Latest

อย่ามัวเสียเวลากับเรื่องขี้หมา

แนะนำตัวครับ …. ปัจจุบันเป็นเภสัชกรปฏิบัติการ อายุ … ปี เดิมเคยทำงานเภสัชกร รพช มา .. ปี ปัจจุบัน
ทำงาน … เป็นอาจารย์สอนนักศึกษา… มาอีก .. ปี
รวมทำงาน 6 ปี พ่อ ทำงานรับจ้าง อยู่กับครอบครัวใหม่ แม่ เสียชีวิต น้องชาย กำลังจะได้บรรจุข้าราชการ… ฐานะทางบ้าน พอมีพอกิน มีหนี้สินแค่ กยศ และผ่อนรถจองตัวเอง บ้านเดิมมีแล้ว ไม่คิดมีครอบครัว ไม่มีลูก อยู่เป็นโสดไปจนเกษียณ ให้พอมีเงินบำนาญดูแลตนเอง การทำงานปัจจุบันผมมีความสุข ตามอัตภาพดีครับ มีความสุขในการเตรียมสอน ในการสอน ในการพัฒนาตนเองเพื่อการสอน แต่มาวันหนึ่งน้องที่ทำงาน เภสัชกรด้วยกันชวนไปสอบแพทย์แนวใหม่ ด้วยความที่ตนเองเคยอยากสอบเข้าแพทย์สมัย ม 6 เลยอยากลองสอบดูจึงไปสอบด้วยกัน (ลองข้อสอบ) ปรากฎว่าติดทั้งคู่ครับ วันที่ประกาศผลก็ดีใจครับ รู้สึกตัวเองทำได้ ไปสอบสัมภาษณ์ ตรวจร่างกาย ตามขั้นตอนทุกคนเรียก หมอๆ กันใหญ่ แต่มาใกล้เวลารายงานตัว ผมต้องตัดสินใจสละทุน ของหน่วยงานในการไปเรียนต่อ ต่างประเทศ ที่เพิ่งประกาศผลก่อนประกาศผลสอบหมอ ชีวิตต้องเลือก ผมโตแล้วแต่ก็ยังไม่มั่นใจการตัดสินใจของตัวเอง จึงทำการปรึกษาคนรอบข้าง เกือบทุกคนแนะนำให้เรียนหมอ เพราะ
1. ความก้าวหน้าในอาชีพราชการ
2. ค่าตอบแทนที่สูงหลายเท่า
3. เกียรติในสังคม
4. Power
ในช่วงแรกผมก็คล้อยตาม จนทำเรื่องสละทุน ตปท เพื่อไปเรียนหมอ เตรียมทำสัญญาลาศึกษาต่อ ระยะเวลาผ่านมา 2 เดือน ผมกลับรู้สึกกลัวการเป็นหมอ เสียดายการเรียน ตปท กลัวการอยู่เวร (สมัยอยู่ รพ เคยเห็นเพื่อนหมออยู่เวรหนัก) กลัวการฟ้องร้องและรับผิดชอบใหญ่ ผมกลับไปปรึกษาหลายคนอีกว่าไม่อยากเรียนหมอละ รู้สึกไม่ใช่ ไม่ชอบคนไข้ ความสุขไม่ได้เกิดจากการเห็นคนไข้หายป่วย เท่าเห็นลุกศิษย์เรียนจบ และการได้นอนเต็มอิ่ม ทำงานที่ flexible แบบอาจารย์ ผมรู้สึกกลัว นอนร้องไห้ (เพราะไปให้ความหวังหลายคน ว่าจะมีลูก หลานในครอบครัวเรียนหมอ) เสียใจ เสียดายที่จะต้องออกจากงานที่ตามหามานาน หลายคนบอกคิดดีๆ โอกาสมาครั้งเดียว
1. เป็นหมอทุนเรียนต่อมีเยอะ
2. เป็นอาจารย์หมอก็ได้ ปรีคลินิก
3. ไม่อยากอยู่เวรก็ทำงานบริหาร
4. ได้ดูแลคนในครอบครัว
แต่หัวผมกลับแย้งว่า
1. คนที่จะเรียนต่อ มีเยอะแยะเราจะสู้ได้ ?
และจบมาตอนนั้นก็อายุ 35 ใช้ทุนต้นสังกัด อีก 5 ปีก็ 40 มีทุน ตปท ที่ไหนอีก ถึงมีจะเรียนไหว ? เรียนๆๆๆ แล้วเงินเดือนจะเท่าไหร่ (ถ้าแพลนจะรับราชการจนเกษียณ)
2. อาจารย์หมอ ก็ต้องเจอกับคนไข้ จะสอนชั้นปรีคลินิกเพื่อหนีการเจอคนไข้ก็ต้องไปอยู่มหาลัย ไม่ตอบโจทย์ที่จะเป็นราชการ
3. งานบริหารต้องโตขนาดไหน ต้องผ่านงานบริการ หรือทำควบกับงานบริการขนาดไหน เส้นสายต้องขนาดไหน กว่าจะได้ทำงานบริหารแบบเต็มตัว
4. เห็นหมอมาหลายคนแทบไม่มีเวลาให้คนในครอบครัว ถึงแม้จะมีอภิสิทธิ์ได้ห้องพิเศษ ได้คิวเร็ว แต่ก็ไม่มีเวลามานั่งเฝ้า เช็ดตัว ป้อนข้าว ต้องฝากพี่ พยบ.
อาจจะเพราะสมัยผมอยู่ รพ ก็อยากเป็นหมอ อยากตัดสินใจ อยากทำให้ดีกว่านี่ อยากมีบทบาท แต่พอหลุดจาก รพ มาอยู่ฟีลด์การศึกษา ผมรู้เลยว่ามันสุขกาย สบายใจกว่า QoL ของการไม่ต้องเจอคนทุกข์ใจ มันดีกว่ามากๆๆๆๆๆ ผมเคยอ่านบทความของอาจารย์ที่บอกว่า อย่าใช้วิชาชีพแพทย์เพื่อไต่เต้าหรือเพื่อหาประโยชน์อื่น มันบาป ตอนนี้ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ว่าหลายคนแค่อยากให้ผมได้เป็นหมอไปก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน ตอนนี้ผมสับสนครับ กลัวสละสิทธิ์หมอ เป็น เภสัชกรสายสอนต่อแล้วจะมาเสียใจ
ผมยังไม่เคยคุยกับอาจารย์แพทย์ว่าเนื้องานเป็นอย่างไร ทำแต่งานวิชาการได้ไหม เจอคนไข้น้อยๆ ไม่อยู่เวร แต่เป็น ขรก. มีคนไม่กี่คนที่บอกให้เลือกความสุขกับปัจจุบัน ตอนนี้สุขก็ดำเนินไป อย่ามองอนาคตไกล หนือเห็นแล้วว่าอนาคตไม่สุขก็อย่ากลับเข้าไป (หนีงาน เภสัช รพ. มาได้ชีวิตดีมาก) อ่านหมอลี่ แพทย์ มข. ลาออกไปเป็นแม่ค้าก็พอหาข้ออ้างให้ตัวเองรู้สึกดีได้
ผมอยากได้คำแนะนำจากอาจารย์ครับหรือแค่กำลังใจก็ได้ครับเพราะผมรู้สึก depress
ขอบคุณครับ

……………………………………………

ตอบครับ

     1. ความเชื่อที่ว่าอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่มีความก้าวหน้าในราชการมากกว่าอาชีพอื่นก็ดี มีค่าตอบแทนสูงกว่าอาชีพอื่นก็ดี มีเกียรติในสังคมมากกว่าอาชีพอื่นก็ดี มี power หรือมีอำนาจมากกว่าอาชีพอื่นก็ดี เป็นความเชื่อที่เหลวไหลไร้สาระทั้งเพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ว่าแพทย์มี power ความเป็นจริงก็คือแพทย์รุ่นที่คิดว่าตัวเองมี power เหนือคนไข้นั้นได้ตายไปเกือบหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ก็กลายเป็นคนธรรมดา หรือไม่ก็กลายเป็นหมาน้อยธรรมดากันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะในยุคที่ผู้คนเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังซึ่งวิชาแพทย์ไม่มีปัญญารักษาให้หายนี้ อย่างดีที่สุดที่แพทย์จะช่วยคนไข้ได้ก็คือชี้แนะให้คนไข้เห็นว่าพวกเขาควรจะต้องใช้ชีวิตอย่างไรเท่านั้น จะไปมี power อะไรละครับ ยิ่งถ้าหากแพทย์สมัยนี้ไม่ระวังตัว ก็จะเผลอลืมตัวกลายเป็นยี่ปั๊วขายสินค้าที่เป็นอันตรายให้แก่คนไข้ของตัวเองไปเสียฉิบ  เท่ากับว่า power ที่แพทย์สมัยนี้มีนั้นคือ power ที่จะทำร้ายคนไข้ของตัวเอง ซึ่งไม่มีแพทย์คนไหนอยากได้ power ชนิดนี้หรอกครับ

     2. อาชีพทุกอาชีพดีเหมือนกันหมดตราบใดที่มันทำให้เรามีความสุขโดยไม่ทำให้คนอื่นหรือไม่ทำให้โลกเดือดร้อน นี่เป็นเบสิกสำหรับการเลือกอาชีพทุกอาชีพ ที่สูงกว่าเบสิกก็คือหากการทำอาชีพนั้นทั้งทำให้เรามีความสุขด้วย ทั้งได้มีโอกาสช่วยเหลือให้คนอื่นมีความสุขด้วย หรือช่วยทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้นด้วย มันก็ยิ่งเป็นอาชีพที่ดีมาก ในความเห็นของผม ทั้งอาชีพแพทย์ก็ดี และทั้งอาชีพอาจารย์สอนเภสัชก็ดี ต่างก็เป็นอาชีพที่ดีมากทั้งคู่ ไม่แตกต่างกัน คุณจะเลือกอาชีพไหนในสองอาชีพนี้ก็ได้ทั้งนั้น มันไม่มีนัยสำคัญ เหมือนคุณถามผมว่าวันนี้คุณจะใส่เสื้อสีม่วงหรือเสื้อสีฟ้าดี ผมก็จะตอบคุณว่าคุณใส่สีอะไรก็ได้ที่คุณชอบ เพราะมันไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

     3. แต่สิ่งที่ผมมองเห็นในตัวคุณว่ามีนัยสำคัญก็คือคุณยังไม่รู้วิธีที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข การที่คุณกลัวและนอนร้องไห้กับเรื่องขี้หมา ผมหมายถึงกับความกลัวญาติพี่น้องจะผิดหวังบ้าง ความเสียดายเสียใจที่จะต้องออกจากงานและทิ้งทุนไปตปท.บ้าง ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิด (thought) ซึ่งผมเรียกง่ายๆว่าเป็นเรื่องขี้หมา การที่ชีวิตคุณยังเป็นทุกข์อยู่กับเรื่องขี้หมานี่ต่างหากที่มีนัยสำคัญสำหรับคุณ หากคุณจะใช้เวลาในชีวิตให้มีคุณค่ามากที่สุด ผมแนะนำว่าให้ใช้เวลาไปกับการฝึกตัวเองให้เป็นอิสระจาก “ขี้หมา” คือ “ความคิด” ของคุณนี้เสีย นี่คือสิ่งที่คุณพึงทำเป็นลำดับที่หนึ่งซึ่งสำคัญที่สุด ส่วนการจะมีอาชีพอะไรในสองอาชีพนี้นั้น อะไรก็ได้เพราะมันเป็นเรื่องไม่สำคัญ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณ “วางความคิด” ของคุณเป็น แล้วไปอยู่กับ “ความรู้ตัว” ของคุณได้ เมื่อนั้นคุณจะมีชีวิตที่เบิกบานมากที่สุดและเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นและต่อโลกมากที่สุดไม่ว่าคุณจะทำอาชีพไหน และเมื่อนั้นคุณจะนึกขอบคุณผมที่ให้คำแนะนำนี้แก่คุณ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์