สามอย่างเมื่อคิดถึงแคนาดา
วันสองวันนี้ยังไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะยังเมาเครื่องบิน มาคุยกันเล่นถึงที่ผมไปขับรถเที่ยวแคนาดากันดีกว่า
สะพานเดินป่า Capillano Bridge |
วิสเล่อร์ เมืองสกีที่ยังคึกคักแม้ในหน้าร้อน |
หรือสั้นแต่เพียงคำ
แค่เห็นตราคนขี่ม้าก็ใจหายแว้บ |
“โอ๊ะ..โอ ท่าทางเราจะได้รู้จักกับหนึ่งในสองของเสาหลักแห่งประเทศแคนาดาเสียแล้ว”
เขาเริ่มต้นด้วยการขอโทษขอโพยบั๊ดดี้ของผมอย่างสุภาพว่าเขาจำเป็นต้องสวมแว่นดำเพราะแดดมันแรง อย่าหาว่าไม่สุภาพเลย แล้วก็วกเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว
รถไฟกำลังขดเป็นงูกินหาง |
เนื่องจากที่นี่รถไฟมาทุก 20 นาที เราจึงยืนรอดูรถไฟวิ่งขดแบบงูกินหางตนเอง ซึ่งเป็นอะไรที่อะเมซซิ่งทิงนองนอยมาก รูปที่ผมถ่ายรถไฟจริงมาให้ดูด้วยนี้ไม่ค่อยชัดนัก เพราะโดนป่าสนบัง แต่ก็พอจะเห็นรถไฟเพิ่งวนเกลียวได้หนึ่งชั้น
ความภาคภูมิใจในรถไฟของชาวแคนาดานี้ ส่วนหนึ่งมาจากความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษของตนเองทีมีความเป็นคนจริง ทำอะไรทำจริง ยากลำบากแค่ไหนก็ยืนหยัดทำจนสำเร็จ เส้นทางรถไฟผ่านป่าเขาสูงๆต่ำๆวกๆวนๆที่มีความยาวถึงห้าพันกม.และมีการบริหารจัดการทางด้านการตลาดอย่างดีที่เราเห็นอยู่นี่ เป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกถึงความอึดและความเก่งของเผ่าพันธ์ของเขา
ถ้าผู้คนมุงอยู่ข้างทาง ต้องมีหมี |
เราขับไปตามถนนไฮเวย์ผ่านอุทยานซึ่งสองข้างมีรั้วกันสัตว์ป่าไม่ให้ออกมาถูกรถชน มีสพานแและอุโมงสำหรับสัตว์ป่าใช้ข้ามหรือลอดถนนไปยังป่าอีกข้างหนึ่งเป็นระยะๆ ถนนนี้ห้ามรถบันทุกวิ่ง ขณะขับ เห็นคนหยุดรถลงมาดูอะไรข้างทาง เราหยุดตาม จึงพบว่าเขาจอดรถดูหมีกัน คนที่มาเที่ยวแคนาดาจะบ้าจี้เรื่องหมีกันทุกคน เพราะไปที่ไหนก็มีป้ายมีรูปปั้นเกี่ยวกับหมี ถังขยะก็ทำเสียบึกบึนมีฐานรากมั่นคงเวลาจะเปิดก็ยากคือต้องแบมือสอดเข้าไปปลดกระเดื่องในซอกฝา ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะหมีชอบมาคุ้ยถังขยะ แต่ว่าเห็นเขาหยุดอยู่ข้างทางเราจะหยุดตามดูตะพึดก็ไม่ได้นะ เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งเห็นเขาหยุดเราหยุดบ้าง แต่ปรากฎว่าเขาหยุดฉี่ข้างทาง โอ้..ฝรั่งก็ฉี่ข้างทางเป็นเหมือนกันเหรอเนี่ย
โอกาสที่จะได้เจอหมีนี้ อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้เจอกันยากเจอกันเย็นแต่อย่างใด เพราะวันต่อมาขณะพักอยู่ที่เมืองแบมฟ์ (Banff) เราขับรถขึ้นไปดูวิวบนเขานอกเมือง ผู้โดยสารท่านหนึ่งร้องขึ้นเสียงดังลั่นว่า
ว้าย หมีใหญ่ |
“ว้าย..หมีใหญ่”
ผู้โดยสารอาวุโสติงเบาๆว่า
“เวลาเธอตื่นเต้น พยายามพูดอะไรให้มันชัดถ้อยชัดคำหน่อยได้ไหม”
อีกคนหนึ่งกวาดสายตาไปทั่วป่าแล้วว่า
“ไม่เห็นมีอะไร อยู่ตรงไหน เธอหาเรื่องทะลึ่งหรือเปล่า” ซึ่งก็ได้รับการยืนยันว่า
“บ้า หมีจริงๆ นี่ อยู่ตรงนี้ เห็นไหม”
ทุกคนมองไปตามนิ้วชี้ของเธอ จึงเห็นหมีจริงๆสีน้ำตาลตัวบะเริ่มกำลังกินดอกไม้สีเหลืองอยู่ที่ข้างทางไม่ไกลจากรถนี่เอง
หมีวัยรุ่นเดินผ่านหน้ารถของเรา |
อีกสองวันต่อมาขณะที่เราขับรถกลับจากเดินไพรนอกเมืองจัสเปอร์ เราก็เจอหมีขนาดเริ่มจะเข้าวัยรุ่นอีกตัวหนึ่ง คราวนี้เธอยุรยาตราผ่านหน้ารถของเราไปอย่างไม่อินังขังขอบอะไรเลยเชียว สรุปว่าเราอยู่ในอุทยานหกวัน เจอหมีสามดัว จึงพอนับได้ว่าโอกาสเจอหมีก็ไม่ได้น้อย
นอกจากหมีแล้ว สัตว์อื่นก็หาดูได้ไม่ยาก โดยเฉพาะกวาง มีให้ดูหลายชนิด เราเจอกวางเขาสวยที่ชานเมืองแบมฟ์ และเจอกวางก้นขาว (เอลค์) อีกหลายตัวตามชายป่า ในวันที่เราเข้าพักที่ไพน์บังกาโล ตื่นเช้าก็มีกวางแม่ลูกอ่อนพาลูกออกมาหากินแถวหน้ากระต๊อบของเรานั่นเอง ผมจะลงรูปสัตว์ต่างๆให้ดูสักสี่ห้ารูปนะ
กวางเขางามนอกเมืองแบมฟ์ |
กวางเอลคฺ์แม่ลูกอ่อนพาลูกออกหากินเช้าตรู่ที่หน้ากระท่อม |
ฝูงแพะภูเขาลงลงกินดินโป่งข้างถนนไปจัสเปอร์ |
ฝูงห่านป่าที่บึงนอกเมืองแบมฟ์ |
ตัวอะไรไม่รู้ พบได้ทั่วไป แม้แต่ในสนามโรงแรม |
ใครหนอช่างเข้าใจตั้งชื่อเกาะนี้ว่า Spirit Island |
เลค หลุยส์ ที่เต็มไปด้วยคน |
นอกจากสัตว์ป่าต่างๆแล้ว สิ่งที่น่าสนใจในอุทยานเขาร้อกกี้นี้คือทิวทัศน์ระดับสวยเด็ดขาดซึ่งมีอยู่ทั่วไป จุดที่ผมชอบที่สุดคือเกาะ Spirit Island ซึ่งต้องนั่งเรือไปชม เป็นเกาะเล็กๆพื้นที่เท่าแมวดิ้นตาย มีต้นสนขึ้นอยู่สักสิบต้น แต่แบ็คกราวด์ที่เป็นเทือกเขาหิมะและน้ำซึ่งสะท้อนแสงแล้วให้สีหลากหลายนั้นเจ๋งมาก โดยเฉพาะในวันครึ้มฝนที่มีสีเทาประกอบอย่างวันที่พวกเรามาถึงนี้ มันให้อารมณ์เชิงจิตวิญญาณได้สมชื่อ
ส่่วนทะเลสาบเลค หลุยส์ ที่คนเขาลือกันว่าสวยนักหนานั้น ผมว่าไม่สวยนักเพราะคนเยอะเกินไป แถมยังมีโรงแรมขนาดมหึมาตั้งอยู่ตรงนั้นเสียอีกทำให้เสียบรรยากาศไปโข
ทะเลสาปแอกเนสมองลงไปจากทีเฮ้าส์ |
ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะเดินรอบทะเลสาบเลคหลุยส์แต่พอเห็นคนแล้วผมก็ถอดใจ จึงตัดสินใจเดินตัดป่าเพื่อไปที่ร้านกาแฟชื่อทีเฮ้าส์เพื่อดูทะเลสาบแอกเนสซึ่งมีระยะทาง 3.5 กม.แทน เพื่อนร่วมเดินทางไม่เอาด้วยเพราะเดินกันมาหลายวันทุกคนขาลากหมดแล้ว จึงเหลือแต่เราสามพ่อแม่ลูก พอเดินไปได้สักหน่อยจึงได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่านอกจากระยะทางในแนวราบ 3.5 กม.แล้ว ยังต้องเดินขึ้นเขาเป็นระยะทางในแนวดิ่ง 380 เมตรด้วย ซึ่งเท่ากับเดินขึ้นยอดตึกเอ็มไพร์สเตทเลยทีเดียว แต่เนื่องจากหลวมตัวเดินไปแล้วก็ต้องถูลู่ถูกับเดินขึ้นเขาไปจนถึงทีเฮ้าส์ (tea house) ด้วยความยากลำบาก พากันขึ้นไปนั่งดื่มกาแฟ ทานเบเกอรี่แล้วมองดูวิวรอบทิศซึ่งสวยและสงบเงียบดีมาก เพราะนักท่องเที่ยวทัวร์กรุ้ฟไม่มีใครเข่าดีพอที่จะมาถึงตรงนี้ได้ มีแต่พวกนักเดินไพรไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มคนสาว คนแก่ก็ดูจะมีแต่หมอสันต์กับภรรยาเท่านั้น
เราเดินป่า เที่ยวน้ำตก ดูทะเลสาบ เดินบนธารน้ำแข็ง วนเวียนกันอยู่อย่างนี้หลายวัน มีอยู่วันหนึ่งเราไปพักค้างคืนที่ข้างทะเลสาบ Emeral lake เวลามองออกจากห้องพักเห็นน้ำเป็นสีเขียวมรกต อีกวันหนึ่งเราไปเดินที่ทะเลสาบฮอร์สชู (เกือกม้า) ซึ่งมีน้ำเป็นสีครามน้ำเงิน อีกวันหนึ่งเราไปเดินไพรรอบทะเลสาบมอเรน (Moraine lake) ซึ่งน้ำเป็นสีเขียวไข่กา นอกจากนี้ยังมีน้ำตกอีกราวสิบกว่าแห่งและทะเลสาปอีกนับไม่ไหวจำไม่หมด ผมลงรูปให้ดูเป็นบางแห่งก็แล้วกันนะ
มองเห็นน้ำสีมรกตจากห้องพัก |
น้ำสีครามปนน้ำเงินที่ฮอร์สชูเลค |
ทะเลสาบมอเรน ซึ่งน้ำเป็นสีเขียวไข่กา |
เก็บเชอรี่ฟาร์มริมทาง |
ห้องนอนกลางป่าริมลำธาร ปลอดโปร่งดีมาก |
ขากลับเราขับรถไปทางหุบเขาโอกานาแกน (Okanakan valley) เนื่องจากเป็นฤดูเชอรี่สุกพอดี เราจึงไปเก็บเชอรี่เองแบบ UPICK ในฟาร์มที่นั่น แล้วไปพักค้างคืนที่เมืองโฮป เป็นรีสอร์ทอนุรักษ์ธรรมชาติที่สวยงามมาก เราพักในกระท่อมหลังเล็ก แช่น้ำร้อนซึ่งตั้งถังน้ำร้อนอยู่ในป่า ตัวผมเองไปนอนหลับในที่พักในป่าริมลำธาร รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสมองเป็นอันดี
ทิ้งให้ลูกเมียนอนในกระต๊อบนี้ ตัวผมเองหลบไปนอนในป่า |
สิ่งสุดท้ายที่อดพูดถึงไม่ได้คือห้องส้วม คือในอุทยานทั่วประเทศแคนาดาจะใช้ส้วมที่เรียกว่าส้วมวีไอพี. (VIP – ventilation improvement pit) แปลเป็นภาษาไทยก็คือส้วมหลุมที่มีปล่องแก้สขนาดใหญ่และค่อนข้างจะปลอดกลิ่น กลเม็ดวิธีทำก็คืออาศัยปิดฝาโถนั่งไว้ แล้วใช้ปล่องใหญ่ขนาด 10 นิ้วได้ ส่งปลายปล่องขึ้นไปสูง เพื่อให้ความดันอากาศต่างกันระหว่างโคนกับปลายทำให้มีลมเฉื่อยๆพัดเอาแก้สจากในหลุมขึ้นไปปลายปล่องตลอดเวลา ปลายปล่องก็กรุมุ้งลวดไม่ให้แมลงเข้าและออก ที่หลุดเข้าไปวางไข่ได้ก็ออกมาไม่ได้ กลายเป็นปุ๋ยอยู่ในนั้น ส้วมแบบนี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในอุทยาน นับได้เป็นร้อยส้วม ไม่ต้องใช้น้ำเลย
บรรยากาศข้างในก็ไม่ได้เลวร้าย มีแสงลอดลงมาจากหลังคา บางแห่งยังแถมมีระบบแผ่นโปร่งแสงที่พื้นดินหลังห้องส้วมพอให้แสงส่องเข้าไปถึงในหลุมได้อีกต่างหาก เวลาก้มลงมองทะลุหลุมแล้วเกิดแสงและเงาให้ความความรู้สึกเหมือนมองภาพเขียนของแรมแบรนท์ หิ หิ เป็นศิลปะแบบแรมแบรนท์ที่หาชมที่ประเทศอื่นไม่ได้ เพราะสื่ออารมณ์ด้วยทั้งภาพและกลิ่นพร้อมกันควบสองอยาตนะในคราวเดียว
กล่าวโดยสรุป เมื่อใดก็ตามที่มีใครพูดถึงแคนาดาในอนาคต ผมจะไม่คิดถึงรถไฟกับตำรวจม้าดอก แต่จะคิดถึง (1) หมี (2) วนอุทยาน และ..(3) ส้วมหลุม
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์