Latest

สวัสดีปีใหม่ 2017 สิ่งที่คุณจะไปหาคือ”ความรู้ตัว” ไม่ใช่ “สิ่ง” อืนๆ

เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ

อายุ 51 ครับ เป็นมะเร็งปอด ผ่าตัดแล้ว ตัดสินใจไม่ทำเคมีบำบัด ไปปฏิบัติธรรมที่… กลับมาอาการแย่ลงครับ หมายถึงอาการทางใจ ห้ามความคิดลบไม่อยู่ หมุนวนลึกลงๆทุกที พุทโธก็แล้ว นั่งสมาธิจนปวดขมับ เดินจงกรมก็แล้ว สู้ไม่่ไหวครับ คุณหมอกรุณาแนะนำว่าทำอย่างไรดี

……………………………………..

ตอบครับ

ก่อนอื่น ขอสวัสดีปีใหม่ 2017 กับแฟนบล็อกทุกท่าน และผมเลือกเอาจดหมายฉบับสั้นๆนี้มาตอบเป็นการเอาฤกษ์ปีใหม่

คุณเพิ่งผ่านความยากลำบากในชีวิตมาใหม่ๆ ไปปฏิบัติธรรมตั้งใจจะขจัดความคิดลบและเข้าถึงจิตเดิมแท้และปัญญาญาณส่วนลึกของตัวเอง แต่กลับต้องพ่ายแพ้หงายเก๋งให้แก่ความเครียดที่เกิดจากการปฏิบัติ อันนี้ผมเห็นใจ

ผมมีคำแนะนำให้คุณสองข้อนะ

     1. การเลือกหยิบความคิด ในด้านหนึ่ง การจะเข้าถึงพลังจากความรู้ตัว (consciousness) ของตัวเองและขจัดความคิดลบนี้ ให้คุณทำวิธีที่ง่ายที่สุดก่อน คือการเลือกหยิบความคิด (choose your thought) คนเราอาจจะลืมไปอย่างหนึ่งว่าในการสร้างอำนาจดลบันดาลให้กับชีวิตเรานี้ สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ง่ายๆทันที่ด้วยตัวเราเองโดยไม่ต้องหวังพึ่งปัญญาญาณจากส่วนลึกก็คือการที่เราใช้อำนาจของการเป็นนาย ลงไปเลือกความคิดด้วยตัวเราเอง แทนที่จะปล่อยให้ความคิดงี่เง่าซึ่งโดยสถานะที่แท้จริงแล้วเป็นขี้ข้าของเรา มาบงการให้ชีวิตของเราเป็นแบบนั้นแบบนี้ เรามีอำนาจเลือกความคิดนะ จงใช้อำนาจนั้น ความคิดเป็นคลื่น ให้คุณเลือกหยิบความคิดที่มีคลื่นความถี่ที่สะท้อนสั่นสะเทือนให้คุณเบิกบานมีชีวิตชีวา คุณเลือกคิด แล้วเอ็นจอยประสบการณ์ที่มีชีวิตชีวานั้น เลิกเป็นลูกแกะ แอ๊ะๆๆๆ เป็นเหยื่อตลอดเวลา

     การเลือกหยิบความคิดนี้ไม่ใช่เป็นการอ้อนวอนให้จักรวาลมาสนับสนุนคุณ แต่คุณสนับสนุนตัวเองจาก “ความรู้ตัว” ของคุณเอง หลักการเลือกความคิดคือเลือกความคิดที่จะทำให้อารมณ์ของคุณฟูขึ้น (up) ไม่ใช่ความคิดที่จะทำให้อารมณ์ของคุณแฟบลง (down) เลือกหยิบความคิดที่คิดแล้วรู้สึกดี (feel great) คนอย่างไหนที่คุณอยากจะเป็น คิดอย่างนั้น เช่น

...ฉันเป็นอิสระ
…ฉันสร้างสรรค์อะไรได้
… ฉันเลือกทำอะไรก็ได้
…ร่างกายของฉันตื่นตัว ตื่นเต้น รับรู้สิ่งเร้าอย่างมีพลังตลอดเวลา
….เซลทุกเซลในตัวฉันขยันทำงานและประสานกันอย่างดีเลิศ 
…เซลเม็ดเลือดขาวในตัวฉันทุกตัวล้วนคึกคักและขยันต่อสู้ทำลายเชื้อโรคและเซลแปลกปลอม
…เข่าของฉันมั่นคง ยืดหยุ่น กล้ามเนื้อขาก็แข็งแรง
…ฉันคือเสถียรภาพ ในทุกสถานะการณ์
…ฉันออกกำลังกายได้อย่างกระฉับกระเฉงทุกเช้า
…ฉันมีทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมากมาย เหลือเฟือ

 ฯลฯ 

   ให้คุณหาเวลาเหมาะๆสักสองช่วงโมงครั้งเดียวในชีวิตนี้ แล้วตั้งหน้าตั้งตาเลือกหยิบและอัดความคิดดีๆเข้าไปในหัวทุกนาที นาทีละหนึ่งความคิด อย่าได้หยุดหย่อนจนครบ 2 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าคุณอัดความคิดดีๆเข้าไปได้ 120 ความคิด อัด อัด อัด ไล่ที่เจ้าพวกความคิดลบที่คอยแต่จะคิดว่าคุณไม่มีนั่นไม่มีนี่มีแต่ความขาดแคลนและคอยทำตัวเป็นนายคุณลงซอกลงหลืบไปตลอดสองชั่วโมงนั้น ใส่ความคิดความรู้สึกดีๆ ความเบิกบานลงไปแทน อย่าไปสนใจว่าสถานะการณ์จริงเป็นอย่างไร สนใจแต่ว่าจะสร้างสภาวะเบิกบานขึ้นในใจได้อย่างไร เขย่าตัวเองไปสู่ความเบิกบาน สั่นสะเทือนตัวเองไปตามความกังวานของระฆังแห่งชีวิตที่เคาะมาจากก้นบึ้งหัวใจคุณ เปลี่ยนความเป็นเหยื่อ มาเป็น ผู้สร้าง ใส่ความยิ่งใหญ่ของคุณลงไป (impose) ในทุกสิ่งทุกอย่าง ความขาดแคลนในชีวิตจะหายไป ความจริงความขาดแคลนไม่มีอยู่จริงหรอก แต่คุณเลือกเป็นเหยื่อมากกว่าจะเลือกเป็นผู้ดลบันดาล จากนี้ไปให้คุณเปลี่ยนจากการเป็นขอทานมาเป็นพระเจ้าเสียเอง ถ้าคุณทำได้อย่างที่ผมบอก สองชั่วโมงนี้จะส่งผลดีต่อคุณตลอดชีวิต

    แม้เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกไม่ดีเกิดขึ้น ให้รับรู้มันด้วยความยินดี เออ ดีละ ความรู้สึกไม่ดีกำลังโผล่มา มามะ มามองมันด้วยความดีใจ เล่นกับมันด้วยความสนุก ตื่นเต้นกับมัน ไม่โทษตัวเอง ไม่ผลักไส ไม่โทษคนอื่นมันจะไม่มีผลเสียต่อเราหรอกตราบใดที่เราไม่ตัดสินใจเข้าไปรับลูกคิดต่อยอดมัน เมื่อรู้สึกเฉื่อย อย่าพิพากษาตัวเองว่าล้มเหลว ให้มองว่าเรากำลังก้าวหน้า เพราะการรู้ว่าตัวเองเฉื่อยก็ดีตรงที่มันเป็นตาข่ายขึงกันไม่ให้เราหล่นลงไปในวังวนของความคิดลบ ขอบคุณความรู้ตัวที่เตือนฉันว่าฉันกำลังไปผิดทางหรือสวนทางกับทิศทางที่ฉันอยากไปแล้ว เพราะทิศทางที่ฉันอยากไปคือการสร้างความเบิกบาน เสแสร้งนิดหน่อยก็ได้ว่าฉันรู้สึกสุขใจจริงๆเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเฉื่อย

    มันสำคัญที่คุณรู้สึกอย่างไร เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่จะรู้ว่าสิ่งที่คุณคิดนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า ถ้าคุณรู้สึกไม่ดี มันก็ไม่จริง ไม่สอดคล้องกับ “ฉัน” ตัวจริง ถ้าคุณรู้สึกดี มันก็จริง และสอดคล้องกับ “ฉัน” ตัวจริง ไม่ต้องไปถามความเห็นคนอื่น อย่าขออนุญาตคนอื่น อย่าให้คนอื่นมาคอยบอกว่าคุณคือใคร คนอื่นไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นใครกำลังทำอะไรอยู่ เมื่อจบจากความรู้สึกเฉื่อยแล้วให้รีบเลือกหยิบความคิดบวกสักอย่างหนึ่งขึ้นมาคิดแทรก อย่าลืมว่าคุณเลือกได้นะ คุณมีอำนาจเลือกความคิดได้ คุณไม่ได้เป็นทาสของความคิด

    2. ส่วนในการฝึกสติสมาธิ นั้น แม้จะเพิ่งแพ้หงายเก๋งมาแล้ว แต่ก็ให้คุณพยายามต่อไป วิธีที่คุณไปทำมานั้นมันเป็นวิธีที่ยากสำหรับคนไม่มีพื้นฐานหนักแน่นมาก่อน เพราะมันเป็นวิธีใช้ความสนใจ (attention) เข้าไปเพ่งหรือมองหา “สื่อ” หรือ “สิ่ง” (object) ที่เป็นเป้าหมายเพื่อให้เกิดสมาธิ  “สิ่ง” นั่นจะเป็น คำพูด หรือเสียง หรือภาพ หรือลมหายใจ หรือการเคลื่อนไหวก็ตาม แค่ต้องจ้องอยู่ที่ “สิ่ง” นั้นคุณก็เครียดแล้ว ยังไม่นับว่า “สิ่ง” นั้นมันไม่่ใช่ปลายทางที่คุณจะไปหา สิ่งที่คุณจะไปหาตัวจริงนั้นคือ “ความรู้ตัว”  (consciousness หรือ awareness) ดังนั้นคุณจ้องเจ้า “สิ่ง” นั้นไปจนเกิดความนิ่งแล้ว คุณจะก็เกิดปัญหาที่สองคืือไม่รู้จะไปไหนต่อ ก็จะเครียดอีก

     มาลองวิธีของผมดูไหม วิธีของผมนี้คุณไม่ต้องไปเพ่งหรือจ้องหรือตามดูอะไรทั้งสิ้น คุณจะไปหา “ความรู้ตัว” ใช่ไหมละ วิธีของผมนั้นง่ายมาก คือถามหาแล้วกระโดดเกาะเลย ทำงี้นะ

     ให้คุณนั่งให้หลังตรง นั่งสบายๆแต่ให้หลังตรง จะหลับตา หรือหรี่ตา หรือลืมตาก็ได้ แล้วหายใจเข้าลึกๆจนเต็มปอด กลั้นใจนิ่งไว้นิดหนึ่ง แล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ผ่อนคลายร่างกาย คลายหัวคิ้ว ยิ้มอย่างผ่อนคลาย ปล่อยไหล่ลง พร้อมกับบอกให้ร่างกายทั้งตัวผ่อนคลาย รีแลกซ์ (relax) จากศีรษะจรดปลายเท้า

หายใจเข้าลึกๆครั้งที่สอง กลั้นใจนิ่งไว้นิดหนึ่ง ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกพร้อมกับผ่อนคลายร่างกาย รีแลกซ์ให้มากยิ่งขึ้น

หายใจเข้าลึกๆครั้งที่สาม  กลั้นใจนิ่งไว้นิดหนึ่ง ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกพร้อมกับผ่อนคลายร่างกาย รีแลกซ์ให้มากที่สุด

ยัง..ยังไม่ได้เริ่มเลย นี่เป็นการอุ่นเครื่องเท่านั้น

คราวนี้ให้ถามตัวเองดังๆอยู่ในใจว่า

“ตอนนี้ฉันรู้ตัวหรือเปล่า”  แล้วพยายามตอบคำถามนั้น เมื่อพร้อมแล้วก็ตอบคำถามในใจว่า

“ฉันรู้ตัวอยู่”

คำถามเป็นความคิดที่ 1 คำตอบเป็นความคิดที่ 2. ระหว่างความคิดที่ 1 และความคิดที่ 2 ความรู้ตัวของคุณได้ถอยกลับไปเช็คกับความรู้ตัวเองว่ายังรู้ตัวอยู่หรือเปล่า ตรงนั้นแหละ เป็นโมเมนต์ที่คุณจะกระโดดเกาะความรู้ตัวได้

คราวนี้เอาใหม่อีกทีนะ ให้ถามตัวเองดังๆอยู่ในใจใหม่่ว่า

“ตอนนี้ฉันรู้ตัวหรือเปล่า”  แล้วพยายามตอบคำถามนั้น

พอพร้อมที่จะตอบคำถามแล้ว แต่ยังไม่ทันตอบ ให้ปล่อยทุกอย่างออกไปเหลือแต่ความรู้ตัว ปล่อยความคิดทิ้งไปให้หมด ร่างกายก็ปล่อยไปด้วย ไม่ต้องไปยึดเกาะไว้ แม้แต่ลมหายใจก็ปล่อยไป ไม่ต้องไปยึดเกาะไว้ แล้วปล่อยให้ความรู้ตัวจมลงไปในความรู้ตัว เออ วิธีนี้แปลกนะ แต่คุณเชื่อผมก่อน อย่าเพิ่งตั้งข้อสงสัย ให้จมลึกลงไป จมลึกลงไป ไม่มีที่สิ้นสุด อย่าไปสนใจหรือเกาะเกี่ยวอะไรไว้เป็นพิเศษ เพราะเมื่อใดที่มีความสนใจ (attention) เมื่อนั้นก็ต้องมี “สื่อ” หรือ “สิ่ง” (object) อะไรสักอย่างเป็นเป้าหมายของความรู้ตัว หมายความว่า attention = awareness + object ถ้าเราสนใจอะไร ใจเราก็จะไปที่ object ไม่ใช่ไปที่ความรู้ตัว นั่นก็คือหลุดไปซะแล้ว ดังนั้นอย่าไปสนใจอะไร ปล่อยทุกอย่างไป คุณก็จะค่อยๆจมลึกลงๆ จนไปถึงก้นของความรู้ตัวซึ่งเป็นความว่าง แล้วคุณก็จะได้รับรู้ความเบิกบานจากภายใน พอคุณเด้งกลับขึ้นมาสู่ชีวิตปกติ ความเบิกบานจากภายในนี้จะติดคุณมาอาบรดชีวิตของคุณให้ดีขึ้น

     ความรู้ตัวหรือ awareness นี้เป็นสถานะที่ไม่มีคำพูดในภาษาพูดของเราบรรยายลักษณะของมันได้ละเอียดครบถ้วน แต่เพื่อไม่ให้คุณหลงทางว่ายังจมลงไปในความรู้ตัวอยู่ หรือว่าหลุดลอยขึ้นมาอยู่ในความคิดเสียแล้ว ดังนั้นในขณะที่คุณปล่อยความคิดทิ้งไปและจมลงไปในความรู้ตัวนี้ ให้สังเกตลักษณะของความรู้ตัวเจ็ดอย่าง คือ

1. มันมีความตื่นรู้ (awake หรือ consciousness) อยู่ด้วยตลอดเวลา
2. มันเป็นความว่าง (emptiness) ที่ยืดหดขยายได้ไม่มีขอบเขต
3. มันเป็นความเบิกบานจากข้างใน (inner peace)
4. เราจะรู้สึกว่าเราได้กลับมาบ้านเก่า ไม่ใช่ไปพบเจอสถานที่แปลกใหม่ที่ไหน
5. มันเป็นอิสรภาพ (free) เพราะในความรู้ตัวไม่มีความคิดใดๆที่จะมาครอบหรือจ้องจับผิดเรา
6. มันเป็นเดี๋ยวนี้ (now) ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต
7. มันเป็นความบริสุทธิ์ (pure) หมายความว่ามันรับรู้สิ่งใดๆที่เกิดขึ้นในใจได้ตามความเป็นจริง โดยที่ตัวมันไม่แปดเปื้อนสิ่งที่มันไปรับรู้ เหมือนแสงอาทิตย์สีทองที่ส่องให้เห็นก้อนหินสีดำ แสงที่ส่องไม่ได้ทำให้ก้อนหินเปื้อนสีทองของแสงอาทิตย์นั้น และสีดำของก้อนหินก็ไม่แปดเปื้อนบนแสงอาทิตย์นั้น หากจะพูดเป็นภาษาบาลีก็น่าจะใช้คำว่ามันเป็น “อุเบกขา” คือมันรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างตรงๆ อย่างที่มันเป็น ไม่ไปพิพากษาหรือตีความ

    เมื่อเราจมลงไปในความรู้ตัว ลักษณะทั้งเจ็ดอย่างที่กล่าวนี้จะชัดขึ้นๆ เมื่อใดก็ตามที่ลักษณะทั้งเจ็ดอย่างนี้ไม่ชัด หรือกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม แสดงว่าเราไม่จมเสียแล้ว ในทางตรงกันข้าม เรากำลังลอยขึ้นมาอยู่ในความคิด หากเป็นเช่นนั้นให้เริ่มต้นใหม่ ด้วยวิธีตั้งต้นด้วยการคำถามตัวเองใหม่ว่า “ตอนนี้ฉันรู้ตัวอยู่หรือเปล่า”

     การฝึกจมลงไปในความรู้ตัวนี้ เป็นวิธีลัดที่สุด สั้นที่สุด ที่จะเข้าถึงความเบิกบานจากภายใน และเมื่อเราเด้งกลับขึ้นมาสู่ชีวิตการทำงานปกติ เราจะกลับขึ้นมาพร้อมกับความสงบสุข สดชื่น และโปร่งโล่งคิดอะไรก็ออกง่ายกว่าเดิม เวลาที่ใช้ทำหากทำอย่างสั้นก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที หายใจเข้าครั้งเดียว ผ่อนคลาย ถามตัวเองว่ารู้ตัวอยู่หรือเปล่า จมลงไปในความรู้ตัว แล้วเด้งกลับขึ้นมา เพียงหนึ่งลมหายใจเท่านั้น ห้าวินาทีอย่างมาก ถ้าจะทำอย่างยาวๆก็ทำได้นานไม่จำกัด เช่น 20-30 นาที คือจมลึกลงๆ เมื่อเผลอลอยขึ้นมาอยู่ในความคิดก็กลับไปตั้งต้นด้วยการตั้งคำถามว่า “ฉันรู้ตัวอยู่หรือเปล่า” ใหม่ แล้วก็จมลงไปใหม่ ทำเช่นนี้จนหมดเวลาที่กำหนดไว้

     อย่างน้อยขอให้คุณฝึกปฏิบัติแบบสั้นๆสัก 1-3 ลมหายใจ ใช้เวลาครั้งละไม่กี่วินาที อย่างน้อยชั่วโมงละหนึ่งครั้ง เป็นเวลาวันละอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ก็คือวันละอย่างน้อย 12 ครั้ง รวมเวลาที่ใช้อย่างมากก็เพียงไม่กี่นาทีต่อวัน ทุกวัน คือเมื่อกำลังทำงานติดพันอยู่อย่างน้อยในหนึ่งชั่วโมงก็แว่บหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลาย พร้อมกับจมลงไปในความรู้ตัวสักครั้งหนึ่ง ทำเช่นนี้ทุกชั่วโมงที่ตื่นอยู่

     นอกจากนี้ในแต่ละวัน ถ้าเป็นไปได้ ควรหาเวลาเฉพาะสัก 20-30 นาทีเพื่อฝึกจมลงไปในความรู้ตัวแบบจมยาวๆ โดยทำในรูปแบบของการนั่งหรือนอนสมาธิ (meditation) ก่อนที่จะหลับก็ได้

     ความรู้ตัวนี้เป็น “ฉัน” ตัวจริง เป็นแหล่งของความเบิกบานจากภายในที่ทุกคนต่างเสาะแสวงหา คำว่า “การหลุดพ้นทางจิตวิญญาณ” (spiritual transformation) ที่ศาสนาใหญ่ๆหลายศาสนาพูดถึงนั้น ก็คือการที่คนๆหนึ่งจะสามารถหันเหความสนใจในชีวิตจากเดิมที่มุ่งหันความสนใจจากตัวเองออกไปสู่ภายนอก กลับมาเป็นหันเข้ามาทำความรู้จักกับความรู้ตัวและเข้าถึงความเบิกบานที่ภายในซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวเองนั่นเอง

ขอให้คุณโชคดีมีความสุขตลอดปีใหม่

นพ.สันต์ ในยอดศิลป์

ปล. ถ้ามีเวลาและยังมีเรี่ยวแรง ผมแนะนำให้ไปเข้าแค้มป์ฝึกสติรักษาโรค รุ่นที่กำลังเปิดรับคือ MBT4 วันที่ 4 มีค. 60 ดูรายละเอียดได้ที่ตรงนี้ http://visitdrsant.blogspot.com/2016/11/mbt3-3.html

………………………………