Latest

เภสัชกรร้านยา เป็นผู้มีศักยภาพมากที่สุด เข้าถึงได้ง่ายที่สุด และอยู่กับคนที่ motivated สูงสุด

(ภาพวันนี้ / ชวนชมแดง กับคอสมอสชมพู)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เรียน อ.สันต์ ที่เคารพค่ะ

     สนใจเรื่อง หายป่วยได้ไม่พึ่งยา แต่อยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ concept ไม่ตรงกัน

ทำงานเป็นเภสัชกร อยู่ รพ.ตติยภูมิ เห็น ผอ.ขยาย รพ.เอาเรื่อย สร้างตึกใหม่รองนับคนไข้นะคะ แต่ไม่มีบุคลากรมาสมัคร ทุกคนเหนื่อยทำงาน รพ. ที่วันแล้ววันเล่าคนไข้เยอะ หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

เป็นเภสัช นอกแถว จ่ายยาให้คนไข้ตะเบ็งเสียงดังๆ อธิบายการปรับวิถีชีวิต ได้วันสองวัน ร่างกายก็ไม่ไหว เพราะคนไข้เป็น 2000 คน…แล้วจะกลับไปปฏิบัติตามก็คงไม่ใช่ เราเองรู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่หนทาง แต่เพื่อนร่วมงานก็ไม่มีใครร่วมด้วย ลูกน้องก็เอาแต่เงิน ไม่สนใจทำงาน passion ให้ผู้ป่วย ติดกับดักวัตถุนิยม ทั้งนั้น เหนื่อยทั้งการปรับทัศนคติทั้งคนนอกและคนใน ชีวิตก็ไม่ได้ไปไหน เหนื่อยทุกวี่วัน จะเข้าใกล้ mode ซึมเศร้าซะแล้วที่การศึกษาประเทศไทยไม่ได้ดังใจ คนขาดความรู้ในเรื่องการดูแลสุขภาพจริงๆ แบบไม่ต้องใช้ตัวช่วย ยาฉีดลดน้ำหนัก

อ.คงฟังมาตั้งนาน ต้องการสื่อสารอะไร? หนูขอบ่นก่อนนะคะ จะเรียนปรึกษา อ.ค่ะ เรื่องส่วนตัวมาก หนูลาออกมาเป็นเภสัชกรต๊อกต๋อย กัดก้อนเกลือกิน แล้วทำหายป่วยได้ไม่พึ่งยาออนไลน์ ตามลำพัง ทำ part time รพ. หาผู้ป่วยสนใจเข้าร่วม แนวคิด…ได้รายได้พอเลี้ยงชีพ แต่หนูรู้สึกว่าชีวิตมันดูมีความหมายมากกว่าจริงๆ ค่ะ  

ปล. ไม่รู้ว่าออกมาลำบาก แล้วจะยังมีความหมายได้อีกมั้ย กราบรบกวน พื้นที่ email อ.สันต์ จริงๆ ค่ะ แต่หนูไม่รู้จะไปปรึกษาใครได้จริง 

ด้วยความเคารพอย่างสูง

…………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าเป็นเภสัชกรในรพ.ใหญ่ของรัฐแล้วรู้สึกว่างานที่ทำไม่สร้างสรรค์จนตัวเองออกอาการซึมเศร้าเพราะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไร้ค่า จึงลาออกจากราชการมาเป็นเภสัชกรอิสระทำสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าสร้างสรรค์ เป็นการตัดสินใจที่เข้าท่าไหม ตอบว่าเป็นการตัดสินใจที่เข้าท่ามากครับ

2.. ถามว่าพาตัวเองออกมามีชีวิตลำบากแล้วชีวิตอย่างนี้จะยังมีความหมายได้หรือไม่ ขอแยกตอบในสองประเด็นนะ

ประเด็นที่หนึ่ง ชีวิตที่ลำบาก ผมไม่เห็นว่าการที่คุณซึ่งมีการศึกษาดีมีสุขภาพดีเดินเหินไปไหนมาไหนได้จะมีชีวิตที่ลำบากตรงไหนเลย ชีวิตที่ลำบากคือชีวิตที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง พิการ ทุพลภาพ สะง็อกสะแง็ก เดินเหินไม่ได้ ทำอะไรเองไม่สะดวก แบบนั้นพอจะเรียกว่าเป็นชีวิตลำบากได้ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังเห็นผู้ป่วยของผมท่านหนึ่งเป็นมะเร็งผ่าตัดไปหลายอวัยวะต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปไหนมาไหนแต่ท่านก็ยังยิ้มแย้มกับชีวิตได้ไม่บ่นสักคำว่าชีวิตของท่านลำบาก คุณประเมินว่าชีวิตคุณเองลำบากเอาจากการที่คุณมีรายได้ลดลง อ้าว ก็ไหนคุณเพิ่งค่อนแคะเพื่อนร่วมงานเก่าว่าจะเอาแต่เงิน ติดกับดักวัตถุนิยมไง แล้วทำไมคุณยังไปคิดแบบเขาละ ผมจะบอกให้นะ ชีวิตนี้ถ้ายังหายใจเข้าออกได้สะดวก มีอากาศหายใจ มีน้ำดื่มน้ำใช้ มีอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายกิน มีที่หลับนอน และเดินเหินไปมาได้ มันก็เป็นชีวิตที่ดีมากแล้ว ได้แค่นี้ชีวิตนี้ก็ได้มามากเกินพอที่มีชีวิตอยู่อย่างสงบเย็นและสร้างสรรค์ได้แล้ว

ประเด็นที่สอง ความหมายของชีวิต การไปตั้งธงว่าชีวิตจะต้องมีความหมายอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นการสร้างคอนเซ็พท์ขึ้นมาครอบหัวตัวเองนะ ผมเรียกว่าเป็นการบ้าดี มันจะไปต่างอะไรกับลูกน้องเก่าของคุณที่มีคอนเซ็พท์บ้าเงินบ้าวัตถุนิยมที่ชีวิตมีอยู่เพื่อตุนเงิน หรือคนบ้าบุญที่มีคอนเซ็พท์ต้องทำบุญตุนไว้แยะๆเพื่อไปสวรรค์ในชาติหน้า เพราะมันก็ล้วนเป็นความบ้าเหมือนกันนั่นแหละ

คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต แค่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่คนๆหนึ่งพึงได้ใช้ นั่นพอแล้ว ผมหมายความว่าในการเกิดมามีชีวิตนี้ คนคนหนึ่งควรเข้าถึงธรรมชาติที่ส่วนลึกของใจตัวเอง คือ การมีเมตตาธรรมแผ่สร้านขึ้นในใจ (Love) การมีใจที่สงบเย็น (Peace) การมีใจที่เบิกบาน (Joy) และการมีใจที่ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎขึ้นแล้วในชีวิตเรา (Acceptance) สี่อย่างแค่เนี้ยะ Love, Peace, Joy, Acceptance เอาแค่นี้พอ ไม่ต้องไปแสวงหาความหมายเวิ่นเว้อ อะไรอีก ได้แค่นี้ชีวิตของคุณก็จะสงบเย็นและสร้างสรรค์ได้แล้ว แต่ถ้าแค่สี่อย่างนี้คุณยังเข้าถึงมันไม่ได้ แสดงว่าคุณมีกรงของความคิดครอบหรือกีดกันไว้อยู่ไม่ให้คุณเข้าถึง คุณต้องเวอร์คตรงนี้ อย่าไปเวอร์คที่อื่น

3. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมอยากเล่าให้ฟังเพราะเห็นคุณเป็นเภสัชกร และเภสัชกรจำนวนมากก็ติดตามบล็อกหมอสันต์อยู่ คือผมอยากจะเล่าให้ฟังว่าที่ตลาดมวกเหล็กผมเห็นมีร้านขายยาอยู่ร้านหนึ่งคนเข้าไปซื้อยามากจนต้องต่อคิว ร้านขายยาในละแวกนี้มีหลายร้านแต่คนกลับชอบมาร้านนี้ ผมเองก็เคยไปเป็นลูกค้า (เขาไม่รู้จักผมดอกเพราะเวลาผมอยู่ในชุดทำงานขุดดินผมก็มีหน้าตาแบบคนทำงานขุดดิน) ขณะเข้าคิวรอซื้อยา ผมสังเกตว่าสิ่งที่ลูกค้ามาเอาจากเขาไม่ใช่ยา แต่มารับฟังคำแนะนำและทางเลือกในการบำบัดอาการป่วยต่างๆ ซึ่งเขาจะฟังอย่างตั้งใจและอธิบายให้อย่างใจเย็น แค่สองอย่างนี้คือมีคนฟังอย่างตั้งใจมีคนอธิบายให้อย่างใจเย็นมันก็คุ้มแล้วสำหรับการมายืนต่อคิวซื้อสินค้าในร้านของเขา

ที่เล่าให้ฟังก็เพื่อจะชี้ประเด็นว่าเภสัชกรอิสระที่ทำร้านขายยาอยู่เป็น Health Care Provider (HCP) ที่มีความสำคัญมากที่สุด เข้าถึงได้ง่ายที่สุด และทำงานเจาะกลุ่มประชาชนที่มี motivation สูงที่สุด เพราะจะมีใครสนใจการดูแลสุขภาพของตัวเองมากไปกว่าคนที่กำลังมีอาการป่วยจนต้องหาซื้อยามากินเล่า ถ้าคุณมองเห็นเหมือนผม คุณสนใจจะใช้ศักยภาพตรงนี้ของตัวเองไหมละ ดังนั้นผมแนะนำว่าให้คุณเลิกสนใจเพื่อนร่วมงานและลูกน้องเก่าเสียเถอะ เขาจะเอาหัวเดินต่างตีนก็ช่างเขาเถอะ ไปสนใจค่อนแคะเขาคุณก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา หันมาโฟกัสการจะใช้ศักยภาพของคุณในการทำอะไรสร้างสรรค์อย่างที่คุณอยากจะทำดีกว่า

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์