Latest

ประเด็นคือการย้าย identity ออกไปจากความเป็นบุคคลนี้

เรียน อจ สันต์ครับ
ขอปรึกษาเรื่องการปฏิบัติหน่อยครับ ช่วงก่อนหน้านี้ 5-6 เดือน กำลังสติค่อนข้างดี ความคิด ความกังวล ความสงสัยอะไรผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เมื่อเดือนพฤษภาคม ช่วงหนึ่งมีความสงสัยเกี่ยวกับความคิดเรื่องความดัน ก็เกิดความกังวล (ทั้งๆ ที่เดือนมีนาคม 2562 ไปพบแพทย์ตามนัด วัดครั้งแรก 160|90 แต่พอพบหมอ หมอวัดได้ 130|80) พอเกิดความกังวล ความดันตัวบนก็เลยเพิ่ม 160-170 ผมก็ตั้งใจว่าจะเลิกวัดความดันไปเลย
จากนั้นก็ปฏิบัติต่อเนื่อง แต่ความคิด ความสงสัย ความกังวล ก็กลับไปกลับมา บางช่วงสติก็กลับมาดีเห็นความคิด ความกังวล ก็ผ่านเลย แต่บางช่วงสติก็อ่อนลง เวลามันเผลอแว๊ปไปคิดเรื่องความดัน จิตมันไปติดความกังวล ทำให้การนอนเป็นแบบ หลับๆ ตื่นๆ (โดยปกติผมเป็นคนที่นอนหลับง่ายมาก เข้านอนไม่เกิน 23.00 น. ใช้เวลา 1-2 นาที ก็หลับเลย ตื่นอีกครั้งก็เช้า) เวลาเกิดทุกข์ขึ้นมาผมก็พยายามอยู่กับมันไม่แทรกแซง ก็เห็นทุกข์มันดับไป แต่มันก็กลับมาใหม่ ไปๆ มาๆ
อยากขอคำแนะนำ จาก อจ สันต์ครับ ว่าพอจะมีเทคนิคที่จะแนะนำในการวางความคิดที่ไร้สาระแบบนี้ได้อย่างไร (ปัจจุบันผมก็เดินจงกรม เช้าและกลางคืน บางวันบ่ายๆ ก็ฝึกนั่งแบบหลวงพ่อเทียน ระหว่างวันก็พยายามอยู่กับเนื้อกับตัว) ผมฝึกมาต่อเนื่องก็เกือบ 3 ปีแล้ว ช่วงก่อนหน้านั้นความคิด ความกังวล มันจะมาแค่ไม่นาน แต่รอบนี้ดูเหมือนมันไม่หนัก ไม่มีอะไร แต่รู้สึกว่ามันวนเวียนอยู่
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
ปล.  ปัจจุบันหมอให้ทาน Prenolol 25 mg ครึ่งเม็ด, Twynsta 40/5 1 เม็ด, Bestatin 10 mg

………………………………………………………

ตอบครับ

     1. เรื่องความดันเอาไว้ก่อนนะ เพราะมันเป็นผลตามหลัง เอาเรื่องความคิดก่อน เพราะในคนที่ความดันผันแปรขึ้นๆลงๆตามเหตุการณ์ประจำวันมากๆอย่างนี้ แสดงว่าความดันสูงไม่ได้เกิดจากโรคที่ผนังหลอดเลือด แต่เกิดจากการบีบตัวของหลอดเลือด ซึ่งควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งถูกกระตุ้นอีกต่อหนึ่งโดยความคิด ดังนั้นในกรณีนี้ความคิดเป็นเหตุให้ความดันสูง เมื่อใดก็ตามที่คุณวางความคิดได้ ความดันเลือดของคุณมันก็จะลงมาเอง

     2. ความคิดแบบจุดเทียนเวียนวนเวียนไปวนมาไม่เลิก ห่างบ้าง ถี่บ้าง มันมีรากมาจากไหนกันนะ? ทั้งหมดนี้มันมีรากมาจากสำนึกว่าเป็นบุคคล (identity) ของเรา เพราะความเป็นบุคคลของเราเกิดขึ้นจากการเอาร่างกายนี้บวกเข้ากับเรื่องราวแต่หนหลังที่ปะติดปะต่อผูกขึ้นเป็นปูมไว้ในหน่วยความจำ รวมโหลงโจ้งออกมาเป็นคอนเซ็พท์ว่านี่คือเรา หรือนี่คือ “ฉัน” ดังนั้นฉันหรือตัวตนของเรานี้เป็นแม่ของความคิดทั้งหลาย ตราบใดที่ identity ของเรายังเป็น “ฉัน” ตัวนี้อยู่ แล้วความคิดมันจะไปไหนพ้นละ เพราะแม่ของมันยังอยู่นี่ การจะให้ความคิดหมดไปมันต้องมีการเปลี่ยนตัวตน (shift of identity) มันต้องมีการย้ายสำมะโนครัวย้ายบ้าน ย้ายวิก เปลี่ยนชื่อ ว่าเราไม่ได้เป็นบุคคลอันประกอบด้วยร่างกายและชุดความคิดนี้อีกต่อไปแล้ว เราไม่ใช่ร่างกายนี้ เราไม่ใช่ความคิดนี้ เราย้ายไปเป็น “ความรู้ตัว” ซึ่งไม่ได้มีเอี่ยวได้เสียกับใครหรือบุคคลคนไหนทั้งสิ้นแล้ว แม้แต่ “ฉัน” ที่เป็นวิกเดิมของเราความรู้ตัวก็ไม่มีเอี่ยวไม่มีได้เสียด้วย นี่แหละที่เขาเรียกแบบบ้านๆว่า “บวชที่ใจ” ซึ่งจำเป็นกว่าการไปบวชทางกายแบบห่มผ้าเหลืองหรือเดินธุดงค์เสียอีก
     เพื่อความเข้าใจ ขอขยายความ เปรียบเหมือนคุณได้รับมอบหมายให้เล่นละครแบบกรีกสมัยก่อน ที่ผู้เล่นคนหนึ่งต้องคอยเปลี่ยนหน้ากากเปลี่ยนเสียงพูดเพื่อให้ผู้เล่นคนเดียวเล่นละครได้หลายตัว แต่ละเสียงพูดที่พูดลอดแต่ละหน้ากากออกมาเรียกในภาษาลาตินว่า persona ซึ่งก็เป็นที่มาของคำว่า person หรือ “บุคคล” ในปัจจุบันนี้ ถ้าคุณเป็นผู้เล่นที่ดี

     คุณหยิบหน้ากาก 1 ขึ้นมา ทำเสียงชายแก่ หลัว หลัว หลัว ใส่อารมณ์ แบบชายแก่ แล้วก็วาง

     แล้วหยิบหน้ากาก 2 ขึ้นมา ทำเสียงหญิงสาว เจี๊ยบ เจี๊ยบ เจี๊ยบ ใส่อารมณ์แบบหญิงสาว แล้วก็วาง

     แล้วหยิบหน้ากาก 3 ขึ้นมา ทำเสียงชายหนุ่มผู้มีเงินมีอำนาจ ห้าว ห้าว ห้าว ใส่อารมณ์แบบชายหนุ่ม แล้วก็วาง..

      คุณจะไม่มีปัญหาเลยถ้าคุณทำหน้าที่แค่ผู้เล่นละคร แต่นี่คุณหยิบหน้ากากชายหนุ่มขึ้นมาแล้วคุณเล่นแปะหน้ากากนั้นเข้ากับหน้าตัวเองแบบลืมแกะออกไปเลย คุณกลายเป็นชายหนุ่มคนนั้นไปจริงๆเสียแล้ว เสียง persona ที่คุณเปล่งออกมาเพื่อแสดงถึงความเป็นชายหนุ่มในละครนั้นได้กลายเป็นคุณไปจริงๆเสียแล้ว นั่นแหละปัญหา นั่นแหละที่เขาเรียกว่าสำนึกว่าเป็นบุคคล (identity) หรือจะใช้คำบ้านๆว่าอีโก้ก็ได้ คุณจะต้องย้ายวิก ลาออก ทิ้งตัวตนหรือ identity นี้ไปเสียก่อน คุณไม่ใช่นายอธิปัตย์คนนี้อีกต่อไปแล้ว ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่คุณอีกต่อไปแล้ว มันยังเป็นร่างกายของคุณอยู่แต่มันไม่ใช่คุณแล้ว เหมือนรถโตโยต้าเป็นของคุณก็จริงแต่รถโตโยต้าไม่ใช่คุณ คุณดูแลเอาเข้าอู่ให้มันใช้การได้เต็มสมรรถนะแต่ก็ไม่ต้องถึงขนาดลงไปชกต่อยกับคนอื่นกลางถนนเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีให้กับรถโตโยต้าเกินเหตุเพราะมันเป็นแค่รถของคุณ มันไม่ใช่คุณ ถ้าคุณไม่สามารถย้ายวิกเปลี่ยน identity ได้อย่างนี้ ความคิดเดิมๆที่จุดเทียนเวียนวนก็จะไม่มีวันหายไปไหน เพราะความคิดเหล่านั้นมันประดังกันขึ้นมาด้วยจุดประสงค์เดียว คือมุ่งปกป้องสำนึกว่าเป็นบุคคลทั้งสิ้น
     3. ในทางปฏิบัติทำอย่างไร ผมสังเกตว่าสามปีที่ผ่านมาคุณใช้ยุทธวิธีใช้ความสนใจ (สติ) ตามรู้ความคิด ฟังตามที่คุณเล่าแรกๆดูเหมือนจะเวอร์ค อ้าวนานไปกลับไม่เวอร์ค วิธีนี้มันอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกจริตของคุณก็ได้ ผมเข้าใจว่าเป็นเพราะคุณไปสู้รบในสนามของ “ภาษา” หรือสนามของ “ความคิด” ซึ่งเป็นสนามที่ persona เขาได้เปรียบเพราะเขาเกิดและเติบโตมาในสนามนี้ จึงสกัดกั้นคุณได้ทุกซอกทุกมุมทุกช็อต
     ผมแนะนำว่าจากนี้ไปในหลายเดือนข้างหน้านี้ คุณลองเปลี่ยนสนามเล่น คือเลิกเล่นในสนามของภาษา แต่ไปเล่นในสนามของคลื่นความสั่นสะเทือน (vibration) ที่ไม่มีภาษา เรียกว่าย้ายไปเล่นในสนามปรมัตถ์ อะไรที่เป็นภาษาคืออะไรที่เรียกชื่อได้ บอกรูปร่างได้ เลิกยุ่งด้วยให้หมด เหลือไว้แค่คำพูดไม่กี่คำที่ใช้ดึงคุณออกจากสนามของภาษาเท่านั้น เช่น “ผ่อนคลาย (relax) ” “ซู่ซ่า (body scan)” “รู้ตัว (consciousness)” นอกจากนั้นอะไรที่เรียกเป็นภาษาได้อย่าไปยุ่งด้วยเลยทั้งสิ้น โผล่ขึ้นมาปุ๊บก็ดีดทิ้งไปให้หมดปั๊บ สนใจแต่คลื่นความสั่นสะเทือนที่เข้ามาสู่การรับรู้ในปัจจุบัน (perception) ไม่ว่าจะเป็นในรูปของภาพ (image) เสียง(sound) หรือสัมผัสของผิวหนัง (body sensation) หรือความรู้สึก (feeling) ก่อนที่ภาษาจะเข้ามาเกี่ยวข้อง แบบที่เขาเรียกว่ารู้เห็นตามที่มันเป็น ก็คือรู้เห็นว่ามันเป็นคลื่นความสั่นสะเทือน ไม่มีภาษาเข้ามาตีความหรือพากย์ 
     คุณจะเห็นว่ามีหลายศาสนาหลายนิกายสอนวิธีเดินบนเส้นทางนี้ ด้วยการเปล่งเสียงโอมบ้าง เปล่งเสียงท่องบ่นมันตราที่ไม่มีความหมายอะไรในเชิงภาษาบ้าง บ้างก็ตีระฆัง ฆ้อง กลอง ฉิ่ง ฉาบ บ้างก็แค่ลาดตระเวณความสนใจดูความรู้สึกบนผิวกายเฉยๆ เส้นทางสายนี้ท้ายที่สุดมันจะนำคุณไปสู่จุดเดียวกันที่คุณเคยพยายามจะไปด้วยการใช้สติตามดูความคิดตลอดสามปีที่ผ่านมา นั่นคือไปเป็นความรู้ตัว (consciousness) ในเมื่อคุณไปทางโน้นแล้วสามปีไม่เวอร์ค ทำไมคุณไม่ลองมาทางนี้ดูบ้างละครับ

ถาม 

     body scan หรือซู่ซ่านี้ เหมือนกับความรู้ตัวทั่วพร้อมไหมครับ

ตอบ

     เหมือนกัน แต่ขอขยายความหน่อยว่าอย่ามองแค่ผิวเผินว่า body scan เป็นการรับรู้แค่เวทนา (feeling) หรือความรู้สึกบนผิวกาย ให้มองลึกซึ้งกว่านั้นว่าเวทนาเหล่านั้นเกิดจากการที่อายตนบนผิวกายรับรู้การมีอยู่ของพลังงานของร่างกาย (internal body หรือ energy body หรือ “ปราณา” ในภาษาแขก หรือ “ชี่” ในภาษาจีน) ซึ่ง energy body นี้เป็นคลื่นความสั่นสะเทือนที่อยู่นอกภาษา และเป็นปากทางนำไปสู่ความรู้ตัวซึ่งเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนเหมือนกันแต่ในความละเอียดที่สูงกว่า

     ถ้าสังเกตให้ดี พระพุทธเจ้าเรียงลำดับส่วนประกอบของชีวิตจากหยาบไปละเอียดว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในอุปนิษัทของฮินดูก็เรียงคล้ายๆกันเรียกว่า Five sheaths คือ
Annamaya (รูป), Pranamaya (เวทนา) Manomaya (สังขาร), Vijnanamaya (ปัญญาญาณ) Anandamaya (ความรู้ตัว)

     เมื่อยำรวมกันมันก็จะมีประมาณหกชั้น แน่นอนว่าการเดินทางจากนอกเข้าในมันจะต้องผ่าน ต้องเข้าใจ และต้องรู้จักใช้ประโยชน์และระวังโทษของหลักกิโลเมตรทั้งหกหลักนี้คือ (1) รูป (ร่างกาย) (2) เวทนา (พลังงานร่างกาย) (3) สัญญา (ความจำ) (4) สังขาร (ความคิด) (5) ปัญญาญาณ (intuition) และ (6) วิญญาณ (ความรู้ตัว)

     แต่ถ้าคุณจะลัด ผมแนะนำให้คุณโฟกัสที่หลักกิโลเมตรสองหลักก็พอ คือ เวทนา (feeling) และปัญญาญาณ (intuition)  นั่นหมายความว่าคุณต้องให้น้ำหนักการเห็นตามที่มันเป็น หรือการ “อยู่กับปัจจุบัน” เพราะปัญญาญาณเป็นเครื่องมือชี้ให้เห็นตามที่มันเป็น ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่นอกภาษา อยู่นอกเวลา และอยู่แต่กับคลื่นความสั่นสะเทือนที่เดี๋ยวนี้ล้วนๆโดยไม่ต้องยุ่งอะไรกับความคิดหรือความจำเลย คุณต้องทำให้ได้ถึงขนาดว่าฟังเมียพูดแล้วได้ยินเป็นเสียงดนตรีที่มีแต่ instrument ไม่มีเสียงคำร้อง คือไม่จับเอาสาระในเชิงภาษาจากสิ่งเร้าใดๆทั้งสิ้น ต้องทำให้ได้ถึงขนาดนั้นจึงจะเรียกได้ว่ารู้เห็นตามที่มันเป็น

     ถ้ามีเวลาว่างก็แวะมาคุยกันได้นะ หรือจะมาเข้า Spiritual Retreat ก็น่าจะได้ประโยชน์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์