟุ้งซ่านเปะปะหรือคิดกังวล ไม่นานแบตมันก็จะแผ่วลง

ยิ่งไปกว่านั้น มีสักกี่คนที่รู้ว่ากายและใจนี้เป็นหุ่นยนต์ที่ประกอบมาแบบยังไม่ทันเสร็จก็เอาออกมาขายแล้ว พูดอีกอย่างว่ากายและใจนี้เป็นหุ่นยนต์ที่ยังไม่สมประกอบ มีแต่ฟังชั่นพื้นฐานคือกลไกการสนองตอบอัตโนมัติ (automatic reflex) ที่ทำงานได้ไม่ค่อยพลาด แต่ฟังชั่นขั้นสูงเช่นการดาวน์โหลดข้อมูลแบบที่เรียกว่าปัญญาญาณ (intuition หรือ wisdom) ยังติดตั้งมาแบบไม่เสร็จเรียบร้อย ผู้ใช้งานซึ่งส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีใช้ก็จะใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย

ลองนึกภาพดูซิว่าโลกทั้งโลกนี้บริหารโดยนักการเมือง นักบริหารธุรกิจ นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาชีพ ครูสอนวิชาต่างๆ และเหล่านักรบ ซึ่งทั้งหมดเกือบทุกคนล้วนเป็นหุ่นยนต์ที่ยังไม่สมประกอบ แล้วจุดจบของโลกใบนี้มันจะเป็นอย่างไร คุณคงพอเดาออกใช่ไหม

การทำอะไรแบบซ้ำๆซากๆอย่างที่เคยทำแล้วคาดหวังผลอย่างที่เคยได้ย่อมเป็นเรื่องปกติ อย่าว่าแต่สำหรับคนเลยแม้สำหรับหมาแมวมันก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่การที่คนจำนวนมากด้านหนึ่งก็ทำอะไรซ้ำๆซากๆไปตามกลไกสนองตอบด้วยการคิดพูดทำอย่างอัตโนมัติวันแล้ววันเล่า แต่อีกด้านหนึ่งในใจกลับ “คาดหวัง” หรือ “จินตนาการ” ว่าการทำอะไรแบบเดิมซ้ำๆซากๆนั้นจะให้ผลที่แตกต่างจากเดิม ซึ่งมันจะเป็นไปได้อย่างไร

วงจรสนองตอบด้วยการคิดพูดทำแบบอัตโนมัติ มันค่อยๆถูกผูกขึ้นตั้งแต่แรกเกิด แล้วค่อยๆซับซ้อนขึ้นและซ้ำซากมากขึ้นๆ ทำให้วิธีที่เราใช้ชีวิตมาในอดีตมีผลต่อการใช้ชีวิตของเราในปัจจุบันอย่างซ้ำซาก จนดูเหมือนเราจะหลีกเลี่ยงผลของมันไม่ได้เลย แต่ความเป็นจริงคือเราสามารถปิดหรือยกเลิกวงจรการคิดพูดทำแบบอัตโนมัตินี้ได้ โดยการฝึกสังเกตเข้าไปในใจของตัวเอง (self observation) ทุกครั้งที่มีสิ่งเร้าเข้ามา สังเกตว่าเราสนองตอบด้วยการคิดอย่างไร ด้วยการมีอารมณ์มีความรู้สึกอย่างไร สังเกตแบบรับรู้เฉยๆและขณะเดียวกันก็ติดเบรคไม่ยอมให้การคิดพูดทำอย่างอัตโนมัติเกิดขึ้นตามหลัง คล้ายกับฝึกสกดตัวเองให้หยุดอยู่นิ่งๆ แต่ทำอย่างผ่อนคลาย ปล่อยให้สิ่งเร้าผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะมาดีมาร้ายก็ปล่อยให้มันผ่านเข้ามาก่อน ไม่รีบสนองตอบออกไปอย่างอัตโนมัติ ไม่รีบแกว่งเข้าไปหาถ้าเป็นสิ่งที่ชอบ ไม่รีบแกว่งหนีถ้าเป็นสิ่งไม่ชอบ เพราะการแกว่งคือการสร้างความคิดใหม่ขึ้น ซึ่งความคิดใหม่นี้จะทำหน้าที่เป็นสิ่งเร้าตัวใหม่ให้เกิดการสนองตอบอัตโนมัติต่อไปอีกอย่างควบคุมไม่ได้และไม่รู้สิ้นสุด ดังนั้น ให้อยู่นิ่งๆตรงกลางก่อน ยอมรับให้มันเข้ามาก่อน หายใจเข้าลึกๆก่อน สังเกตรับรู้โดยไม่คิดอะไรต่อยอดก่อน จนเมื่อความเร่งเร้าของกลไกอัตโนมัติสงบลงแล้วจึงค่อยจงใจสนองตอบออกไปอย่างรู้ตัวมีสติ ขยันฝึกทำแบบนี้ไป เน้นการฝึกที่ในลมหายใจนี้เลย เมื่อฝึกไปได้ระดับหนึ่งความคิดเปะปะไม่ว่าจะเป็นความเสียใจกับอดีต ความกลัว และความหวังลมๆแล้งๆ จะลดปริมาณลง พลังชีวิตซึ่งเคยถูกใช้ไปแบบเปะปะกับการคิดก็จะเพิ่มระดับสูงขึ้น และจะเป็นตัวเปิดให้เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของใจขณะปลอดความคิด ซึ่งมีคุณลักษณะสามอย่างคือเป็นความตื่นที่สามารถรับรู้อะไรได้ เป็นความเมตตา และเป็นปัญญาญาณ อุปมาเหมือนการดาวน์โหลดสิ่งไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นลงมาใช้งานได้ เมื่อนั้นหุ่นยนต์ตัวนี้ก็จะสมประกอบและใช้การได้ดีเต็มศักยภาพของมัน

คุณไม่ต้องเชื่อผม แต่ผมท้าทายให้คุณทดลองกับตัวเอง ให้เห็นด้วยตัวเอง โดยให้คุณเจาะจงขยันทำเฉพาะที่ลมหายใจนี้ นั่นก็ให้คือทำทุกลมหายใจนั่นแหละ ประเด็นสำคัญคือเลิกเสียทีการทำแต่สิ่งเดิมๆ แบบเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ แล้วนั่งฝันว่าสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิมจะเกิดขึ้นในชีวิต นั่นเป็นการเสียสติไปแล้วเพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปได้ที่คุณจะตั้งใจขยันลงมือเลิกกลไกสนองตอบอัตโนมัติที่เป็นตัวทำลายพลังชีวิตของคุณอย่างไม่ลดละ จนเหลือพลังชีวิตมากพอที่จะเปิดให้คุณเข้าถึงสิ่งใหม่ๆดีๆกว่าเดิมได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์