Latest

เรื่องชวนมาฟังเปียโนด้วยกัน และ..บทจะต่อต้านยาขึ้นมาก็ชักธงรบพรึบ

     ก่อนตอบคำถามประจำวันนี้ ขอประชาสัมพันธ์นอกเรื่องก่อนนะครับ

     ความเป็นมาคือวันหนึ่งผมทำแค้มป์พิเศษให้กับกลุ่มสุภาพสตรีวัยระดับ 6-7-8 (สิบปี) จำนวนประมาณ 20 กว่าท่าน มากินมานอนที่เวลเนสวีแคร์แบบปลีกวิเวก ส่วนใหญ่เป็นคนสไตล์ไฮโปรไฟล์มีรสนิยมเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ผมแอบดูพวกท่านผู้สูงวัยเหล่านั้นดูจะโปรดธรรมชาติและความเงียบเป็นพิเศษ แม้แต่จะเปิดเสียงดนตรีเป็นแบ็คกราวด์เวลาทานอาหารก็ยังต้องกำชับให้เบาๆ

     บังเอิญในวันเดียวกันขณะที่สมาชิกแค้มป์กำลังรับประทานอาหารมื้อกลางวันกันอยู่ที่บ้านโกรฟเฮ้าส์ มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งแวะเข้ามาทดลองกินอาหารมังสะวิรัติ ฝ่ายหญิงซึ่งมีอายุราวยี่สิบต้นๆเปรยให้ผมฟังว่าเธอเป็นนักเปียโนซึ่งสนใจการใช้ดนตรีรักษาผู้ป่วย ผมจึงบอกเธอว่าผมเองก็กำลังคิดจะทำโปรแกรมดนตรีบำบัดที่เวลเนสวีแคร์แต่ยังหาครูไม่ได้ และบอกเธอว่า

     “เล่นเปียโนให้ฟังหน่อยสิ”

     พอเธอเริ่มกรีดนิ้วไปบนเปียโนก็เหมือนมีมนต์ขลังแผ่ไปทั่วบ้านโกรฟเฮ้าส์ซึ่งเป็นบ้านไม้กำธรเสียงกำลังดีอยู่แล้วทันที เหล่าผู้สูงอายุที่นั่งทานอาหารอยู่ต่างหูผึ่ง ผมขอให้เธอร้องเพลงให้ฟังด้วย ยิ่งได้ยินเธอร้องเพลงบรรดาผู้ฟังก็ยิ่งพากันของขึ้น รุมขอเพลงกันยกใหญ่ทั้งเพลงฝรั่งคลาสสิกและเพลงไทย และเธอก็ทั้งเล่นและทั้งร้อง สนุกสนานชื่นบานกันมาก ไม่น่าเชื่อว่าแขกที่แค่แวะเข้ามาทานอาหารกลางวันแป๊บเดียวจะสร้างบรรยากาศให้ชื่นมื่นขึ้นทันตาเห็นได้ขนาดนั้น คุยกันไปจึงได้ทราบว่าเธอชื่อ “สไมล์” เป็นอาจารย์สอนดนตรีอยู่ที่โรงเรียนดุริยางค์กองทัพอากาศ และกองทัพอากาศนี้อีกไม่นานก็กำลังจะย้ายมาอยู่มวกเหล็ก ได้การละ..ต่อไปบ้านโกรฟเฮ้าส์คงจะไม่เหงาเสียงดนตรีระดับดีๆแน่ เธอกำลังเรียนป.โทด้านดนตรีบำบัดอยู่ด้วย เราจึงตกลงกันว่าเมื่อเธอจบแล้วเราจะเปิดการบำบัดด้านนี้ที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ด้วยกัน

บ้านโกรฟเฮ้าส์

     มาเช้าวันนี้สต๊าฟรายงานว่ากลุ่มลูกค้าที่จองเหมาที่พักเพื่อเข้ามาทำแค้มป์พิเศษสุดสัปดาห์ 5-6 กย. 63 แจ้งของดกะทันหัน จะเอาโปรแกรมอะไรเข้าแทนไหม ผมตอบว่าทิ้งให้ว่างๆไว้อย่างนั้นแหละ ให้ผมได้มีโอกาสนั่งพักเงียบๆสบายๆบ้าง ฉับพลันผมก็คิดถึงครูสไมล์ขึ้นมา เออ วันว่างๆอย่างนี้ ชวนครูสไมล์มาดีดเปียโนร้องเพลงด้วยกันที่บ้านโกรฟเฮ้าส์น่าจะมีความสุขดีกว่านั่งเงียบอยู่คนเดียวนะ จึงยกหูโทรศัพท์ไปหา ปรากฎว่าโชคดี เธอก็ว่างพอดี 

     จึงขอถือโอกาสนี้ประกาศให้แฟนบล็อกทราบว่าหมอสันต์ชวนทุกท่านที่สนใจดนตรีมาฟังเปียโนและเพลงระดับมีรสนิยมด้วยกันที่บ้านโกรฟเฮ้าส์ ในเย็นวันเสาร์ที่ 5 กย. 63 ช่วงเวลา 18.00 – 21.00 น. ฟรี ไม่มีค่าเข้าฟัง ใครที่อยู่ไกลจะมาพักที่เวลเนสวีแคร์ก็เข้าพักได้ในราคาปกติ เพราะเป็นวันที่ห้องพักว่างไม่ได้ใช้ทำคอร์สอะไร เพียงแต่ขอให้จองมาล่วงหน้าเพื่อจะได้เตรียมที่ทางไว้ให้ทั้งที่นั่งและที่นอน ท่านที่สนใจจะมาร่วมฟังดนตรีครั้งนี้กรุณาติดต่อคุณเฟิร์น ที่หมายเลขโทรศัพท์ 063 639 4003 หรือไลน์ @wellnesswecare หรืออีเมล host@wellnesswecare.com  

………………………………………………………

     เอาละ คราวนี้มาตอบจดหมายประจำวัน

เรียน คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์

หนูชื่อ … นะคะ พอดีมีเรื่องของคุณพ่อที่ต้องการขอคำปรึกษาเร่งด่วน แต่พี่ตู่ (พยาบาลผู้ช่วยของคุณหมอ) แจ้งว่าคิวเต็มแล้ว ไม่สามารถให้เข้าพบคุณหมอได้ เลยแนะนำให้อีเมล์มาขอคำปรึกษาเบื้องต้นกับคุณหมอแทนก่อนค่ะ คุณพ่อเคยรักษาอยู่ที่ รพ. … และทำบอลลูนหัวใจมา 3 เส้นแล้วเมื่อ 3-4 ปีก่อน ก็รับประทานยาเรื่อยมา ร่างกายดูแข็งแรงดี แต่เพิ่งมาทราบจากคุณพ่อเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า คุณพ่อตัดสินใจเลือกที่จะไม่กินยาหัวใจแล้วและจะรักษาด้วยวิธีธรรมชาติแทน อาจจะด้วยอาหารและการเปลี่ยนพฤติกรรม (น่าจะดูจาก Youtube) เพราะกลัวว่ากินยาเยอะไม่ดีกับร่างกาย ไม่อยากตายเร็ว ทั้งนี้ ท่านเลยหยุดยาเองมาหลายเดือนแล้วและไม่ยอมไปปรึกษาแพทย์ก่อนค่ะ ตอนนี้หนูกำลังพยามจะคุยกับท่านให้พบแพทย์ก่อนเพื่อจะขอลดยาบางตัวหรือหยุดยาที่หยุดได้ แต่เหมือนท่านต่อต้านแล้วหยุดกินยาเองหมดเลย และบอกว่าหากไปพบหมอแผนปัจจุบันก็จะต้องให้กินยาเหมือนเดิมอยู่ดี จากที่หนูติดตามข้อมูลความรู้ของคุณหมอตามสื่อต่างๆ หนูเลยอยากจะรบกวนขอคำปรึกษาเบื้องต้นจากคุณหมอหน่อยค่ะว่า ตอนนี้หนูควรจะดำเนินการอย่างไรบ้างเพื่อดูแลผู้ป่วยลักษณะนี้คะ หนูอยากจะให้คุณพ่อได้พบกับคุณหมอมาก ตอนนี้เป็นกังวลใจมากค่ะ ขอความกรุณาจากคุณหมอด้วยนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ

ขอแสดงความนับถือ

……………………………………………………………………….

ตอบครับ

     ก่อนตอบคำถามขอแจ้งข่าวซ้ำอีกหนนะครับว่าหมอสันต์ได้ปลดชราจากอาชีพตรวจรักษาคนไข้แล้ว แต่ทำ “แค้มป์” เพื่อสอนคนไข้ให้รู้วิธีดูแลตัวเองอยู่ที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ที่มวกเหล็กแทน ดังนั้นผู้ป่วยไม่ต้องไปหาที่โรงพยาบาลเพราะผมไปโรงพยาบาลเพื่อดูคนไข้เก่าที่ค้างติดมืออยู่เท่านั้นไม่รับผู้ป่วยใหม่แล้ว ให้ใช้วิธีอ่านหรือดูเอาจากที่ผมเขียนเผยแพร่วิธีดูแลตัวเองแล้วนำไปปฏิบัติเอาเองเลย มีคนจำนวนมากทำแบบนี้แล้วก็สุขสบายดี ตัวชี้วัดทางด้านสุขภาพดีขึ้น แต่หากยืนยันจะเจอตัวผมสำหรับผู้ป่วยก็เหลือทางเดียว คือสมัครมาเข้าแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเอง (RDBY) ซึ่งจัดเป็นรอบๆ รอบหนึ่งรับได้แค่สิบกว่าคน จึงมักต้องจองล่วงหน้า

     ตอบคำถาม

     1. ถามว่ากินยารักษาโรคเรื้อรังเช่นโรคหลอดเลือดหัวใจ แล้วอยู่มาวันหนึ่งเกิดของขึ้นคิดปฏิวัติตัวเองขึ้นมาเลิกกินยาทั้งหมดดื้อๆ จะมีอันตรายไหม ตอบว่ามีอันตรายสิครับ ยกตัวอย่างเช่น

     1.1 การเลิกยาลดความดันเลือดในทันที จะมีผลให้ความดันเลือดกระโดดสูงขึ้นจนอาจเกิดภาวะความดันสูงวิกฤติได้ เพราะกลไกการออกฤทธิ์ของยาลดความดันส่วนใหญ่ออกฤทธิ์ชักเย่อกับระบบประสาทอัตโนมัติ หมายความว่าระบบประสาทอัตโนมัติสั่ง (ในรูปของการปล่อยสารเคมี) ให้บีบหลอดเลือด ยาไปบล็อกคำสั่งนั้นเพื่อให้หลอดเลือดคลายตัว ระบบอัตโนมัติรู้เข้าว่ามีมือดีมาบล็อกคำสั่งก็สั่งการชดเชย คือสั่งให้บีบหลอดเลือดแรงขึ้น ชักเย่อกันอยู่อย่างนี้ การจะคุมความดันให้อยู่ด้วยยาอย่างเดียวจึงต้องเพิ่มยาขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆวันหนึ่งคนไข้เกิดหยุดยาปึ๊ด..ด ก็เหมือนกำลังแข่งกีฬาชักคะเย่อกันอยู่ดีๆอีกข้างหนึ่งเกิดปล่อยเชือกเสียดื้อๆ ผลก็คืออีกฝ่ายหนึ่งปรับตัวไม่ทัน จึงก้นจ้ำเบ้าไปตามระเบียบ ฉันใด ก็ฉันเพล การหยุดยาความดันกะทันหันก็มีผลให้ความดันพุ่งสูงปรี๊ดเกินแบ็คดอร์ด้วยประการฉะนี้

     1.2 การเลิกยาต้านเกล็ดเลือด (เช่นยาแอสไพริน) แบบกะทันหัน งานวิจัยก็พบว่ามีผลให้เกิดอุบัติการณ์หลอดเลือดในสมองหรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในช่วงหยุดยาทันทีใหม่ๆมากขึ้น กลไกการแข็งตัวของเลือดก็เหมือนกลไกการบีบหลอดเลือด คือระบบการแข็งตัวของเลือกจะทำงานอัตโนมัติและจะชดเชยให้เลือดแข็งตัวมากขึ้นเพื่อชดเชยให้กับฤทธิ์ของยาต้านเกล็ดเลือด พอหยุดยาทันทีเลือดก็จะแข็งตัวเร็วกว่าปกติเพราะระบบร่างกายปรับตัวไม่ทัน 

     1.3 ยากล่อมประสาทหรือยาช่วยนอนหลับต่างๆ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังแพทย์ก็มักจ่ายยาเหล่านี้ให้กินประจำเช่นกัน การหยุดยาในกลุ่มนี้ทันทีจะมีผลให้นอนไม่หลับทันทีและรุนแรง หรือยาบางตัวหากหยุดทันทีก็มีผลถึงกับทำให้ชักได้

     1.4 ยาอื่นๆเช่นยาเบาหวาน ยาลดไขมัน การหยุดยาทันทีก็จะทำให้ผลตรวจตัวชี้วัดเพิ่มสูงจนน่าตกใจ เช่นน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงมาก หรือไขมันในเลือดขึ้นสูงมากกว่าก่อนเริ่มใช้ยาเสียอีก เพราะเกิดจากกลไกการปรับตัวชดเชยของร่างกายเช่นกัน เพียงแต่ว่าการที่น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงหรือไขมันในเลือดขึ้นสูง มันไม่มีผลเสียรุนแรงเหมือนการที่ความดันขึ้นสูงทันทีหรือการที่เลือดแข็งตัวเร็วขึ้นทันที

     กล่าวโดยสรุปยาทั้งหลายที่หมอให้รักษาโรคเรื้อรัง ไม่ควรหยุดพรวดพราดทันที

     2. การคิดจะเลิกยา หรือปลดแอกจากยา ต้องทำเป็นขั้นตอน  ดังนี้

     2.1 ต้องใช้ตัวชี้วัดเป็นตัวกำหนดแผนการหยุดยา ตัวชี้วัดเหล่านั้นก็เช่น ความดันเลือดกรณียาลดความดัน น้ำตาลในเลือดกรณียาเบาหวาน ไขมันในเลือดกรณียาลดไขมัน การนอนหลับกรณียานอนหลับหรือยากล่อมประสาท ผู้ป่วยจะต้องรู้จักใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้ และจะต้องรู้ว่าตัวชี้วัดของตัวเองขณะนี้อยู่ที่เท่าไหร่

     2.2 เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตก่อน คือ (1) เปลี่ยนอาหารจากกินสัตว์ไปกินพืชเป็นหลักในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติและไขมันต่ำ (2) ออกกำลังกาย (3) จัดการความเครียด แล้วก็ติดตามดูตัวชี้วัดไป 

     2.3 เมื่อเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตได้จนตัวชี้วัดเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจนอยู่ในพิสัยปกติแล้ว จึงค่อยๆลดยาลง วิธีลดยาก็ไม่ต้องมีพิธีการมาก คือเลือกลดทีละตัว ด้วยการลดขนาดลงทีละครึ่งหนึ่ง แล้วทอดเวลาไปอย่างน้อยสองสัปดาห์ (ถ้าเป็นยาลดความดันหรือยาเบาหวาน) หรือหกสัปดาห์ (ถ้าเป็นยาลดไขมัน) แล้วตรวจดูตัวชี้วัดซ้ำอีก ว่ามันยังอยู่ในระดับปกติหรือเปล่า หากมันเด้งสูงผิดปกติขึ้นมาก็แสดงว่าการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตยังไม่เข้มข้นมากพอ ก็ต้องเพิ่มความเข้มข้นคือทำให้จริงจังมากขึ้น แล้วทอดเวลาไป แล้วตรวจดูตัวชี้วัดซ้ำ จนตัวชี้วัดกลับมาอยู่ในพิสัยปกติ จึงจะลดยาลงต่อไปอีกครึ่งหนึ่ง ทำอย่างนี้จนยาเหลือน้อยมากจึงทดลองหยุดยา หากหยุดยาแล้วตัวชี้วัดยังปกติอยู่ได้ก็แสดงว่าการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตทำสำเร็จแล้ว สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ตัวชี้วัดสำคัญต่างๆอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยไม่ต้องใช้ยา

     3. การทำอย่างนี้มีทางเลือกปลีกย่อยอีกสามวิธี คือ

     3.1 วิธีที่ง่ายคือหากสามารถหาหมอประจำตัวที่เห็นชอบด้วยกับวิธีการนี้แล้วก็ให้หมอประจำตัวท่านนั้นเป็นพี่เลี้ยงไปสักพักจนทำต่อได้เอง 

     3.2 มีคนอีกจำนวนมากที่ดูแลตัวเองด้วยตัวเองโดยไม่มีหมอประจำตัว อาศัยแค่อ่านบล็อกหมอสันต์แล้วเอาไปทำตามโดยไม่เคยเห็นหมอสันต์ตัวเป็นๆเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ทำได้สำเร็จ เลิกยาได้อย่างปลอดภัย หมายความว่าเลิกยาได้โดยที่ตัวชี้วัดสำคัญทุกตัวปกติ 

     3.3 มีคนอีกจำนวนหนึ่งใช้วิธีมาเข้าแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเองเพื่อเป็นการตั้งต้น ในแค้มป์นี้ผมจะทำหน้าที่หมอประจำตัวให้ไปนานหนึ่งปีเพื่อคอยให้คำปรึกษาในทุกเรื่องรวมทั้งเรื่องการลดและเลิกยา จนสามารถดูแลตัวเองได้สำเร็จ

     ดังนั้นทั้งสามแบบนี้คุณจะเลือกทำแบบไหนก็ได้ เอาสักแบบหนึ่ง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์