Latest

ระหว่างความกตัญญูกับความห่วงใยกิ๊ก

กราบเรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพค่ะ

     หนูติดตามคุณหมอสันต์มาประมาณ 2 ปี แต่วันนี้เป็นวันที่ปัญหาเกิดกับหนูแล้วค่ะ หนูทำงานเป็นครูที่โรงเรียนแถวจังหวัด … หนูมีแฟนเป็นผู้หญิงด้วยกัน เราคบกันมา 5 ปีแล้ว แต่พ่อแม่หนูอยู่ที่ภาค… เค้าอยากให้หนูย้ายกลับบ้าน บอกว่า ได้ดีแล้วอย่าทิ้งน้อง ทิ้งพ่อแม่ คือพ่อหนูอายุ ….(หกสิบกว่า) ปี เค้าไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ ส่วนแม่อายุ ..(ห้าสิบกว่าปี) ค่ะ ส่วนหนูอายุ … ปี พ่อแม่มีอาชีพขายขนมในตลาดตอนเช้า ต้องตื่นมาทำขนมตั้งแต่ตี 1 ทุกวัน พ่อเขาเคยบอกหนูว่าเขาไม่ไหวแล้ว แต่แม่ไม่ยอมเลิกทำ เลยต้องทำกันทั้ง 2 คน คือขนมที่ทำจะทำคนเดียวไม่ได้ ต้องช่วยกันค่ะ หนูเป็นพี่สาวคนโต มีน้องชาย 2 คน น้องชายคนกลางเค้าก็อยู่จังหวัดเดียวกับพ่อแม่แต่คนละอำเภอ มีเรื่องมาขอเงินพ่อแม่บ้าง อายุสามสิบกว่าปี ส่วนน้องชายคนเล็กอายุจะสามสิบแล้ว ไม่ทำการทำงาน ดีแต่ขอเงินพ่อแม่อยู่เรื่อยไป
      คือหนูเกิดมา ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่สักเท่าไหร่ คือพ่อแม่ไม่พร้อมเลี้ยง พอดีน้องสาวพ่อ หรือก็คืออาของหนู เขาเอาหนูไปเลี้ยงตั้งแต่ป.4 จนหนูจบม.6 เข้ามหาลัย หนูก็เข้ามาเรียนในกรุงเทพ  หนูกลับบ้านปีละครั้ง สองครั้ง พอหนูจบมหาลัย หนูเรียนต่อปริญญาโท แล้วสอบบรรจุติดในจังหวัด … ทำงานเป็นครูตั้งแต่ปี … จนปัจจุบันอยู่ที่…
     หนูกับแฟนที่เป็นผู้หญิง เรารักกัน ใช้ชีวิตแบบเดียวกัน แต่หนูคิดว่าแม่คงจะไม่เข้าใจว่า นี่คือครอบครัวในแบบของหนู เค้าคงคิดว่า คงเป็นเพื่อนธรรมดา ซึ่งจริงๆ หนูว่าเค้ารู้ว่าไม่ใช่เพื่อน แต่คงไม่อยากให้เราอยู่ด้วยกัน เลยจะให้หนูกลับบ้าน ไปอยู่กับพ่อแม่ โดยอ้างว่าอย่าทิ้งน้อง ทิ้งพ่อแม่ หนูไม่ได้ทิ้งน้องเลยนะ แต่น้องมันไม่ทำงาน เรียนไม่จบ หนูพูดกับมันสอนไปเท่าไหร่ มันก็เหมือนเดิม ไม่ทำการทำงานเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่บ้านก็มีสวนมีนา ก็ไม่ยอมทำ ทุกวันนี้หนูให้เงินพ่อเดือนละ 5000 บาท ผ่อนแอร์ให้ 1 ตัว และเวลาซ่อมบ้าน หนูก็ส่งเงินไปช่วยประมาณ 5 หมื่น หนูกลับบ้านไปปีละครั้ง ในช่วง 3 ปีหลัง หนูพาแฟนกลับบ้านหนูด้วย แรกๆ เขาก็พูดคุยดี หลังๆ เขาบอกว่าไม่ต้องเอาแฟนกลับบ้านมาด้วย แฟนหนูเขารู้เรื่อง เขาก็เสียใจ เพราะตอนแรกเขาคิดว่า แม่หนูยอมรับพวกเราได้
     หนูเคยคุยกับพ่อว่า ถ้าหนูไม่ย้ายกลับบ้านได้ไหม พ่อบอกว่า ต้นไม้ไม่ต้องงอกอยู่ใต้ต้นก็ได้ ไปอยู่ที่ไหนก็ได้ พ่อไม่ว่า พ่อมีเวลาเหลือน้อยแล้ว แต่หนูยังมีอนาคตอีกเยอะ พอพ่อพูดแบบนี้ หนูเลยสงสารพ่อจับใจ อยากดูแลพ่อ (คือยอมรับว่าหนูค่อนข้างจะรักพ่อมากกว่าแม่ ส่วนแม่เขาจะรักน้องชายคนกลางมากกว่า) แต่แม่ไม่ยอม บอกหนูให้กลับบ้าน ย้ายกลับบ้าน หนูเลยเขียนย้ายไปช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ด้วยคิดว่าหนูจะย้ายลงไปก่อน แล้วแฟนที่เป็นครูเหมือนกันจะย้ายตามมา แต่มาวันนี้แฟนหนูบอกว่า จะไม่ย้ายลงใต้เด็ดขาด เพราะแม่พูดแบบนั้น ไม่อยากย้ายลงไปแล้ว เค้าอยากจะให้หนูอยู่ที่ … กับเขาต่อไป หนูไม่รู้จะทำอย่างไรดี หนูเคยคิดว่า ถ้าหนูย้ายลงไปใต้ ชีวิตหนูคงจะไม่มีความสุขกับการอยู่คนเดียว จะได้ทำอะไรที่ตามใจตัวเอง เพราะอยู่กับพ่อแม่อิสระคงจะไม่มี ต้องตื่นมาทำขนมตอนเช้า ต้องรับรู้ปัญหาหลายๆ อย่างของครอบครัว และต้องคิดถึงอดีตที่เคยอยู่กับแฟน คิดถึงแมวที่เป็นลูกๆ ของเรา คิดถึงตอนขับรถเที่ยว แต่ถ้าหนูไม่ย้ายกลับบ้าน หนูก็ต้องรู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลพ่อแม่ตอนที่เขาแก่เฒ่าไปตลอดชีวิต
     แล้วหนูยังคิดต่อไปว่า เพื่อนคู่คิดที่หนูเคยมี หนูก็จะไม่มี แล้วถ้าต่อไปพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว หนูจะอยู่กับใคร หนูว่าความเหงามันแย่มาก หนูเคยวางแผนกับแฟนไว้ว่า เราจะเก็บเงินไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน เราจะไปเก็บเงินวางแผนร่วมกัน เราจะใช้ชีวิตหลังเกษียณด้วยกัน ที่ผ่านมาก แฟนเอาเงินเดือนเค้าให้หนูบริหารจัดการทั้งหมด แฟนอายุน้อยกว่าหนู 5 ปี เงินเดือนน้อยกว่าหนูประมาณ… เราเก็บเงินผ่อนรถด้วยกัน 1 คัน แล้วถ้าหนูย้ายกลับไป เค้าจะทำอย่างไร เค้าพูดกับหนูว่า วันที่หนูย้ายกลับบ้าน หัวใจเค้าจะแตกสลาย ไม่เหลืออะไรอีกเลย หนูได้ยินหนูก็สงสารเค้ามาก และสงสารตัวเองด้วย ทำไมชีวิตต้องมาเป็นอะไรแบบนี้ ทำไมต้องมีใครที่ต้องเสียใจ ไม่พ่อแม่ ก็แฟน หรือ ตัวเราเอง ทำไมเราจะมีความสุขด้วยกันทุกฝ่ายไม่ได้ นี่คือความทุกข์ของหนูในวันนี้
     อีก 3 เดือน จะประกาศผลย้าย แฟนหนูเค้าเศร้าทุกวัน เค้าบอกว่าเค้าจะรั้งหนูไว้ไม่ให้กลับบ้าน รั้งไว้ให้มากที่สุด เมื่อผลย้ายประกาศออกมา เค้าจะได้ไม่ต้องโทษตัวเองว่า รั้งหนูไว้ไม่มากพอ คุณหมออาจจะคิดว่า เราสามารถเดินทางไปหากันได้ หากหนูย้ายแล้ว แต่แฟนหนูเค้าเป็นคนอยู่คนเดียวไม่ได้ เนื่องจากปัญหาครอบครัวของเขาที่เค้ารู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รักเขาเช่นกัน เค้ามีเลยหนูเป็นที่พี่งทางใจทุกอย่าง
     ตอนนี้หนูคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดีค่ะ หากหนูย้ายแฟนเสียใจ หนูเสียใจ แต่หากหนูทำหน้งสือยับยั้งการย้ายตอนนี้ พ่อแม่เสียใจ หนูก็เสียใจเหมือนกัน คุณหมอว่าหนูควรทำอย่างไรดีคะ
หนูอยากให้ทุกฝ่ายมีความสุข รวมทั้งตัวหนูเองด้วย
     ขอกราบขอบพระคุณคุณหมอมากนะคะที่อ่านจดหมายหนู หนูจะรออ่านในบล๊อคคุณหมอนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

…………………………………

ตอบครับ

     วันนี้ขอสลับฉากเอาจดหมายคนที่ยังไม่สูงวัยมาตอบบ้างนะครับ เป็นการแก้เบื่อในชีวิตของชายแก่ชื่อหมอสันต์ ไม่มีอะไรอื่น

     1.  ถามว่าตัวเรามีกิ๊กเป็นผู้หญิงด้วยกันแต่พ่อแม่ไม่เข้าใจจะจับแยกกัน ควรทำอย่างไร ตอบว่ากิ๊กของคุณไม่ใช่หรือ ไม่ใช่กิ๊กของคุณพ่อคุณแม่สักหน่อย การที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมรับที่คุณมีแฟนเพศเดียวกัน นั่นเป็นปัญหาของท่าน ไม่ใช่ปัญหาของคุณ ท่านจะต้องไปทำความเข้าใจกับชีวิตเอาเองว่าชีวิตของใครก็ชีวิตของมัน จะไปบังคับกะเกณฑ์เอาให้คนอื่นทำอย่างใจตัวเองได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าท่านก้าวล่วงเข้ามาในชีวิตของเราพอรับรู้เรืื่องของเรามากแล้วท่านเดือดร้อนแล้วจะให้แก้ไขตัวเราเองเพื่อให้ท่านมีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ เพราะคนเราเกิดมาคนละช่วงอายุ (generation) ความคิดที่ก่อตัวขึ้นเป็นคอนเซ็พท์ในเรื่องต่างๆย่อมไม่เหมือนกันเพราะสิ่งแวดล้อมที่บ่มเพาะความคิดมาไม่เหมือนกัน การจะให้ปัญหาจบคือเรื่องแบบนี้ต้องตัวใครตัวมันไม่ยุ่งกันดีที่สุด ถ้าท่านทำใจไม่ได้คุณก็ทำใจของคุณได้ก็พอแล้ว ท่านว่ายังโง้นยังงี้คุณก็ฝึกวิชาหูทวนลมเสีย

     2. ถามว่าการที่พ่อแม่แก่แล้วคุณไม่ย้ายไปอยู่ใกล้เพื่อดูแลท่านเป็นการอกตัญญูหรือเปล่า ตอบว่าฟังตามเรื่องที่เล่า คุณก็เป็นลูกกตัญญูดีแล้วนะ เรียนหนังสือจบมาสูง ตั้งใจทำงานสัมมาอาชีพ ส่งเงินให้ท่านใช้ทุกเดือน ท่านมีกิจอะไรต้องใช้เงินก้อนก็หาไปให้ ไปเยี่ยมท่านทุกปี ปีละหลายครั้งด้วย ใครเป็นพ่อแม่คนได้ลูกอย่างคุณนี้สักคนหนึ่งก็สมควรปลื้มและตายตาหลับได้แล้ว ส่วนวาระซ่อนเร้นเช่นอยากจะจับลูกแยกออกจากคู่ขาของเขานั้นอันนี้หากตั้งใจอย่างนั้นจริงมันก็เป็นการแทรกแซงชีวิตของลูกมากเกินไปที่คนรุ่นพ่อแม่ไม่ควรทำ หรือหากอยากจะให้ลูกมาอยู่ใกล้มาบีบนวดประคบประหงมดูแลทุกวันนั้นมันก็เป็นความคาดหวังที่มากเกินไปจนเรียกว่าเป็นความคาดหวังที่ตกยุคไปแล้ว คงมีลูกสมัยนี้น้อยคนนักที่จะทำให้ได้ ถ้าหากคุณทำไม่ได้ขนาดนั้นผมยืนยันให้คุณสบายใจได้ว่าคุณไม่ได้ผิดปกติไปจากคนอื่นที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณแต่อย่างใด

     3. ถามว่าหากย้ายไปอยู่กับพ่อแม่แล้วชีวิตคงจะไม่มีความสุข เพราะจะขาดอิสรภาพ จะต้องขาดจากกันกับกิ๊กและหมาแมว จะต้องช่วยแม่ปั้นขนมซึ่งไม่อยากทำสู้ทำงานได้เงินเดือนแล้วส่งให้ท่านใช้ง่ายกว่า ถามว่าหากเป็นอย่างนี้ยังสมควรย้ายไปอยู่ไหม ตอบว่าไม่สมควรย้ายครับ เพราะถ้าคุณย้ายไปอยู่กับพ่อแม่แล้วคุณไม่มีความสุข ท้ายๆที่สุดลึกๆในใจของคุณพ่อคุณแม่ก็จะไม่มีความสุขยิ่งกว่าคุณเสียอีก พูดง่ายๆว่ามีแต่เสียกับเสีย เสียทั้งขึ้น เสียทั้งล่อง คือความรู้สึกที่พ่อแม่มีต่อลูกเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่าการแค่อยากให้ลูกยอมทำตามใจตน ไม่ใช่แค่นั้น พ่อแม่ทุกคนเมื่อทำให้ลูกเกิดมาแล้วก็อยากจะเห็นลูกมีความสุข เมื่อลูกเป็นทุกข์พ่อแม่ก็จะเป็นทุกข์ยิ่งกว่า เพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่าความยึดถือเกี่ยวพันนั้นมันเป็นแค่ความคิดที่วางเสียก็หมดปัญหาแล้ว หรือบางทีรู้แล้วแต่ก็ยังวางไม่เป็น ท่านผู้อ่านท่านอื่นๆอาจจะท้วงว่าอ้าว ถ้ากลัวลูกเป็นทุกข์แล้วจะบังคับให้ลูกไปอยู่กับตัวเองทำไม ผมตอบแทนพ่อแม่ได้ว่าสิ่งที่พ่อแม่แทรกแซงชีวิตของลูกไปนั้นก็ด้วยความเชื่อว่ามันจะทำให้ชีวิตของลูกเป็นสุขอย่างน้อยก็ในระยะยาว เป็นผู้หญิงอยู่กินกับผู้หญิงด้วยกันมันไม่ดี ท่านเชื่อของท่านอย่างนั้น ก็จึงทำอย่างนั้น แต่ไม่มีใครจะคาดการณ์ความสุขในชีวิตของคุณได้ดีกว่าตัวคุณเองหรอก ดังนั้นถ้าคุณมั่นใจว่าย้ายไปอยู่กับพ่อแม่แล้วคุณจะมีทุกข์มากกว่าตอนนี้ผมแนะนำชัดๆเลยว่าคุณอย่าย้าย..จบข่าว

     4. เมื่อตะกี้ผมพูดถึงคำว่า “ความยึดถือเกี่ยวพัน” ผมเชื่อว่าคุณเข้าใจที่ผมพูดว่าพ่อแม่มีหน้าที่ๆจะวางความยึดถือเกี่ยวพันในใจของตัวเองเกี่ยวกับลูกลง แต่คุณอาจจะไม่ค่อยเข้าใจหากผมจะพูดว่าในการใช้ชีวิตของคุณก็เหมือนกัน กิ๊กก็ดี น้องชายที่ไม่เอาไหนก็ดี หมาแมวก็ดี ต่างก็เป็นรูปแบบหนึ่งของความยึดถือเกี่ยวพัน คือความยึดถือเกี่ยวพันมันเป็นคอนเซ็พท์นะ คือเป็นแค่ความคิด ไม่ใช่ความจริง แต่หากคุณปักใจเชื่อคอนเซ็พท์นี้แน่นหนา ท้ายที่สุดคุณก็จะจมอยู่ในความคิดแบบวางไม่ลง แล้วจบลงด้วยความทุกข์ เหมือนที่คุณแม่ของคุณเป็นทุกข์กับตัวคุณในตอนนี้ สำหรับคุณแม่นั้นท่านแก่แล้วช่างท่านเถอะ แต่คุณยังมีเวลาในชีวิตทอดยาวอยู่ข้างหน้าอีกยาวไกล ในการใช้ชีวิต คุณต้องหัดปักหลักอยู่ที่ความรู้ตัวที่ปลอดความคิดให้ได้มากที่สุด เมื่อเกิดความคิดโดยเฉพาะความคิดลบซึ่งสืบเนื่องจากความยึดถือเกี่ยวพัน (เช่นความรู้สึกผิดที่จะไม่ได้ดูพ่อแม่ใกล้ชิด ความรู้สึกผิดที่จะทิ้งแฟน ความรู้สึกโกรธน้องที่ไม่รับผิดชอบ) คุณต้องหัดวางความคิดลบนั้นทันทีแล้วไปอยู่กับความรู้ตัวแทน อย่าไปฝากความหวังหรือความมั่นใจในชีวิตไว้ที่การได้ยึดโยงเกี่ยวพันกับคนอื่นไว้แน่นหนา ความเกี่ยวพันเช่นนั้นเป็นเพียงความคิดที่ไม่ได้มีอยู่จริงและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อย่าลืมว่าคุณเกิดมาในโลกนี้คนเดียวนะ เวลาตายคุณก็จะตายคนเดียว ไม่มีใครตายไปพร้อมกันคุณหรอก คุณควรยอมให้ชีวิตดำเนินไปอย่างที่มันเป็น ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นและดำเนินไปโดยไม่ต้องไปบังคับ ไปลุ้น หรือไปบีบน้ำตามากเกินเหตุ หากทำได้อย่างนี้ชีวิตคุณจะเบิกบานและมีพลังเหลือเฟือที่จะช่วยเหลือคนอื่นเช่นลูกศิษย์ลูกหาของคุณได้อีกมาก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์