Latest

ชีวิตที่ดีคืออะไร

เรียนคุณหมอสันต์
ดิฉันเกษียณแล้ว 2 ปี เกษียณแบบเด็ดขาดไม่ทำงานอะไรแล้ว แต่ก็ยังไม่มีชีวิตที่ดี ได้ศึกษาปฏิบัติธรรมมานานร่วมสิบปี ไปร่วมศึกษาปฏิบัติมาห้าหกแห่ง เช่นที่ …. ปฏิบัติแบบทุ่มเทพอควร ตั้งแต่เกษียณมาแล้วนี่แต่ละครั้งอยู่นานเป็นเดือน แต่ก็ยังไม่บรรลุความตื่นรู้หรือหลุดพ้น เพื่อนที่เลือกเกษียณแบบพากันไปเที่ยวไร้สาระ ดูพวกเขาจะมีความเครียดน้อยกว่าดิฉันเสียอีก ดูตัวคุณหมอสันต์ก็ได้ คุณหมอสันต์ก็ยังทำงานอยู่มากไม่น่าจะมีเวลาให้ตัวเองมาก แต่แล้วทำไมมีชีวิตที่ดีได้ ทำไมดิฉันซึ่งเลิกทำงานเด็ดขาดเพื่อจะได้มีเวลาให้ตัวเองมากๆ แต่ทำไมยังไม่มีชีวิตที่ดี ดิฉันใช้ชีวิตวัยเกษียณผิดวิธีไปหรือเปล่า

………………………………………………………..

ตอบครับ

     ประเด็นที่ 1. ชีวิตที่ดีคืออะไร
  
     คนจำพวกหนึ่งมักจะคิดว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตที่หาเงินได้มาก มีเงินใช้เหลือเฟือเจือจานลูกหลานวงวานว่านเครือ อยู่บ้านหลังใหญ่หลายๆหลัง ขับรถมียี่ห้อหรูคันโตๆหลายๆคัน กินอาหารเหลาดีๆ ไปเที่ยวเมืองนอกบ่อยๆ นั่งเรือบินชั้นสูงๆ หรือมียศฐาบรรดาศักดิ์ที่มีคนนับหน้าถือตามากๆ หรือมีอำนาจควบคุมบังคับผู้คน จึงได้ทุ่มเทให้กับการทำงานหาเงิน สร้างฐานะเศรษฐกิจหรือสร้างตำแหน่งยศชื่อเสียง คนจำพวกนี้ไม่มีวันเกษียณ เพราะเกษียณไม่ได้เดี๋ยวชีวิตจะกลายเป็นชีวิตที่ไม่ดี ชีวิตทั้งชีวิตจึงหมดไปกับการไล่ตามตัวเลขเงินในธนาคารซึ่งตามไม่เคยทัน เรียกว่ามีชีวิตอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้

     คนอีกจำพวกหนึ่ง เกษียณแล้วมุ่งหน้าเสาะหาความหลุดพ้น เสาะหาการบรรลุธรรม เข้าวัดเข้าวา แสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล เข้าคอร์สสำนักนั้นสำนักนี้ สร้างสมบารมี ลุ้นว่าชาตินี้จะทันได้โสดา สกิทา อนาคา บ้างหรือเปล่านะ แต่อย่างน้อยก็มองไปที่การตายด้วยความลุ้นล่วงหน้าว่าขอให้ได้ตายดีตายอย่างมีสติ และมองไปที่ชาติหน้าว่าถ้าไม่ถึงนิพพานก็ขออย่าได้ไปสู่ภพภูมิที่ต่ำลง ความที่แสวงหาแล้วแสวงหาอีกก็ยังไม่พบ ชีวิตทั้งชีวิตจึงหมดไปกับการแสวงหา เป็นการอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้เช่นกัน หรือจะพูดให้ชัดยิ่งกว่านั้นก็คืออยู่เพื่อชาติหน้า

     ถามหมอสันต์ว่าชีวิตที่ดีคืออะไร หมอสันต์ตอบโดยไม่ลังเลว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ ที่นี่เดี๋ยวนี้ ที่

(1) มีอากาศดีๆหายใจ
(2) มีน้ำสะอาดๆดื่ม
(3) มีอาหารสุขภาพสดๆกิน
(4) ได้อยู่กับธรรมชาติ
(5) มีทักษะที่จะผ่อนคลายร่างกายและวางความคิดจนอยู่กับเดี๋ยวนี้ได้ทีละขณะๆ
(6) ใช้ชีวิตได้เต็มศักยภาพที่มนุษย์พึงมี

     ทั้งหกประการนี่แหละคือชีวิตที่ดี ถ้ามีเงินด้วยก็ดี แต่ถ้าไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งจำเป็นพืันฐานคืออากาศ น้ำ อาหาร และธรรมชาตินั้น อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่สัตว์อย่างสุนัขจรจัดก็ยังหาได้

     ส่วนเมื่อถึงวันตายจะตายอย่างไร ตายแล้วจะไปไหนนั้น สำหรับผมไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตที่ดี เพราะชีวิตคือเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ตอนตาย หรือหลังตาย และถ้าความตายจะมาถึง มันมาถึงที่เดี๋ยวนี้ ดังนั้นถ้าผมอยู่ของผมดีๆที่เดี๋ยวนี้ได้ ถึงเวลาความตายมันจะมามันก็มาหาผมที่เดี๋ยวนี้เอง ผมไม่ต้องไปตั้งตารอ ไม่ต้องไปชะเง้อหา ยิ่งชาติหน้าผมยิ่งไม่วอรี่ใหญ่ ผมไม่รู้หรอกว่าชาติหน้ามันมีหรือไม่มี ถ้ามันไม่มีก็จบกันไป ถ้ามันมีผมก็ไม่วอรี่ เพราะหากผมมีสติอยู่ที่เดี๋ยวนี้ชาติหน้าถ้ามีมันก็จะมาหาผมที่เดี๋ยวนี้เอง   

     ว่าก็ว่าเถอะ ตัวผมเองก็แทบไม่เคยมีโอกาสใช้ชีวิตที่ดีติดๆกันได้ถึงสองสัปดาห์เลย คุณเขียนมาก็ดีแล้ว จดหมายของคุณทำให้ผมเกิดความบันดาลใจว่าต่อจากนี้ไปทุกปีผมจะต้องหยุดทำอะไรลกๆเสียบ้างปีละสักสองสัปดาห์เพื่อมาจงใจใช้ชีวิตที่ดีอยู่ในที่ใดที่หนึ่งที่เดียวเท่านั้น คือแค่มา หายใจ ดื่ม กิน นอน และอยู่กับธรรมชาติ ที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์นี่แหละโดยไม่ทำอย่างอื่นที่เป็นเรื่องเป็นราวเลยไม่ไปไหนเลย ผมจะต้องไปเริ่มที่ปีหน้านะ เพราะปีนี้เวลาถูกจองล่วงหน้าด้วยเรื่องลกๆหมดแล้ว ปีหน้าถ้าได้ลองใช้ชีวิตที่ดีติดๆกันสักสองสัปดาห์แล้วได้ผลเป็นอย่างไรผมจะเล่าให้ฟัง

     ประเด็นที่ 2. เรื่องการรอคอยวันหลุดพ้น 

     ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคุณกับผมนิยามคำว่า “ความหลุดพ้น” หรือ “การบรรลุธรรม” หรือ “การตื่นรู้” ตรงกันนะ ว่าคือการสามารถปล่อยวางความคิดยึดมั่นถือมันในความเป็นบุคคลนี้ลงได้สนิท แล้วเปลี่ยนการสำคัญมั่นหมาย (change of identity) จากการเป็นบุคคลไปเป็นความรู้ตัว หรือไปเป็นธาตุรู้ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่เดี๋ยวนี้ ไม่เกี่ยวกับชาติหน้า ไม่เกี่ยวกับสวรรค์วิมานชั้นที่เท่าไหร่หรือนรกขุมไหนนะ ไม่เกี่ยวกัน จูนให้ตรงกันก่อน โอเค.นะ

     การบรรลุความหลุดพ้นเป็นกระบวนการทำ (process) นะ เหมือนอย่างการที่ฝนจะตกมันมีกระบวนการค่อยๆพัฒนาไปเริ่มตั้งแต่ยังไม่มีก้อนเมฆด้วยซ้ำโดยที่มนุษย์เราอาจไม่รู้ แต่ต้นไม้รู้ มด แมลง กบ เขียด รู้ ส่วนมนุษย์เราจะรู้เอาก็ต่อเมื่อฝนเทลงมาจั๊กๆแล้ว คือเรามีนิสัยให้ความสนใจผลบั้นปลาย (outcome) เราไม่ค่อยสนใจกระบวนการหรือ process เรื่องอะไรก็ตามในชีวิต หากเราไปรอเอาแต่ผลบั้นปลาย ชีวิตนี้จะมีแต่การรอทั้งชาติ รอนั่น เสร็จแล้วไปรอนี่ เสร็จแล้วไปรอโน่นต่อ ทั้งชีวิตมีแต่การรอ แล้วเราก็จะไม่ได้ใช้ชีวิต เพราะการรอคือการไปอยู่ในอนาคต

     เขียนมาถึงตรงนี้ผมขอนอกเรื่องหน่อยนะ วันหนึ่งผมไปเข้าวงเพื่อนและรุ่นพี่ที่เป็นกลุ่มนักกฎหมาย อันมีศาล อัยการ เป็นต้น ผมถามท่านหนึ่งซึ่งเป็นทนายความว่างานเยอะไหม ท่านตอบว่า (ขอโทษ..โค้ดคำพูด)

     “ไม่เยอะหรอก งานของกู กูใช้เวลาทำจริงๆครึ่งเดียว” ผมถามว่า

     “หมายความว่าไง” ท่านตอบว่า

     “เวลาอีกครึ่งหนึ่ง กูรอศาล”

     (ฮะ ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น…)

     ขอโทษ นอกเรื่อง กลับมาคุยเรื่องของเราต่อดีกว่า

     ชีวิตจริงๆนั้นมีอยู่เฉพาะที่นี่เดี๋ยวนี้เท่านั้น นอกจากเดี๋ยวนี้แล้วชีวิตไม่มี มีแต่ความคิดงี่เง่า ดังนั้นทุกเรื่องในชีวิตจึงสำคัญที่กระบวนการทำ ไม่ได้สำคัญที่ผลบั้นปลาย หากคุณจดจ่ออยู่ที่กระบวนการทำ ซึ่งมันต้องทำกันที่เดี๋ยวนี้ คุณก็จะได้ใช้ชีวิต เพราะชีวิตใช้กันที่เดี๋ยวนี้ ถ้าคุณไปจดจ่อที่ผลลัพท์ คุณไม่ได้ใช้ชีวิต เพราะคุณไปอยู่ในอนาคตซึ่งเป็นความคิด เพราะผลบั้นปลายอยู่ในอนาคตซึ่งเป็นมิติของเวลาในใจ (psychological time) ไม่ใช่ของที่มีอยู่จริง ในแง่ของกระบวนการไปสู่ความหลุดพ้นนี้ก็เช่นกัน ให้คุณโฟกัสที่กระบวนการทำ อย่าไปรอคอยหาแต่ผลลัพท์ ขอแค่มีแค่ดัชนีบอกทิศทางว่าคุณกำลังไปถูกทางแล้วก็พอ ดัชนีบอกทิศทางผมแนะนำว่าให้คุณใช้แค่สองต้ว คือ

     (1) ความคิดของคุณที่เดี๋ยวนี้ลดน้อยลง

     (2) ความเบิกบานของคุณที่เดี๋ยวนี้มีมากขึ้น

     แค่ดัชนีสองตัวนี้คุณก็บอกทิศทางของคุณได้แล้วว่าคุณกำลังไปถูกทางหรือไปผิดทาง อย่าไปชะเง้อคอยมองหาแต่ผลบั้นปลาย เพราะชีวิตคุณจะหมดไปกับการรอคอยหรือดิ้นรนเสาะหา แล้วคุณก็จะผ่านวันเวลาไปโดยที่คุณไม่ได้ใช้ชีวิต ซึ่งผมเห็นด้วยว่าชีวิตที่ผ่านไปโดยไม่ได้ใช้ชีวิต เป็นชีวิตที่ “ไม่ดี” อย่างแน่นอน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์