Latest

ชอบช่วยตัวเอง (Masturbation)

มีจดหมายถามเรื่องการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง (masturbation) มาหลายฉบับ ไม่ได้จังหวะตอบสักที ส่วนใหญ่มีเนื้อหาคล้ายๆกัน คือทำมากไป ผมเลือกมาตอบสามฉบับ สำหรับท่านที่เขียนเรื่องนี้มาก่อนหน้านี้ก็ถือว่าได้ตอบไปพร้อมกันนี้ก็แล้วกันนะครับ
จดหมายฉบับที่ 1. 

เรียนคุณหมอที่เคารพ
ดิฉันอายุ35 ปีค่ะ แต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีบุตรค่ะ สามีเป็นคนชอบช่วยตัวเองค่ะ ไม่ค่อยมีเพศสัมพันธ์ร่วมกัน จะมีประมาณหนึ่งเดือนครั้งหรือสองเดือนครั้งค่ะ ขอเรียนถามคุณหมอดังนี้ค่ะ
1. สามีดิฉันผิดปรกติรึเปล่าคะ เคยนั่งคุยกันหลายครั้งในเรื่องนี้ เค้าก็บอกว่าเค้าไม่รู้ว่าทำไม
2. บางครั้งดิฉันช่วยตัวเองค่ะ แต่จะมีเลือดออกหลังออกัสซั่มค่ะ แต่ไม่มากนะคะ แล้วหลัวจากนั้นจะปวดท้องน้อยแบบ ปวดเกร็งค่ะ จะเป็นอันตรายรึเปล่าคะ
ดิฉันอยู่ต่างประเทศ การไปตรวจร่างกายเป็นเรื่องยุ่งยาก และเสียค่าใช้จ่ายแพงมากค่ะ รบกวนคุณหมอแนะนำวิธีแก้ไขในเบื้องต้นให้ด้วยค่ะ และอีกสี่เดือนดิฉันได้กลับไทยจะรีบไปตรวจค่ะ
รบกวนคุณหมอตอบคำถามด้วยนะคะ ขอบพระคุณค่ะ

…………………………………………
ตอบครับ
     1.. ถามว่าสามีชอบช่วยตัวเอง เป็นความผิดปกติไหม ตอบว่า ในทางการแพทย์ ได้มีการวิจัยความสัมพันธ์ของการช่วยตัวเองทั้งหญิงและชายว่าจะสัมพันธ์กับโรคทางกายหรือโรคทางจิตใดๆหรือเปล่า คำตอบนั้นวิจัยกี่ครั้งก็ได้คำตอบเดิม คือการช่วยตัวเอง ไม่มีความสัมพันธ์กับโรคทางกายหรือโรคทางจิตใดๆ ดังนั้นจึงตอบคุณได้ว่าสามีคุณไม่ได้ผิดปกติครับ งานวิจัยบางงานบอกว่าการช่วยตัวเองดีต่อร่างกายซะอีกนะ คือทำให้เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง ทำให้ความดันลดลง
     2.. ถามว่าทำไมภรรยาก็สุดสวย ลูกที่อยากได้กันจังก็ยังไม่ได้ แต่แทนที่จะขยันนอนกับภรรยา นี่ไม่เลย พ่อเจ้าประคุณกับขยันไปช่วยตัวเองซะนี่ ทำไม…ทำไม ตอบว่า ณ ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานจากงานวิจัยใดๆมาตอบคำถามนี้ได้ครับ แต่มีหลักฐานระดับเรื่องเล่า (anecdotal) ซึ่งวงการแพทย์ไม่ถือว่าเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้ มาตอบคุณไปพลางก่อน ดังนี้
     2.1 ในเชิงจิตวิทยา ซิกมันด์ ฟรอยด์ เจ้าเก่า ได้เรียกความผิดปกติทางใจของผู้ชายแบบหนึ่งว่ามี “ปมแม่พระโสเภณีหรือ Madonna-Whore Complex ก่อนจะพูดกันละเอียดต่อไป คุณอย่าไปซีเรียสกับฟรอยด์มากนะ สมัยนี้วงการแพทย์เขาถือว่าความคิดของฟรอยด์เป็นเพียงความคิดเท่านั้น ไม่ใช่หลักฐานวิทยาศาสตร์ คือฟรอยด์ใช้คำนี้เรียกผู้ชายที่กับเมียของตัวเองละก็อ่อนเป็นมะเขือเผาเชียว แต่พอกับหญิงอื่นแม้จะเป็นหญิงชั่วตัวดำขี้เหร่ยังไงก็ตามก็มีอันเป็นคึกคักขึ้นมาน่าหมั่นไส้ ฟรอยด์อธิบายว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเพราะแต่งงานอยู่กินกันไปนานๆเข้าสามีเกิดซาบซึ้งความดีของเมียจนเห็นเมียเป็นหญิงดีเลิศประเสริฐศรีระดับแม่พระหรือแม่ของตัวเองไม่ควรแตะต้องไปเสียฉิบ ย้ำอีกที นี่เป็นความคิดของฟรอยด์เฉยๆนะ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องจริง วิธีแก้นั้นเชิงจิตวิทยาก็ต้องทำจิตบำบัดกันไป ส่วนจิตบำบัดจะได้ผลไหม อันนี้ไม่มีงานวิจัยเปรียบเทียบที่เชื่อถือได้บันทึกไว้
     2.2 ผู้ชายบางคน ชอบเที่ยว แล้วก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะติดโรคอยู่หรือเปล่า จึงหลบเลี่ยงไม่มีเซ็กซ์กับภรรยาเพราะกลัวเอาโรคมาฝากเมียด้วย หลบไปหลบมาเลยการเป็นหลบเป็นอาจิณ อย่างนี้ก็มี
     2.3 ผู้ชายบางคน โดยเฉพาะเมื่ออายุเข้าสู่วัยฮอร์โมนขาลง (อายุขึ้นเลขสี่ไปแล้ว) มักจะมีอาการไปไม่ถึงฝั่ง หมายความว่ามีเซ็กซ์แล้วหมดมู้ดกลางคัน ต้องมีเซ็กซ์แบบรีบๆให้เสร็จๆ ไม่งั้นทำกิจไม่สำเร็จ จึงหลีกเลี่ยงการมีเซ็กซ์กับภรรยาเพราะรู้สึกว่าจะเป็นการเอาเปรียบที่ตัวเองเอาแต่ไปข้างหน้างุดๆไม่สนคู่ขา สู้หลบมาช่วยตัวเองดีกว่า เพราะสำเร็จกิจได้ทันเวลาโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
     2.4 ผู้ชายบางคน มีความเครียด และต้องการใช้เซ็กซ์ระบายความเครียดเท่านั้น ไม่ต้องการอย่างอื่นเลย คือหวังเพียงภาวะผ่อนคลายหลังออร์กัสซั่มมารักษาความเครียดของตัวเอง การมีเพศสัมพันธ์ตามปกติ หากมันไม่ลงตัว มันมีส่วนให้เครียดยิ่งขึ้น เช่นอย่างน้อยก็ต้องมีความเอาใจใส่คู่ขา ว่าขณะเราอยู่ตรงนี้ เขาอยู่ตรงไหน เขารอเรา เราก็ไม่สบายใจ เราต้องรอเขา เราก็ใจร้อนไม่อยากรอ บางคนจึงเห็นว่าเซ็กซ์คู่เป็นการเพิ่มความเครียด สู้ทำเองดีกว่า แบบว่า ใช้ระบบอินสะแต๊นท์ เริ่มสตาร์ทปุ๊บ วิ่ง..ง..ง จู๊ด..ด…ด ถึง ผ่อนคลายเลย (หิ หิ พูดเล่น)
     กล่าวโดยสรุป สามีของคุณไม่ได้ผิดปกติอะไร เขาอยากทำอะไรก็ให้เขาทำไปเถิด อย่าเรียกเขามาสัมนาค้นหาสาเหตุเลย เดี๋ยวจะพาลอยู่กันไม่ได้เปล่าๆ

3.. ถามว่าผู้หญิงช่วยตัวเองแล้วตอนจบมีเลือดปนมูกออกมา มีอันตรายไหม ตอบว่าหลังการเกิดออร์กัสซั่มจะมีสารคัดหลั่งออกมามาก จึงอาจพัดพาเอาเลือดเก่าที่ตกค้าง (เช่นประจำเดือนเก่า) อยู่ในช่องคลอดออกมาด้วย เป็นธรรดาครับ แต่ครั้งหน้าเมื่อไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกกับสูตินรีแพทย์ควรแจ้งอาการนี้ให้หมอทราบด้วย เพื่อหมอเขาจะได้ใส่ใจตรวจดูแหล่งที่มาของเลือดที่อาจมีอยู่แถวๆปากมดลูกเช่นติ่งเนื้อปากมดลูกต่างๆ ด้วย ส่วนที่ว่าถึงออร์กัสซั่มแล้วมีอาการปวดท้องต่างๆนาๆนั้นเป็นเรื่องปกติครับ เพราะเมื่อเกิดออร์กัสซั่มกล้ามเนื้อหดตัวแรง ก็ปวดได้ 
…………………………………….
จดหมายฉบับที่ 2.
สวัสดีค่ะคุณหมอ
พอจะให้คำปรึกษาหนูได้ไหมค่ะ เริ่มเรื่องเลยน่ะค่ะ อาการที่นอนๆไปแล้วช่วยตัวเองมันเกิดจากอะไรบ้างค่ะพอจะให้คำปรึกษาแก้ไข้ได้ไหมค่ะหนูไม่อยากเป็นอาการแบบนี้เล


ตอบครับ
     1.. ถามว่าล้มตัวลงนอนทีไรเป็นอยากช่วยตัวเองทุกทีเป็นเพราะอะไร ตอบว่าก็เป็นเพราะแรงผลักดันจากฮอร์โมนเพศตามธรรมชาตินะสิครับ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร แต่ถ้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นทาสฮอร์โมนจนโงหัวไม่ขึ้น ก็ลองหาอย่างอื่นที่หนุกๆกว่าการช่วยตัวเองทำบ้างสิครับ
     2.. ไม่อยากมีอาการเป็นแบบนี้ จะต้องทำอย่างไร ตอบว่าก็ต้องไป “ตอน” แบบที่เขาตอนไก่ตอนเป็ดนั่นแหละครับถึงจะหายจากอาการนี้ได้ แหะ..แหะ พูดเล่นนะ ตัวเอง ร่างกายธรรมชาติเขาสร้างมาอย่างนี้มันก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่าไปหงุดหงิดกับเขาเลย
     3.. ช่วยตัวเองบ่อยมากเป็นอะไรไหม ตอบว่าไม่เป็นไรหรอกครับ จะทุกวันหรือวันละหลายครั้งก็ไม่เป็นไร สมัยหนึ่ง ไม่นานมานี้เอง คือประมาณปี 2009 รัฐบาลอังกฤษถึงกับรณรงค์ให้วัยรุ่นอังกฤษช่วยตัวเองกันวันละครั้ง ให้ช่วยตัวเองกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยออกโบรชัวร์แจกมีสโลแกนว่า “ถึงออร์กัสซั่มวันละครั้งเตะหมอทิ้งได้เลย” (“an orgasm a day keeps the doctor away”) บ้าดีแมะ เออ. แล้วทำไมพวกอังกฤษซึ่งเป็นฝรั่งเก็บกดในเรื่องเพศต้องมาทำอะไรเพี้ยนๆอย่างนี้ด้วยละ เรื่องของเรื่องก็คือช่วงนั้นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะ HIV กำลังแพร่ระบาดในหมู่วัยรุ่นอังกฤษมาก พวกผู้ใหญ่ (พวกหมอเนี่ยแหละตัวดี) ก็เลยหาทางตัดกำลังวัยรุ่น โดยยุให้ช่วยตัวเองทุกวันให้หมดแรงซะก่อน จะได้ไม่ไปมีเซ็กซ์และแพร่เชื่อโรคสู่กัน ผมไม่ทราบว่าพวกวัยรุ่นอังกฤษสมัยนั้นหลงกลของผู้ใหญ่หรือเปล่า แต่นโยบายนี้ต่อมาก็แผ่วเงียบหายไป
…………………………………………..
จดหมายฉบับที่ 3.

กราบเรียนลุงหมอสันต์
หนูอายุ 16 ปี แต่ว่าชอบช่วยตัวเองมาก และทุกครั้งต้องเอาปากกาลูกลื่นใส่เข้าไปทางช่องเล็กๆ ไม่ใช่ช่องคลอดที่ใหญ่ๆนะ เป็นช่องเล็กๆ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้มันไม่ถึง บางครั้งหนูใส่จนมิดด้าม หนูทำอย่างนี้จะมีอันตรายมากไหมคะ ถ้าลุงหมอไม่ให้ทำอย่างนี้ จะต้องทำอย่างไรให้ถึงและปลอดภัยด้วยคะ
รักลุงหมอมาก ฝุดๆเบย
ตอบครับ
    1.. รูเล็กๆที่อยู่ตอนบนของช่องคลอด  (vagina) คือรูเปิดของท่อปัสสาวะ (urethra) การเอาปากกาลูกลื่นใส่เข้าไปทางนั้นสำหรับคุณมันอาจจะเสียวสะใจดี แต่สำหรับหมอละมันเป็นเรื่องน่าหวาดเสียวมากกว่า  หวาดเสียวว่ามันจะทิ่มท่อปัสสาวะหรือกระเพาะปัสสาวะทะลุ หากทะลุแล้วไม่รู้ตัวเพราะช่วงนั้นกำลังมันอยู่ พอเวลาฉี่ น้ำปัสสาวะก็จะเล็ดออกไปขังเป็นแอ่งตรงที่ทะลุ แล้วเป็นที่เพาะเชื้อ ทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด แล้วถึงตายได้นะ จึงไม่ควรช่วยตัวเองด้วยวิธีนี้
     พูดถึงการช่วยตัวเองด้วยวิธีที่อันตรายถึงตายที่มีรายงานไว้ในทางการแพทย์ก็มีหลายแบบนะ ซึ่งไม่ควรทำ เช่นช่วยตัวเองไปด้วยบีบคอตัวเองไปด้วย (เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลงจนเบลอๆตอนถึงออกัสซั่ม จะได้มันส์ยิ่งขึ้น) หรือบางทีช่วยตัวเองอยู่คนเดียวก็เอาเชือกหรือผ้ามาพันรัดคอรัดตัวของตัวเอง พันไปพันมาบิดไปบิดมาหายใจไม่ออก ไม่รู้ว่าได้ถึงจุดสุดยอดหรือเปล่า เพราะตอนมาถึงมือแพทย์ตายไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น วัยรุ่นทั้งหลายอย่าริช่วยตัวเองแบบเสี่ยงตายเลย การช่วยตัวเองเป็นความบันเทิงและผ่อนคลาย แต่การฆ่าตัวตายเป็นความซึมเศร้ารันทด อย่าเอาสองเรื่องมาปนกัน   
     2.. ถามว่าถ้าไม่ให้ใส่ปากกาลูกลื่นแล้วจะให้ทำอย่างไร จะให้ใส่ดินสอแทนหรืออย่างไร (ผมเคยอ่านรายงานของหมอเยอรมันว่าเด็กผู้หญิงเยอรมันเอาดินสอแหลมๆใส่เข้าไป แล้วหลุดมือเข้าไปลอยเท้งเต้งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ) ตอบว่าทำอย่างไรก็ได้ที่ไม่ต้องไปยุ่งกับท่อปัสสาวะ การใช้จินตนาการช่วยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มความรู้สึกโดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
  
2.      Giles, G.G.; G. Severi, D.R. English, M.R.E. McCredie, R. Borland, P. Boyle and J.L. Hopper (2003). Sexual factors and prostate cancer. BJU International.doi:10.1046/j.1464-410X.2003.04319.x. Retrieved 2009-01-09.
4.      El Atat, R.; Sfaxi, M.; Benslama, R.; Amine, D.; Ayed, M.; Mouelli, B.; Chebil, M.; Zmerli, S. (Jan 2008). “Fracture of the penis: management and long-term results of surgical treatment. Experience in 300 cases”.The Journal of trauma 64 (1): 121–125.doi:10.1097/TA.0b013e31803428b3.ISSN 0022-5282. PMID 18188109. edit
5.      Levine M. P., Troiden R. R. (1988). “The myth of sexual compulsivity”. Journal of Sex Research 25 (3): 347–363.doi:10.1080/00224498809551467.