Latest

มะเร็งปอดระยะที่สี่ ผมจนใจไม่มีข้อมูลอะไรมาแนะนำคุณ

หนู … ค่ะ อายุ … ปี ตรวจเจอว่าเป็นมะเร็ง เมื่อเดือนมกราคม พ. ศ. 2561 อาจารย์ … ที่โรงพยาบาล …  บอกว่ามีจุดที่ปอดทั้งสองข้าง แต่ที่ข้างขวา มีเนื้อมะเร็ง อยู่จุดหนึ่ง แล้วไปเจอที่ขั้วปอด ที่ต่อมน้ำเหลือง หมอบอกตัดไม่ได้ ให้ทำคีโม หนูเลยย้ายไป หาแพทย์ภูมิคุ้มกันบำบัด ชื่อคุณหมอ … ที่โรงพยาบาล
… หนูเริ่มกินยา ชื่อTagrisso หมอบอกเป็นยารักษามะเร็งปอด กินไป 3 เดือน ยังไม่มีอะไรดีขึ้นค่ะ หนูเริ่มกินประมาณเดือน มีนาคมค่ะ ต่อมา เห็นคนไปทำวัคซีนที่ญี่ปุ่น คุณหมอเคียวโกะอิโตะ หมอจะเอาเลือดเราออกไปครั้งแรก แล้วไปตรวจหาวัคซีน ที่เหมาะกับตัวของหนู แล้วฉีดกลับมา เลือด 1 ชุดฉีดวัคซีนกลับได้ 4 ครั้ง ค่ะ หนูก็ทำแบบนี้ชุดแรก Pet scan ดีมากค่ะ แต่ ค่าCEA ค่อยๆเพิ่มขึ้น มาทุกเดือนค่ะ หนูฉีดวัคซีนชุดแรกไปได้ 4 เดือน เดือนละครั้ง หนูก็ทำชุด 2 คือเอาเลือดออก ไปตรวจหาวัคซีนเพื่อฉีดกลับ ไปลองตรวจดู Pet Scan ผลที่ออกมาคุณหมอ … บอกว่า เชื้อมะเร็งดื้อยาค่ะ แต่หนูจะเดินทาง ไปที่ญี่ปุ่นวันที่ 6 เมษายน และจะกลับมาวันที่ 10 วันที่ 14 จะต้องพบคุณหมอ … ค่ะ คุณหมอรอฟังความเห็นของทางคุณหมอญี่ปุ่น ว่าแนวทางการรักษา จะใช้คีโมหรือแบบไหน แต่ใจหนูไม่กล้าคีโมเลยค่ะ ขอความกรุณา คุณหมอสันต์ ช่วยชี้แนะ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจของหนูค่ะ ส่วนเรื่องอาหาร ตั้งแต่ป่วย หนูก็ดูแลตลอดค่ะ เป็นเพราะหนูยังต้องใช้ยาอยู่ บางครั้งเวลาหนูกินถั่วแทนเนื้อสัตว์ เช่นปลาช่อนและไข่ หนูรู้สึก ร่างกายไม่แข็งแรงเท่าที่ควรเลยค่ะ ช่วงนี้ระหว่างการรักษา หนูจะเป็นอยู่แนวไหนดีคะ หนูส่งรูป Pet Scan และผล Pet Scan ชุด 2 และชุด 3 มาให้คุณหมอ โปรดกรุณา อ่านและชี้แนะให้หนูด้วยค่ะ ส่วน ส่วนคอร์ส การดูแลคนเป็นมะเร็งหนูจองไปเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่บังเอิญ เรื่องการรักษา หนูจะต้องตัดสินใจก่อน กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ หนูส่งภาพและผลจะสแกนมา ครั้งที่ 2 และครั้ง 3 ค่ะ

……………………………………………..

ตอบครับ
     ผมขออนุญาตไม่พูดถึงระยะ (staging) และการพยากรณ์โรค เพราะพูดไปก็ไลฟ์บอย หมายความว่าพูดไปมันก็ไม่สร้างสรรค์อะไร
     ผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลเล็ก (non small cell Ca) ระยะ 4 ซึ่งผ่าตัดไม่ได้ ทางเลือกที่เหลืออยู่หากรักษาต่อในแนวทางแพทย์แผนปัจจุบันก็คือ
1. เคมีบำบัด
2. ภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งรวมถึงการทดลองใช้วัคซีนด้วย
3. ไม่ทำอะไรเลย
     ทั้งสามวิธีข้างต้นนี้ ในแง่ของความยืนยาวของชีวิตปัจจุบันนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าวิธีไหนดีกว่าวิธีไหนอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยเปรียบเทียบถึงผลระยะยาวก็ยังไม่มี ถ้าจะมีการวิจัยก็ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 5 ปีกว่าจะสรุปผลได้ ดังนั้นในฐานะแพทย์แผนปัจจุบัน ผมจนใจที่ไม่มีข้อมูลอะไรมาแนะนำคุณว่าควรเลือกวิธีไหน คุณต้องตัดสินใจแบบเดาสุ่มเอาเองเสียแล้วละครับ
     ส่วนคำแนะนำวิธีรักษาแบบการแพทย์ทางเลือกผมก็แนะนำไม่ได้เพราะแพทยสภาเขาห้ามไม่ให้แพทย์แผนปัจจุบันไปยุ่งกับแพทย์แผนอื่นที่ตัวเองไม่ได้เรียนมา 
     เหลือที่ผมจะแนะนำคุณได้อยู่อย่างเดียว คือเมื่อเป็นมะเร็งปอดในระยะนี้แล้วควรจะกินจะอยู่อย่างไร ซึ่งผมขอแนะนำคุณตามสมาคมมะเร็งอเมริกัน (ACS)ซึ่งได้ออกแนวปฏิบัติ (guidelines) การรักษามาเร็งโดยใช้หลักฐานวิทยาศาสตร์ และแนะนำผู้ป่วยมะเร็งให้กินอาหารดังนี้
     (1) จำกัดการทานเนื้อสัตว์ในรูปแบบไส้กรอก เบคอน แฮม (processed meat) และจำกัดการทานเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (red meat) เช่นเนื้อหมู เนื้อวัว 
     (2) ทานผักและผลไม้ให้มากๆเข้าไว้ อย่างน้อยวันละสองถ้วยครึ่ง 
     (3) ทานธัญพืชไม่ขัดสี (เช่นข้าวกล้องหรือขนมปังโฮลวีท) แทนธัญพืชขัดสี 
     (4) ทานอาหารในปริมาณพอดีไม่ทำให้อ้วน ถือหลักผอมไว้เป็นดี เพราะความอ้วนสัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งมากขึ้น แต่ก็อย่าถึงกับผอมมากเกินไป เพราะจะทำกิจกรรมประจำวันลำบาก 
     (5) ให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
     นอกจากนี้ ผมแนะนำเพิ่มเติมให้หาพืชที่หลากหลายมากินเป็นยาด้วย เช่นหาผักพื้นบ้านแปลกๆหาทานยากๆอย่างละนิดอย่างละหน่อยรวมทั้งเห็ดต่างๆตามฤดูกาลมาทานสดบ้างปั่นบ้างตามสะดวก พืชอะไรที่เขาว่าดีก็เอามากินได้อย่างละนิดอย่างละหน่อย เพราะการได้ธาตุที่หายากและที่ร่างกายใช้น้อย (trace element) ซึ่งมักมีอยู่แต่ในพืชเท่านั้นมาเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่ครบถ้วน จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งมีหน้าที่กำจัดมะเร็งทำงานได้ดีขึ้น
     อีกอย่างหนึ่งที่ผมแนะนำคุณได้โดยไม่ผิดหลักวิชาคือคุณควรรักษามะเร็งของตัวเองด้วยการปลดปล่อยระบบภูมิคุ้มกันให้หลุดจากความเครียดทั้งมวล เพราะความเครียดเป็นตัวกดระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เม็ดเลือดขาวไม่ขยันจับทำลายเซลมะเร็ง ความเครียดเกิดจากความคิด โดยเฉพาะความคิดลบ มันมักมาสองทาง คือ
     (1) การยึดติดถวิลหาหรืออยากได้สิ่งดีๆที่เคยได้ (attachment)
  
     (2) การอยากหนีสิ่งเลวๆที่กลุ้มรุมอยู่ตอนนี้ (non-acceptance)
     การจะปลดความคิดลบทั้งสองให้เหลือศูนย์มีวิธีเดียว คือจะต้องยอมรับ (acceptance) หรือยอมแพ้ (surrender) ต่อทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขให้ได้ก่อน
     ความกลัวนั้นแน่นอนว่าเป็นสิ่งเลวร้าย ความกลัวพาจะคุณออกจากปัจจุบันไปอยู่กับอะไรที่ร้ายๆน่ากลัวๆในอนาคตซึ่งไม่มีอยู่จริง ความกลัวเป็นความคิดลบที่บงการคุณได้ ความกลัวทำให้เครียด ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะยังไม่เวอร์คหรอกหากคุณยังอยู่กับความกลัว
     การอยู่กับความหวังก็เป็นการแสดงถึงการไม่ยอมรับสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ถ้าเรายอมรับสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ 100% เราก็ไม่ต้องไปตั้งความหวังอะไร เพราะที่มีอยู่ที่เป็นอยู่เรายอมรับได้หมดแล้ว ดีแล้ว พอแล้ว ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ดังนั้นความหวังก็ไม่ต้องไปสร้างหรือฟูมฟักมันไว้หรอก เพราะความหวังเองก็เป็นตัวร้ายคอยพาเราลี้ภัยหนีออกจากปัจจุบันไปอยู่กับลมๆแล้งๆในอนาคตเช่นกัน
     ดังนั้้นให้วางความคิดทั้งหมดลงเสีย วิธีวางก็ด้วยการแอบสังเกตดูความคิดแบบไม่เข้าไปคิดต่อยอด เมื่อถูกสังเกต มันจะฝ่อไปเอง นอกจากวางความคิดทั้งหมดลงแล้ว ให้ทิ้งตัวชี้วัดใดๆไปให้หมด รวมทั้ง CEA ด้วย ทิ้งไปหมดไม่ต้องตามดู หันมาอยู่กับความรู้ตัวที่นี่ เดี๋ยวนี้ ทีละช็อต ทีละช็อต ยอมรับทุกอย่างที่มาถึง ณ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ แบบสดๆซิงๆ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ทิ้งความจำในอดีตทั้งมวลไปเสีย ทิ้งอนาคตไปเสียด้วย แล้วรับมือกับทุกอย่างซึ่งๆหน้า ตรงๆ ทีละช็อตในปัจจุบัน ในรูปแบบของความตื่นเต้นที่จะได้พบกับความท้าทายใหม่ๆที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะในชีวิตหนึ่งนี้ใครจะไปรู้ได้ว่าช็อตต่อไปของชีวิตอะไรจะมา นี่แหละคือความท้าทายในชีวิต และนี่แหละคือการใช้ชีวิตแบบใหม่ๆสดๆ ถ้าความตายจะมาถึงเวลาใดก็ยอมรับมันที่ ณ เวลานั้น ไม่วิ่งหนีอะไร ไม่วิ่งหาอะไร แค่ที่มีอยู่ เป็นอยู่ ณ เดี๋ยวนี้ มีอากาศหายใจ มีน้ำให้ดื่ม มีอาหารให้กิน มีความรู้ตัว ก็เพียงพอที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพและมีความหมายในช็อตนี้ได้แล้ว
     และก่อนนอนทุกวันให้คุณ “ซ้อมตาย” ด้วยการบอกตัวเองว่าการเข้านอนครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้จะไม่มีแล้ว หลับไปครั้งนี้จะไม่ตื่นมาอีกแล้ว ให้คุณตั้งใจที่จะเข้าไปสู่ความหลับอย่างรู้ตัวโดยไม่มีความคิดใดๆมาครอบหรือบงการอยู่เบื้องหลัง รู้ตัวอยู่ทุกขณะโดยไม่มีความคิดจนหลับไป ไม่มีความคิดเลยนะ ความคิดว่าตายแล้วจะไปไหนก็ไม่ต้องคิด วางไปให้หมด
     หากทำได้อย่างนี้ ใจจะนิ่ง ตื่น แต่สงบเย็น ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะทำงานได้ดีระดับท็อปฟอร์ม สำหรับโรคมะเร็งไม่ว่ามะเร็งที่อวัยวะไหน หากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกลับมาทำงานดี อะไรดีๆก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์