Latest

แค้มป์วาดภาพสีน้ำ (WCP1) เปิดรับปัญญาญาณด้วยการทำงานศิลปะ

เรียนคุณหมอ
หนูเรียน … อยู่ที่ … หนูได้อ่านเรื่องปัญญาญาณ การเห็นตามที่มันเป็น (คุณหมอเขียนเมื่อ 12 กพ. 61) หนูเข้าใจแล้วว่าปัญญาญาณเป็นความรู้ที่มาจากแหล่งภายนอก นอกความคิดหรือความรู้ที่เราเรียนมา หนูพอเข้าใจ แต่ไม่เห็นคุณหมอบอกว่าการจะทำให้ได้ประโยชน์จากปัญญาญาณเราจะต้องทำอย่างไรบ้าง ปัญญาญาณจึงจะโผล่มาช่วยชี้ทางให้เรา

………………………………………….

ตอบครับ

     ขอบคุณที่ไม่ถามว่าปัญญาญาณ (intuition) คืออะไร เพราะถามอย่างนั้นผมอาจจะตอบไม่ได้เนื่องจากมันอยู่นอกเขตของภาษาหรือความคิดอ่าน (intellect) จึงไม่มีภาษาอะไรจะอธิบายถึงมันได้ แต่ถามว่าจะเพิ่มโอกาสการได้ใช้ประโยชน์จากปัญญาญาณได้อย่างไร ผมพอตอบได้ ผมแนะนำจากประสบการณ์ตัวเองว่าให้หนูทำดังนี้

     1. ฝึกนั่งสมาธิ (meditation) วิธีไหนก็ได้ นานครั้งละกี่นาทีก็ได้ ห้านาที สิบนาที ขอให้วางความคิดลงไปให้ได้หมดก็แล้วกัน ตรงนั้นคือสมาธิหรือความรู้ตัว ซึ่งเป็นบ้านของปัญญาญาณ มันเป็นของมาคู่กันเหมือนบั๊ดดี้ ผมหมายถึงความรู้ตัวกับปัญญาญาณ เหมือนกับที่ร่างกายมาคู่กับสัญชาติญาณ (instinct) มันเป็นบั๊ดดี้กัน เวลานั่งสมาธิให้เอาสมุดโน้ตกับปากกาวางใกล้ๆ หากมีอะไรดีๆเกิดขึ้นในระหว่างหรือหลังการนั่งสมาธิให้จดไว้เลย

     2. ฝึกทำงานศิลปะ เช่น เขียนลายเส้น ระบายสี ร้องรำทำเพลง เล่นดนตรี ศิลปะอะไรก็ได้ที่ทำให้คุณสามารถหุบเวลาในใจลงมาเหลือแค่เดี๋ยวนี้ จดจ่อและไหลไปตามงานศิลปะนั้นจนลืมอดีตอนาคตลืมเวลาว่ามันเริ่มที่กี่โมงจบที่กี่โมง ความคิดจะถูกวางลงไปโดยอัตโนมัติ เปิดช่องให้ปัญญาญาณเกิดขึ้น บางครั้งศิลปะก็ช่วยให้เราผ่อนคลายปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกที่เราไม่เคยปลดปล่อยออกมาได้ในชีวิตปกติเพราะกรงของความคิดและความเชื่อมันขังไว้ การได้ปลดปล่อยอย่างนั้นก็เป็นการเปิดช่องให้ปัญญาญาณหรือตัวตนที่ส่วนลึกของเราโผล่ออกมาได้เช่นกัน

ชั้นเรียนวาดภาพสีน้ำ เปิดรับปัญญาญาณด้วยการทำงานศิลปะ

     พูดถึงตรงนี้ขอนอกเรื่อง คั่นโฆษณาหน่อยนะ ว่า..ปลายสัปดาห์นี้ 20-21 กค.62 ผมเปิดแค้มป์ฝึกสอนวาดภาพสีน้ำ (Water Color Painting – WCP1) สำหรับมือใหม่ โดยเชิญครูมืออาชีพมาสอน  เริ่มลงทะเบียนเข้าเรียนตั้งแต่ 9.00 น.ของวันเสาร์ที่ 20 กค.62 เริ่มเรียนกับครู 13.00 น. กิน นอน ในนั้นเสร็จ ไปจบเอาหลังเที่ยงวันอาทิตย์ที่ 21 กค.62 คนหนึ่งน่าจะวาดได้สักสองภาพ เนื่องจากเป็นชั้นเรียนแรกจึงลดราคาให้ 50% เหลือคนละ 2,000 บาท ราคานี้รวมอุปกรณ์วาดเขียน (คุณภาพระดับนักเรียน) พร้อมค่าอาหารทุกมื้อ และค่าที่พักแบบห้องหนึ่งอยู่สองคนหนึ่งคืน ท่านที่สนใจกรุณาลงทะเบียนเรียนได้โดย โทรศัพท์หาคุณเอ๋ย (เชิญขวัญ) ที่เบอร์ 0636394003 รับจำนวนจำกัด (10 คน) มากกว่านี้ครูบอกว่าดูไม่ไหว

     กลับมาคุยกันเรื่องวิธีเปิดรับปัญญาญาณต่อ

     3. ผ่อนคลาย (Relax) หมายถึงการหมั่นตั้งใจผ่อนคลายกล้ามเนื้อของร่างกาย ยิ้มที่มุมปากเป็นอาจิณเพราะคนที่ผ่อนคลายถึงจะยิ้มได้ การผ่อนคลายเป็นการวางความคิด เพราะความคิดมีสองขา ขาหนึ่งเป็นเนื้อหาสาระในใจ อีกขาหนึ่งเป็นการหดตัวของกล้ามเนื้อ ถ้าผ่อนคลายได้ ความคิดก็จะถูกวางลงไป เมื่อหมดความคิด ปัญญาญาณจึงจะโผล่ได้ ถ้าหน้าหงิกทั้งวันก็รับประกันได้ว่ารอจนชาติหน้าตอนบ่ายๆก็ไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของปัญญาญาณ

     4. ทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่ซ้ำซาก เช่นหั่นผัก ซอยตะไคร้ ถักไหมพรม กวาดพื้น ขุดดินฟันหญ้า แกว่งแขน เดินเร็ว หรือวิ่งจ๊อกกิ้ง จดจ่ออยู่กับความซ้ำซากที่เดี๋ยวนั้นแบบช็อตต่อช็อต ช็อตต่อช็อต โดยไม่ปล่อยให้ใจลอยไปในอดีตหรืออนาคต จนจิตสงบลงแล้วก็ตั้งคำถามที่อยากได้คำตอบขึ้นมาในใจแล้วกลับไปจดจ่อกับกิจกรรมซ้ำซากนั้นต่อไป ณ จุดหนึ่งคำตอบจะโผล่ออกมาเอง

     5. อาบน้ำฝักบัวเย็นๆ หรือแค่อุ่นนิดๆ ปิดประตูห้องน้ำ ลงกลอน อาบน้ำแบบผ่อนคลายอยู่คนเดียวเงียบๆ ทิ้งความคิดไปให้หมด จะฮัมเพลงเบาๆก็ได้ เปิดน้ำซู่ราดรดจากหัวลงมา รับรู้ความรู้สึกเย็นและขนลุกขนชันทั่่วทุกรูขุมขนโดยไม่ต้องไปใส่ใจอะไรอย่างอื่น เมื่อถูสบู่ก็ให้รับรู้สัมผัสของมือไปบนผิวหนังทีละตารางนิ้ว เมื่อความสนใจมาอยู่กับความรู้สึกบนผิวหนัง ความคิดจะถูกทิ้งไปโดยปริยาย เปิดช่องให้ปัญญาญาณโผล่ขึ้นมาได้..ปิ๊ง..ง

     6. หัดตีความเอาจากร่างกาย ปัญญาญาณชอบแจ้งข่าวผ่านร่างกาย เช่น ทำไมเจอหน้าอีตาคนนี้แล้วท้องไส้มันปั่นป่วนจะอ๊วกทุกครั้ง หรือบางทีข่าวสารก็ซับซ้อนกว่านั้นเช่นหมอบอกว่าคุณเป็นมะเร็ง เอ๊ะ.. ทำไมเซลร่างกายของคุณจึงทำตัวเป็นมะเร็งคือประกาศเป็นปฏิปักษ์กับคุณโต้งๆเฉยเลย คุณไปส่งข่าวสารอะไรผิดๆให้พวกเขาหรือเปล่า คุณทำให้พวกเขาเข้าใจผิดว่าคุณเบื่อชีวิตและอยากตายแล้วหรือเปล่า

     การรับฟังข่าวสารจากร่างกายนี้คุณจะทำได้ดีหากคุณขยันลาดตระเวณร่างกาย (body scan) ค่อยขยันสาดความสนใจไปรับรู้ความรู้สึกบนผิวกายเช่นความรู้สึกซู่ๆซ่าๆ ยิบๆยับๆจิ๊ดๆจ๊าดๆอยู่อย่างสม่ำเสมอ พอมีซิกแนลผิดปกติผ่านมาทางร่างกายคุณก็จะรับรู้ได้ทันที ความรู้สึกบนร่างกายนี้เรียกว่าเวทนา (feeling) เป็นสัญญาณจากปัญญาญาณที่แม่นยำตรงไปตรงมาและไม่เคยผิดพลาด บางครั้งมันบอกคุณเป็นฟีลลิ่งทางร่างกาย แต่หากคุณไม่เก็ท มันก็จะขยายไปเป็นฟีลลิ่งทางใจ ดังนั้นให้คุณหัดใส่ใจสังหรณ์ในใจที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันด้วย

     7. หัดตีความเอาจากฝัน เพราะปัญญาญาณบางครั้งบอกอะไรคุณในรูปของความฝัน แต่อย่าไปคิดว่าทุกความฝันจะเป็นปัญญาญาณเสมอไปนะ บางครั้งก็เป็นแค่สัญชาติญาณซึ่งเป็นบั๊ดดี้ของร่างกาย กลางวันทำอะไรไม่ได้เพราะถูกกรงของความคิดเก็บกดไว้ กลางคืนจึงไปอาละวาดในความฝันแทน บางครั้งความฝันก็เป็นแค่ผลจากท้องอืดเพราะกินมากเกินไป จึงต้องหัดทำนายฝันแบบแยกแยะ ไม่ใช่เอะอะก็เหมาว่าฝันนี้เป็นปัญญาญาณตะพึด อีกอย่างหนึ่ง หากก่อนนอนคุณเข้านอนแบบวางความคิดให้หมดให้ได้ก่อน ผ่อนคลายร่างกายทุกลมหายใจจนถึงลมหายใจสุดท้ายที่หลับ จะมีโอกาสมากที่ฝันนั้นจะมาจากปัญญาญาณของคุณ

     8. เขียนบันทึก อะไรเกิดขึ้นในใจหัดเขียนบันทึกไว้ เขียนโจทย์แล้วเขียนคำตอบที่โผล่ขึ้นมาทันทีในตอนนั้น นานๆครั้งหาเวลากลับไปอ่านดู สอบทานเทียบเคียงกับเหตุการณ์จริงหลังการเขียนบันทึกนั้น ก็จะเป็นการฝึกความแหลมคมในการรับรู้ปัญญาญาณ

     9. หาเวลาไปปลีกวิเวกในธรรมชาติ พักร้อนไปนอนในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ กินอาหารแบบธรรมชาติไม่ปรุงแต่งมาก  ปิดโทรศัพท์ ปิดโทรทัศน์ อยู่กับธรรมชาติ มองท้องฟ้า ผืนน้ำ ดวงอาทิตย์ ดาวเดือน ต้นไม้ใบหญ้า ฟังเสียงนก เสียงไก่ เดินเล่น นั่งสมาธิ  ไม่รู้จะไปนอนที่ไหนมานอนที่เวลเนสวีแคร์ก็ได้รับรองมีที่ว่ามานี้ครบทุกอย่าง ในบรรยากาศแบบนี้ มีคำถามหนักๆในชีวิตให้ตั้งคำถามทิ้งไว้ แล้วรอคำตอบอย่างใจเย็น ปัญญาญาณจะโผล่มาชี้ทางให้เห็น

     10. ขับรถแบบไม่มีแผน หาวันเหมาะๆสักวัน โยนเป้ใส่หลังรถ ขับรถออกจากบ้านแบบไม่มีแผนการณ์อะไร ไม่คิดไตร่ตรองอะไร ปล่อยให้ปัญญาญาณนำพาคุณไป ให้มันบอกคุณว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา จะหยุดตรงไหน หยุดแล้วจะทำอะไร ผมเคยทำแบบนี้เวลาเจอทางตันกับปัญหาใหญ่ๆในชีวิต แล้วก็ได้คำตอบทุกที ในรูปแบบที่บางครั้งก็เซอร์ไพร้ส์

    11. หัดปรับวิธีจูนเครื่องรับ ปัญญาญาณเปรียบเหมือนสถานีวิทยุร้อยสถานีที่ออกอากาศพร้อมกัน แต่ใจคุณเหมือนเครื่องรับที่จูนหาคลื่นได้ทีละคลื่นเดียว คุณต้องหัดปรับวิธีจูนคลื่น พลิกดูบันทึกเก่าๆหรือมองย้อนไปดูสังหรณ์ในอดีตว่าแล้วเหตุการณ์จริงต่อมาเป็นอย่างไร เมื่อมีสังหรณ์เกิดขึ้น อย่าไปต่อต้านขัดขืน ลองทำตามไปแบบโง่ๆโดยไม่ฟังความคิดที่ชี้แนะด้วยเหตุผลและหลักการสาระพัด ลองกับเรื่องเล็กที่ไม่เสียหายมากก่อนก็ได้ เมื่อมั่นใจมากขึ้นก็ลองกับเรื่องใหญ่ เมื่อมีเวลาว่างก็ให้ลองหัดอ่านปัญญาญาณโดยการเขียนทางเลือกการตัดสินใจแบบต่างๆลงบนไพ่ สับไพ่ แล้ววางไพ่บนโต๊ะ เอามือลูบไปบนไพ่แต่ละใบ ฟีลความรู้สึกต่อพลังงานบนฝ่ามือ แล้วหงายไพ่เพื่อเฉลย ทำซ้ำดูซิว่าจะหงายได้ตรงกันหลายๆครั้งหรือไม่ กับเหตุการณ์ทั่วไปในชีวิตก็ให้หัดคาดเดาเอาจากสังหรณ์หรือความรู้สึก แล้วเมื่อเหตุการณ์จริงเฉลยออกมาก็เอามาปรับทักษะในการรับรู้ความรู้สึกของตัวเองว่าจับความรู้สึกพลาดตรงไหนจึงเดาผิด เป็นต้น หัดเดาไปทุกเรื่อง การเมือง ละคร ฟ้าฝน ที่จอดรถว่าว่างหรือไม่ว่าง ฯลฯ

     ในการหัดจูนคลื่นรับนี้ ต้องไม่สับสนพื้นฐานสำคัญนะว่าปัญญาญาณไม่ใช่สัญชาติญาณ ปัญญาญาณเป็นบั๊ดดี้ของความรู้ตัวซึ่งเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ความเป็นไปของจักรวาลนี้อย่างกว้างขวางไม่มีขอบเขตจำกัด แต่สัญชาติญาณเป็นบั๊ดดี้ของร่างกายซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนและสารเคมีในร่างกาย เช่น ความอยากอาหาร ความรู้สึกทางเพศ หากเป็นไปได้เราจะไม่ขัดขวางทั้งปัญญาญาณและสัญชาติญาณ แต่การอยู่ในสังคมมนุษย์บางคร้้งก็จำเป็นต้องตีกรอบสัญชาติญานบ้างพอให้อยู่กับคนอื่นเขาได้ ดังนั้นอย่าไปวิ่งตามสัญชาติญาณโดยคิดว่ามันเป็นปัญญาญาณ

    อีกประเด็นหนึ่งคือปัญญาญาณไม่เกี่ยวอะไรกับความคิดเจ้าประจำที่ชอบพาเราหนีจากปัจจุบันไปอยู่ในอนาคตและอดีต คือความกลัว ความหวัง และความรู้สึกผิด สามอย่างนี้เป็นความคิดนะ ปัญญาญาณไม่ใช่ทั้งความกลัว ไม่ใช่ทั้งความหวัง ไม่ใช่ทั้งความรู้สึกผิด แต่เป็นความรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่ความคิดไม่อาจรู้ไปถึงได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์