Latest

ไม่มีใครสะแต๊มป์ให้คุณได้ว่าคุณหลุดพ้นแล้ว

(เก็บตกจากการคุยกันใน Spiritual Retreat)

ถาม

อาจารย์จะแนะนำให้ออกไปจากกรงขังของความคิดได้อย่างไร

ตอบ

     ความคิดมันเป็นกรงขังก็จริงนะ แต่เมื่อคุณชะโงกมองเข้าไปในห้องขัง มันไม่มีนักโทษอยู่ในนั้นนะ เพราะความรู้ตัวที่คุณเข้าใจว่าถูกความคิดขังไว้นั้นมันอยู่ข้างนอก หรือมีอีกคนหนึ่งพูดไว้ผมจำไม่ได้ว่าเป็นใคร รู้สึกว่าจะเป็นรูมี่มั้งถ้าจำไม่ผิด เขาเขียนไว้เป็นโคลงว่า

     “ฉันเคาะประตู เคาะ เคาะ เคาะ
แต่พอประตูเปิดออก
อ้าว ฉันอยู่ข้างในนี่นา..”

     เรา คือจิตสำนึกรับรู้ เรานึกว่าความคิดขังเราไว้ แต่ความจริงเป็นเราต่างหากที่ไปหลงคิด (identify) ว่าเราคือความคิด ตรงนี้เป็นประเด็นนะ นี่เป็นทางพ้นทุกข์เลยทีเดียว คือความเจ็บปวดร่างกายอาจมีได้หลายสาเหตุ แต่ความทุกข์ทางใจล้วนมีสาเหตุเดียว คือการเพิกเฉย (ignorance) ต่อความจริงที่ว่าความเป็นบุคคลของเราที่แยกส่วนออกมาจากคนอื่นนี้เป็นของปลอม ไม่ใช่ของจริง

ถาม

     ตอนเช้าอาจารย์บอกว่าความรู้ตัวไม่ใช่ของส่วนตัว มันเป็นของร่วม จะเข้าใจตรงนี้ได้อย่างไร

ตอบ

     เปรียบเหมือนคนอยู่แถบยอร์คเชียร์ที่ตอนเหนือของประเทศอังกฤษที่ขึ้นชื่อในเรื่องมีเมฆครื้มทั้งวัน สมมุติว่าตั้งแต่เกิดมาเขาเห็นแต่ก้อนเมฆสีเทาครื้มอยู่ทุกวัน ไม่เคยเห็นท้องฟ้าเลย เมฆเหล่านี้เปรียบเหมือนกับความเป็นบุคคล แล้ววันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ฟ้าเปิดขึ้นมานิดหนึ่ง เขาเห็นท้องฟ้าสีน้ำเงินนิดหนึ่ง เป็นรูเจาะอยู่กลางหมู่ก้อนเมฆ เขารู้สึกเบิกบานดีใจมาก ฮ้า นั่นเมฆสีน้ำเงิน ช่างเจิดจ้าและเจ๋งเสียนี่กระไร เขาเรียกมันว่าเมฆสีน้ำเงินเพราะเขาเข้าใจว่ามันผูกติดอยู่กับความเป็นเมฆ เปรียบเมฆสีน้ำเงินของเขานี้ก็เหมือนกับความรู้ตัวที่เขาค้นพบว่ามันไม่ใช่ความคิดหรือความเป็นบุคคลแต่เขายังปักใจเชื่อว่าความรู้ตัวนี้ผูกพันอยู่กับร่างกาย มันเป็น individual consciousness เขายังเข้าใจว่าเมื่อร่างกายนี้ตายไป ความรู้ตัวนี้ก็จะตายไปด้วย

     ต่อมาสมมุติว่านายคนนี้ย้ายไปอยู่เซ้าท์โพรวองซ์ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสซึ่งเลื่องชื่อในแง่ที่ว่ามีฟ้าโปร่งมีแดดแยะ เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วจึงถึงบางอ้อว่า ฮ้า ที่แท้ที่เขาคิดว่าเป็นเมฆสีน้ำเงินนั้นมันเป็นท้องฟ้ากว้างใหญ่อยู่ข้างหลังเมฆ และที่เขาคิดว่าต้องมีเมฆเทาอยู่จึงจะมีเมฆสีน้ำเงินได้ก็ไม่จริง เพราะที่เซ้าท์โพรวองซ์บางวันไม่มีเมฆสักก้อนแต่ท้องฟ้าสีน้ำเงินก็ยังอยู่ เปรียบท้องฟ้าสีน้ำเงินของเขาเหมือนความรู้ตัวที่เขารู้จักมันชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วว่ามันไม่ได้ผูกอยู่กับร่างกาย และมันจะไม่ตายไปเมื่อร่างกายนี้ตาย มันเป็น universal consciousness การที่เขาได้ย้ายไปอยู่เซ้าท์โพรวองซ์ก็เปรียบเหมือนการที่เขาได้ประจักษ์ด้วยปัญญาญาณว่าความรู้ตัวนี้แท้จริงแล้วเป็นของที่คงอยู่ถาวรไม่ผูกติดอยู่กับร่างกาย

     ผมย้ำนะว่าความเป็นบุคคลของเราที่แยกส่วนออกมาจากโลกทั้งโลกนี้ไม่ใช่ของจริง มันเป็นเพียงความคิดที่เรากุขึ้น ความรู้ตัวที่เป็นหนึ่งเดียวกว้างใหญ่ราวท้องฟ้าไม่มีขอบเขตนั่นแหละของจริงที่ไม่ตาย การตระหนักรู้ตรงนี้สำคัญ มันมีความหมายในสองประเด็น

     ประเด็นแรก มันทำให้เราเลิกกลัวตาย เพราะความกลัวตายก็คือความกล้วการสูญเสียความรู้ตัวหรือจิตสำนึกรับรู้

     ประเด็นที่สอง มันทำให้เราเลิกแสวงหาได้เสียที เพราะสิ่งที่แสวงหานั้นพบแล้ว เพราะสิ่งที่ส่วนลึกของหัวใจของเราเสาะหาคือความมั่นคง เราอยากเป็นนั่นเป็นนี่อยากได้นั่นได้นี่ทั้งหมดเพราะเราต้องการความมั่นคง ต้องการ security เพื่อมาดับความกลัวของเรา ความมั่นคงนี้จึงเป็นกิเลสที่น่าเกลียดน่าชังที่บังคับให้เราแสวงหาไม่สิ้นสุด ชีวิตนี้เมื่อเข้าใจธรรมชาติของความรู้ตัว ก็ไม่ต้องกลัวอะไร ไม่ต้องแสวงหาอะไร ชีวิตก็จะอิ่มเอิบเติมเต็ม ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์

ถาม

     แต่ก็เท่ากับว่าเราถูกบังคับให้เชื่อโดยไม่มีหลักฐาน

ตอบ

     อ้าว แล้วคุณมีหลักฐานหรือว่าที่คุณเชื่อตลอดมาว่าความรู้ตัวเป็นสมบัติส่วนตัวของคุณอย่างทุกวันนี้คุณมีหลักฐานอะไรบ้าง คุณมีประสบการณ์ตรงอะไรที่จะยืนยันไหมละ ไม่มี้ การที่คุณเชื่อว่าจิตสำนึกรับรู้หรือ “ฉัน” (I am)  นี้มันแยกส่วนเป็นของคุณเองไม่เกี่ยวคุณอื่น นั่นคุณเลือกเชื่อของคุณเองนะ ความจริงจะว่าคุณเลือกก็ไม่เชิง คุณถูกสอนมาโดยพ่อแม่และคนรอบตัวคุณ แล้วคนเหล่านั้นที่สอนคุณเขามีหลักฐานอะไรไหม ไม่มี้ แต่ตรงนี้คุณมีเสรีภาพที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อนะ ซึ่งคุณก็เลือกเชื่อเองไปแล้ว เหลืออยู่แต่ว่าเมื่อไหร่คุณจะมีวุฒิภาวะพอที่จะรู้เองว่ามันไม่จริงเท่านั้นแหละ

     เปรียบเหมือนความเชื่อเรื่องซานตาคลอส เกิดมาคุณไม่รู้เรื่องซานตาคลอส แต่พอผู้ใหญ่โดยเฉพาะพ่อแม่เล่าให้ฟัง ได้ของขว้ญมาตอนวันคริสต์มาส คุณก็เชื่อว่าซานตาคลอสมีจริง แต่พอโตขึ้นคุณรู้ว่ามันเป็นเรื่องโกหก เช่นเดียวกันความเชื่อว่าจิตสำนึกรับรู้ของคุณแยกส่วนออกมาเป็นของตัวเองไม่เกี่ยวกับคนอื่น ความเป็นบุคคลของคุณนี้เป็นของจริงจัง ทั้งหมดนี้คุณได้มันมาจากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่และทุกๆคนที่รอบตัวคุณ คุณยังไม่มีหลักฐานอะไรจะบอกว่ามันจริงหรือเท็จ

    ในทางกลับกัน คุณมีหลักฐานจากประสบการณ์จริงนะว่าความรู้ตัวนี้เป็นคนละอันกับร่างกาย และร่างกายไม่ถาวร แต่ความรู้ตัวนั้นถาวร คุณเช็คประสบการณ์ของคุณก็ได้ ตั้งแต่จำความได้ เป็นเด็ก แล้วมาจนเป็นสาว แต่งงาน เป็นแม่คน จนเป็นยาย ร่างกายของคุณนี้เปลี่ยนแปลงเรื่อยมาใช่ไหม ตอนเป็นเด็กกับตอนเป็นสาวก็เป็นคนละร่างกายแล้ว น้ำหนักต่างกันตั้งสามสี่เท่า แต่ความรู้ตัวของคุณยังเป็นอันเดิมนะ คุณก็ยังรู้สึกว่าคุณก็เป็นคุณคนเดิมอยู่นี่แหละ แค่นี้คุณก็ตอบได้แล้วว่าอะไรถาวร อะไรไม่ถาวร

     แล้วที่ว่าความรู้ตัวนี้ครอบคลุมและประกอบเป็นสิ่งภายนอกร่างกายเราทั้งหมดด้วยนี้จริงหรือเปล่า คณเช็คจากประสบการณ์ของคุณสิ คุณเคยมีประสบการณ์อะไรในชีวิตที่ความรู้ตัวไม่ได้อยู่ที่นั่นบ้าง หรือไม่ได้เป็นส่วนประกอบของประสบการณ์นั้นบ้าง มีไหม ลองยกตัวอย่างให้ผมฟังหน่อยสิ ไม่มี้ ทุกประสบการณ์มีความรู้ตัวอยู่ที่นั่นด้วยประสบการณ์จึงจะเกิดขึ้นได้ หากไม่มีความรู้ตัวเสียอย่าง อย่าว่าแต่ประสบการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้นเลย สิ่งนั้นมันจะไม่ดำรงอยู่ด้วยซ้ำ เพราะผู้รับรู้ว่ามันดำรงอยู่คือความรู้ตัว สรุปว่าในทุกเหตุการณ์มีผู้สังเกตคือความรู้ตัว กับสิ่งที่ถูกสังเกตคือเป้าที่ถูกรู้ ไม่ว่าเป้านั้นจะเป็นความคิด อารมณ์ หรืออะไรก็ตาม ประเด็นคือฟากของผู้ถูกสังเกตนั้นมันชัวร์อยู่แล้วว่ามันไม่เที่ยง ไม่ถาวร แต่ความรู้ัตัวอันเดิมยังอยู่เรื่อยมานะ ดังนั้นผมจึงพูดว่าโลกทั้งโลกที่ปรากฎต่อเรานี้มีสิ่งที่เป็นของจริงที่เที่ยงแท้อยู่อันเดียว คือความรู้ตัว อย่างอื่นเป็นของที่ไม่ถาวรหมด

ถาม

     ส่วนที่ว่าเมื่อร่างกายตายแล้วความรู้ตัวยังไม่ตายละคะ อาจารย์มีหลักฐานอะไร

ตอบ

     ตัวผมเองเริ่มต้นด้วยการเชื่อตามครูก่อนนะ เพราะครูบอกผมว่าขอให้เชื่อเขาสามเดือนผมก็เชื่อ คือลองเชื่อดู และใช้ชีวิตตามความเชื่อว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราและไม่ถาวร ความรู้ตัวต่างหากที่เป็นเราและถาวร ผมเริ่มต้นอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีลองเชื่อก็ได้ เพราะบนเส้นทางนี้วันหนึ่งปัญญาญาณจะสาธิตหรือสอนแสดงให้คุณเห็นเชิงประจักษ์เอง ยกตัวอย่างเช่นวันหนึ่งผมนั่งสมาธิ เมื่ออยู่ในฌานแล้วก็พบว่าร่างกายของตัวเองหายไปจะขยับแขนขาก็ขยับไม่ได้แต่มีความรู้ตัวอยู่ ซึ่งนี่เป็นประสบการณ์ธรรมดาของคนที่นั่งสมาธิมาถึงจุดหนึ่งก็จะเจอแทบทุกคน แต่ก่อนผมไม่เคยคิดอะไร แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมปิ๊งขึ้นมาว่า อ้าว นี่ไง ตอนนี้ร่างกายไม่มีนะ แต่ความรู้ตัวก็ยังมีอยู่อย่างบริบูรณ์ อย่างสุขสบายมากๆด้วย นี่เป็นปัญญาญาณ (intuition) ที่สาธิตให้เห็นว่าความรู้ตัวนี้ดำรงอยู่ได้นะ แม้จะไม่มีร่างกาย โลกทัศน์เกี่ยวกับความรู้ตัวของผมก็เปลี่ยนจากการหลับหูหลับตาเชื่อมาเป็นการเห็นด้วยประสบการณ์ตัวเอง

ถาม

     ถ้าไม่นั่งสมาธิ ไม่เคยรู้จักฌาน จะรู้ได้ไงว่าตระหนักรู้ความรู้ตัวแล้ว หลุดพ้นแล้ว

ตอบ

     รู้ด้วยตัวคุณเองสิ ปัญญาญาณเกิดกับทุกคนเมื่อว่างจากความคิด ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิอยู่ในฌานหรอก ตัวอย่างเช่นแค่คุณผิวปากอาบน้ำใจว่างๆคุณก็ปิ๊งไอเดียเจ๋งๆได้แล้ว กลับมาตอบคำถามคุณว่าคุณหลุดพ้นหรือยังคุณรู้ด้วยตัวเองเท่านั้น เมื่อใดที่คุณพบว่าทุกวันคุณมีชีวิตอยู่อย่างเต็มไปด้วยความสุขสงบเย็น ไม่มีความคิดงี่เง่าโผล่มากวนใจ หรือโผล่มาแล้วมันกวนใจคุณไม่ได้ นั่นแหละคุณหลุดพ้นแล้ว คุณรู้ด้วยตนเองเท่านั้น ไม่มีใครสะแต๊มป์ตราประกันให้คุณได้หรอกว่าคุณหลุดพ้นแล้ว ครูของผมคนหนึ่งซึ่งพูดอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศสเล่าโจ๊กเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง ผมจำเรื่องนี้ได้เพราะจำสำเนียงออกเสียงตัว ร เรือเป็นตัว ฮ นกฮูกของครูได้ เป็นเรื่องของพระในวัดเซ็น วันหนึ่งพระลูกวัดซึ่งมีหน้าที่หุงข้าวอยู่ในครัวก็เกิดพบว่าตัวเองตรัสรู้ขึ้นมาแน่นอนแล้ว เพราะอยู่ๆก็มีความรู้สึกสุขใจอิ่มเอิบบอกไม่ถูก จึงไปปรึกษาสมภารว่านี่เป็นการตรัสรู้ใช่หรือไม่ สมภารตอบว่า

     “์No no it is not Satori”

     “ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่การตื่นรู้”

     พระลูกวัดก็กลับไปด้วยความผิดหวัง แต่ก็ยังรู้สึกมากขึ้นทุกวันว่าวันๆผ่านไปโดยที่ตัวเองไม่มีความทุกข์เลย ผ่านไปสามเดือนอดรนทนไม่ได้จึงกลับไปหาสมภารอีก ก็ได้รับคำตอบว่า

     “์No no it is not Satori. Go back to kitchen work”
     
     “ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่การตื่นรู้ กลับไปหุงข้าวซะไป๊”

     พระลูกวัดกลับมาทำครัวต่อได้อีกหกเดือน ความสุขความอิ่มเอิบในใจก็ยิ่งชัดขึ้นอีก จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวกลับไปถามสมภารอีกว่าหลวงพ่อแน่ใจหรือว่ามันไม่ใช่การตรัสรู้ ก็ได้รับคำตอบยืนยันอีกว่า

     “์No no it is not Satori”

     “ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่การตื่นรู้”

     คราวนี้พระรูปนั้นทนไม่ไหวแล้ว จึงพูดขึ้นว่า

     “หลวงพ่ออยู่กับการตื่นรู้ของหลวงพ่อไปเถอะ ผมจะอยู่กับไอ้ที่ไม่ใช่การตื่นรู้ของผมนี่แหละ”

     หลวงพ่อได้ยินก็หัวเราะร้องลั่นว่า

     “Ha ha. That is it. That is Satori”

     “หะ ฮ้า นั่นแหละ ใช่แล้ว คุณตื่นรู้แล้ว”

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์