Latest

หนึ่งเป็นทั้งหมด ทั้งหมดเป็นหนึ่ง

เรียนคุณหมอสันต์
ผมอายุ 18 ปี เรียนชั้นม. 5 และตัดสินใจว่าจะเลิกเรียนแล้วเพราะไม่รู้จะเรียนไปทำไม ผมเกิดในครอบครัวนับถือพุทธ แต่ก็ไม่พอใจกับวิถีพุทธไร้สาระเข้าวัดเข้าวาเอาเงินไปให้พระนำไปทำสิ่งไร้สาระแบบที่ครอบครัวของผมกำลังทำอยู่ ผมจึงไปเข้ารีตนับถือคริสต์ แต่ท้ายที่สุดผมก็คลางแคลงใจกับการมีอยู่ของพระเจ้า นรก สวรรค์ และชีวิตนิรันดร์ ตกลงผมไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ตัวตนของผมมีอยู่จริงหรือเปล่า หรือว่าทั้งหมดนี้ผมแค่หลงเข้ามาแป๊บเดียวแล้วก็จะหลุดออกไป คุณหมอสันต์ช่วยวาดภาพชีวิตที่แท้จริงให้ผมเห็นหน่อยได้ไหมครับ

…………………………………………..

ตอบครับ

     คุณลืมคำสอนของทุกศาสนาไปก่อนนะ พระจ้ง พระเจ้า นรก สวรรค์ ชีวิตนิรันดร์ ความหลุดพ้น คุณลืมไปก่อน ผมจะบอกความเป็นจริงของชีวิตในมุมมองของผมให้ โดยจะแยกเป็นห้าประเด็นนะ

     1. คุณดำรงอยู่ (existence) คุณมีอยู่แล้ว ผมหมายถึงความรู้ตัวของคุณ มันอยู่ที่นี่แล้ว มันมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันจะอยู่ไปอีกนานถึงกี่อสงไขย์ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันมีอยู่ที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ นี่เปลี่ยนไม่ได้ คุณไม่สามารถเอาความรู้ตัวของคุณไปทิ้งได้ คุณไม่สามารถเปลี่ยนจากการดำรงอยู่เป็นการไม่ดำรงอยู่ได้ คุณเปลี่ยนรูปแบบของการดำรงอยู่ได้ แต่เปลี่ยนจากดำรงอยู่เป็นไม่ดำรงอยู่ไม่ได้ เพราะโดยนิยาม การไม่ดำรงอยู่ แปลว่าไม่มี แต่คุณมีอยู่แล้ว

     2. ทุกอย่างมีแต่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ทุกอย่างในชีวิตมีแต่ที่นี่เดี๋ยวนี้เท่านั้นเอง แว้บเดียว แว้บ แว้บ แว้บ ทีละแว้บ ส่วนของอย่างอื่นเช่น เวลา (time) และช่องว่าง (space) เป็นมายาภาพที่ความคิดตีความเอาจากข้อมูลที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะทั้งนั้น ไม่ได้มีอยู่จริงหรอก วิชาวิทยาศาสตร์ทั้งหมดก็เป็นมายาภาพ เช่นเดียวกับวิชาโหราศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา เงินนิยม สังคมนิยม กูนิยม นรก สวรรค์ เก้า ล. เก้า (ฯลฯ) ล้วนเป็นมายาภาพ ของจริงมีแต่ที่นี่เดี๋ยวนี้เท่านั้น นอกจากนี้ไม่ใช่ของจริง

     3. หนึ่งเป็นทั้งหมด ทั้งหมดเป็นหนึ่ง ฮี่ ฮี่ ขออนุญาตเดาะเป็นภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง มันเข้าใจยากสักหน่อย โปรดตั้งใจสดับ “หนึ่ง” เป็นผู้แปลงร่างเป็น “ทั้งหมด” และมีประสบการณ์กับตัวเองผ่านร่างแปลงเหล่านั้น

     ลำพังหากไม่มีเครื่องช่วยอย่างกระจกเงา เราจะมองตัวเราเองไม่เห็นดอก อายตนะของเราทุกอันไม่ว่า ตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง ล้วนออกแบบให้หันออกไปข้างนอก เราจะรู้เห็นตัวเราก็โดยการฉายภาพของเราออกไปข้างนอกก่อน แล้วรับรู้เงาสะท้อนที่กลับมานั้น เวลาคุณยืนอยู่หน้ากระจก คุณรู้ว่าเงาสะท้อนในกระจกนั้นคือคุณ คุณนิ่วหน้า เงาสะท้อนก็นิ่วหน้า คุณผ่อนคลายหัวคิ้ว เงาสะท้อนก็ผ่อนคลายหัวคิ้ว คุณจึงรู้ว่าเงาในกระจกนั้นคือคุณ ขณะเดียวกันคุณก็รู้ว่าคุณเป็นคนที่ยืนอยู่ที่ข้างนอกกระจก ไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ในกระจก

     คราวนี้ผมให้คุณจินตนาการว่าคุณกำลังยืนอยู่กลางห้องแปดเหลี่ยมที่ผนังทุกด้านเป็นกระจกเงาหมด  คุณมองเห็นภาพสะท้อนของตัวเองจำนวนนับไม่ถ้วนทั้งไกล้ทั้งไกลทุกหนทุกแห่งมองไปทางไหนมีแต่ภาพสะท้อนของตัวเองหัวสลอน แต่คุณก็ยังรู้ตัวอยู่ว่าคุณเป็นคนที่ยืนอยู่กลางห้อง ขณะเดียวกันคุณก็รู้สึกว่าคุณที่เป็นคนตัวเล็กๆที่ยืนอยู่ทิศโน้นไกลโพ้นออกไปโน่นก็เป็นคุณด้วย คุณโบกไม้โบกมือ เจ้าคนตัวเล็กๆทั้งหลายที่ยืนอยู่ทิศโน้นทิศนี้ทั้งไกล้และไกลก็โบกไม้โบกมือด้วย เพราะทั้งหมดมันเป็นภาพของคุณเอง อย่างนี้แหละที่ผมเรียกว่าหนึ่งเป็นทั้งหมด ทั้งหมดเป็นหนึ่ง คุณที่ยืนอยู่กลางห้องเป็นตัวก่อกำเนิดเงาสะท้อนทั้งหมดนั้น แต่คุณจะรู้ว่าคุณทำอะไรเคลื่อนไหวอะไรคุณต้องดูเอาจากเงาสะท้อนเหล่านั้น เพราะคุณดูตัวเองตรงๆไม่เห็น หิ หิ ตรงนี้เข้าใจยากหน่อย แต่ผมก็จนปัญญาที่จะอธิบายด้วยภาษาให้แจ่มแจ้งกว่านี้ได้ เอาเป็นว่าคุณเก็ทแค่ไหนก็แค่นั้นก็แล้วกัน

     อ้อ เดี๋ยว ขออธิบายต่ออีกหน่อยนะ ไหนๆก็งงแล้วเอาให้มันงงสุดๆไปเลย ชีวิตของคนเรานี้มันเป็นชั้นๆซ้อนกันเหมือนกลีบหอมกลีบกระเทียม บ้างอธิบายว่ามีเจ็ดชั้นบ้าง ห้าชั้นบ้าง แต่หมอสันต์ขออธิบายแบบหมอสันต์ คือ เอาแค่สามชั้นจากนอกเข้าใน คือ (1) ร่างกาย (2) ความคิด (3) ความรู้ตัว ถ้าพูดแบบวิทยาศาสตร์ซึ่งแบ่งของในจักรวาลนี้ออกเป็นสองแบบเท่านั้นคือสสาร กับพลังงาน ร่างกายก็เป็นสสาร ความคิดและความรู้ตัวเป็นพลังงานเพราะมันมองไม่เห็นฟังไม่ได้ยินจับต้องไม่ได้ ธรรมดากลีบหอมกลีบกระเทียมชั้นนอกจะหุ้มชั้นในไว้ไม่ให้โผล่หรือแพล็มพ้นขอบชั้นนอกออกมาได้ แต่ชีวิตเป็นอีกแบบ คือชั้นในกลับเป็นตัวกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตและเป็นผู้ปั้นชั้นนอกขึ้นมา เพราะว่าชั้นในสุดของชีวิตคือความรู้ตัวนี้มันเป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานพื้นฐานของจักรวาลนี้ นี่แหละที่ผมเรียกว่า “หนึ่ง” แล้วพลังงานพื้นฐานหรือพลังงานรวมของจักรวาลนี้นี่แหละที่เป็นตัวปั้นหรือแปลงร่างไปเป็นสรรพสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของทั้งหลายที่เรามองเห็นหรือสัมผัสรับรู้ได้ นี่แหละที่ผมเรียกว่า “ทั้งหมด” นั่นคือที่มาที่ผมจั่วหัวว่าหนึ่งเป็นทั้งหมด ทั้งหมดเป็นหนึ่ง หนึ่งเป็นทั้งหมดหมายความว่าถ้าไม่มีความรู้ตัวเสียอย่าง ทั้งหลายทั้งปวงที่เรามองเห็นหรือรับรู้ได้นี้ก็จะไม่มี ทั้งหมดเป็นหนึ่งหมายความว่าจากคนสัตว์สิ่งของทั้งหลายเหล่านี้รวมทั้งชีวิตของเราเองด้วย ไล่ลึกเข้าไปข้างในเถอะ ก็จะเหลือไส้ในเป็นแค่พลังงานพื้นฐานของจักรวาลนี้ที่ผมเรียกว่า “หนึ่ง” นี้เท่านั้น ไม่มีอะไรนอกจากนี้เลยจริงๆ

     4. คุณส่งอะไรออกไปจากตัวคุณ คุณจะได้สิ่งเดียวกันนั้นกลับมา คุณจะเรียกมันว่ากฎแห่งการดึงดูด กฎแห่งการสะท้อน หรือกฎแห่งกรรมก็ได้ทั้งนั้น เอาเป็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นปรากฎต่อชีวิตคุณ ณ ที่นี่เดี๋ยวนี้ เป็นผลงานของคุณเองทั้งสิ้น นึกภาพคุณยืนอยู่กลางห้องกระจกแปดเหลี่ยมอีกครั้ง ทุกภาพที่สมองของคุณรับกลับมา มันเป็นภาพการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของคุณเองทั้งสิ้น 

     5. ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะสิ่งที่เรียกว่าทุกอย่างนั้น ความจริงมันล้วนเป็นประสบการณ์ของคุณในรูปของความคิด ความเห็น คอนเซ็พท์ มุมมอง ความเชื่อ ซึ่งคุณฉายออกไปเอง และรับเงาสะท้อนของมันกลับเข้ามาเอง ความคิดของคุณไม่เคยนิ่ง เงาสะท้อนที่กลับมามันก็จึงไม่นิ่ง มันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อย่างเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือโครงสร้างของการดำรงอยู่ อันเปรียบได้กับการที่คุณยืนอยู่กลางห้องกระจกแปดเหลี่ยม โครงสร้างนี้เท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง

     เออ..แล้วชีวิตในมุมมองของหมอสันต์ทั้งห้าประการนี้ มันจะเอาไปใช้ทำมาหากินอะไรได้เนี่ย นอกจากจะทำให้นักเรียนมัธยมที่กำลังจะบ้าอยู่แล้วเป็นบ้าไปจริงๆ หิ หิ 

     เนื่องจากคนอย่างคุณได้หลุดออกไปนอกกรอบทั้งหลายทั้งแหล่ที่ครอบหัวมนุษย์มาหลายพันปีที่เราเรียกว่า “ศาสนา” ไปเรียบร้อยแล้ว ผมจึงไม่มีวิธีใดที่จะพูดกับคุณนอกจากแชร์ความเป็นจริงของชีวิตจากมุมมองของผมให้คุณฟังแค่นั้น ต่อจากที่ผมแชร์ทั้งห้าข้อข้างต้นนี้แล้ว ให้คุณหาทางไปต่อของคุณเองก็แล้วกัน เพราะคุณเป็นคนไม่ชอบเดินตามทางที่คนอื่นเขาเดิน คุณก็ต้องคลำหาทางเดินของคุณเอง ผมไม่ได้ว่าวิธีของคุณไม่ดีนะ ผมว่าวิธีของคุณเป็นวิธีที่ดีกว่าเดินตามๆคนอื่นเขาไปต้อยๆๆๆดุ่ยๆๆๆๆทั้งๆที่เห็นๆว่าวิธีนั้นมัน (ขออนุญาตยืมคำพูดของคุณ)..ไร้สาระ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์