Latest

เถียงกับสามีเรื่องจะเก็บเงินเกษียณในรูปของทองคำจนทองคำขึ้นราคา

เรียนคุณหมอสันต์
พี่อายุ 72 ปี เมื่อเดือนพฤษภาคมอ่านที่คุณหมอแนะนำผู้ชายคนหนึ่งอายุ 70 ปีที่อยากเก็บเงินที่มีอยู่ห้าล้านไว้ให้พอใช้ถึงยี่สิบปี คุณหมอแนะนำให้เก็บเป็นเงินสดเพียง 5% เอาไปซื้อทองคำ 30% ซื้อที่ดินที่มีน้ำทำเกษตรได้ 40% ซื้อหุ้น 20% แล้วซื้อบิทคอย 5% ตัวพี่ไม่สนใจเรื่องซื้อหุ้นซื้อที่ดิน ยิ่งบิทคอยยิ่งไม่สนใจเลย แต่สนใจที่จะเอาเงินเก็บที่มีอยู่แค่สองสามล้านไปซื้อทองเก็บไว้บ้างตามที่หมอสันต์แนะนำผู้ชายคนนั้น แต่แฟนพี่เขาไม่ยอม เขาว่าทองลงราคามาตั้งหลายปีแล้วไม่เคยมีว่าจะขึ้นแล้วจะซื้อไปทำไม เถียงกันอยู่ยังตัดสินใจไม่ได้ จนถึงตอนนี้ทองขึ้นมาเสียแล้วตอนที่เถียงกันนั้นทองบาทละ 25,000 บาท ตอนนี้บาทละ 30,000 บาท พอทองขึ้นราคาเสียงเขาก็อ่อนลง พี่กลับไปอ่านบทความนั้นเพื่อหาเหตุผลว่าหมอสันต์มีเหตุผลอะไรที่แนะนำให้เก็บเงินเกษียณไว้ในรูปของทองถึง 30% แต่อ่านซ้ำก็ไม่เห็นคำอธิบายเหตุผลใดๆ (ได้แต่พูดว่ามีทองเขานับเป็นพี่) อยากให้หมอสันต์ช่วยอธิบายเหตุผล และอยากถามว่าทองราคาสูงอย่างนี้ยังจะซื้อทองได้อยู่ไหม หากคิดจะเอาเงินมาเก็บในรูปของทอง 30% อย่างที่หมอสันต์เคยแนะนำ
………………………………………………………..
ตอบครับ
     โอ้โห ถามหมอสันต์ว่าทองขึ้นราคาแล้วยังจะซื้อทองได้อยู่ไหม เออ..แล้วผมจะรู้ไหมเนี่ย คุณพี่ต้องไปถามฮั่วเซ่งเฮงสิครับ มาถามผมทำไม หิ หิ
     ผมขอถือโอกาสนี้ประกาศตรงนี้ก่อนนะ ว่า ผ่าง ผ่าง ผ่าง อย่ามาถามหมอสันต์เรื่องซื้อทอง ซื้อเงิน ซื้อนาค ซื้อทองแดง ซื้อหุ้น ซื้อที่ดิน ซื้อหมาก ซื้อพลู ว่าเมื่อไหร่จะซื้อเมื่อไหร่จะขาย ผมจะไปรู้ได้อย่างไร เพราะตัวผมเองนั้นจะไปหาความหลุดพ้น ไม่มาเล่นด้วยกับท่านหรอกเรื่องจะซื้อทองซื้อเงินซื้อหุ้น ดังนั้นใครใคร่ค้าช้าง..ก็โปรดค้า ใคร่ใครค้าม้า..ก็โปรดค้า แต่อย่ามาถามหมอสันต์เลยเพราะผมไม่สนใจและไม่รู้เรื่องการค้าขาย ดังนั้นคำถามคุณพี่ที่ถามว่าจะซื้อทองได้อยู่ไหมผมไม่ตอบ หรือจะให้ตอบก็ได้ คือตอบว่าไม่รู้ เพราะผมไม่รู้จริงๆ
     แต่ผมจะตอบคำถามที่ว่าผมมีเหตุผลอะไรในการเขียนแนะนำท่านผู้อ่านสูงอายุท่านหนึ่งเมื่อเดือน พค. (http://visitdrsant.blogspot.com/2020/05/70-20.html) ว่าในการเก็บเงินเพื่อให้พอใช้ไปนานยี่สิบปีนั้นให้เก็บเป็นเงินสดฝากธนาคาร 5% ทองคำ 30% ที่ดิน 40% หุ้น 20% เหรียญบิทคอย 5% ตอบเพราะถือว่าเป็นกรณีถูกพาดพิงจากบทความครั้งกระโน้น อ่านของเก่าแล้วไม่เข้าใจ โอเค. ผมเขียนขยายความให้เข้าใจได้
     เหตุผลที่ผมแนะนำให้ลดเงินเก็บช่วงเกษียณจากที่เดิมคุณพี่เขาเก็บเป็นเงินสดไว้ในธนาคาร 100% ให้เหลือแค่ 5% นั้นไม่ได้อิงหลักวิชาอะไรทั้งสิ้น เพราะผมไม่มีวิชาอะไรทางนี้ แต่เป็นแค่ผมคิดขึ้นมาเองโดยคิดเอาจากคอมมอนเซนส์ที่เห็นว่าตั้งแต่มีโควิด19มาประเทศที่ถือเงินสกุลใหญ่ที่เงินของเขาไม่ได้ผูกค่ากับทองคำเช่นเงินดอลลาสหรัฐ เงินปอนด์สเตอริงของอังกฤษ เงินยูโรของยุโรป ต่างพากันพิมพ์เงินออกมาใช้อุดหนุนหนี้เน่าและแจกประชาชนภายใต้สโลแกน Quatitative Easing (QE) กันอย่างโจ๋งครึ่มโครมๆ จำนวนที่พิมพ์นั้นไม่ใช่ขี้ๆเลย คือพิมพ์มากจนนับกันเป็นล้านไม่ไหว ต้องนับกันเป็นทริลเลี่ยน คือมีเลขศูนย์ตามหลัง 12 ตัว และทุกวันนี้ก็ยังพิมพ์อยู่ไม่หยุด แล้วท่านลองคิดดูสิครับ คนแก่อย่างเราทำงานเก็บเงินฝากแบงค์ไว้กินตอนแก่ แต่อีกพวกหนึ่งเขาพิมพ์เงินมาใช้กันมากยังกับเงินกงเต็ก ผมคิดด้วยสามัญสำนึกว่าหากเราขืนเก็บทรัพย์ของเราไว้ในรูปของเงินสดในธนาคารย่อมไม่แคล้วที่วันหนึ่งข้างหน้าเงินสดของเราจะกลายเป็นเงินกงเต็กไปจริงๆ จึงได้แนะนำคุณพี่ท่านนั้นให้แบ่งไปเก็บในรูปแบบของทรัพย์อย่างอื่นที่มันจะไม่เสื่อมค่าเร็วอย่างเงินสด ทรัพย์อะไรก็ได้ จะเป็นกะละมัง หม้อ ชาม โอ่ง ไห อะไรก็ตามที่ท่านเชื่อมั่นว่าค่าของมันจะไม่เสื่อม ซึ่งผมเห็นว่าที่ดินที่มีน้ำทำเกษตรได้เป็นทรัพย์จริงที่ค่าของมันจะเสื่อมยากที่สุดแต่มีข้อเสียที่มันไม่มีสภาพคล่อง ทองคำก็เป็นทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าและเก็บง่ายโดยที่สภาพคล่องสูงด้วย ส่วนบิทคอยนั้นเป็นการเดาด้วยสามัญสำนึกของผมเฉยๆว่าวันข้างหน้าการชำระหนี้ระหว่างกันของคนในโลกจะทำผ่านอินเตอร์เน็ทในรูปของเงินดิจิตอลทั้งหมด และเงินดิจิตอลที่จะใช้กันคล่องมือที่สุดก็ต้องเป็นสกุลที่ไม่เสื่อมค่าและไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลใดๆ ซึ่งเงินที่เข้าเกณฑ์แบบนี้ก็คือเงินคริปโตนั่นแหละ ผมจึงแนะนำให้เก็บเป็นบิทคอยซึ่งเป็นเงินคริปโตที่คนยอมรับกันมากที่สุดเสีย 5%  ไม่ได้หมายความว่าจะยุให้คนแก่เล่นเก็งกำไรเหรียญบิทคอยนะ แต่หมายความว่าให้เอาทรัพย์ไปเก็บไว้ในรูปของบิทคอยซึ่งคาดหมายว่าจะไม่เสื่อมค่าสักจำนวนหนึ่ง คือ 5% ของทรัพย์ทั้งหมด ดีกว่าที่จะเก็บไว้เป็นเงินสดอย่างเดียว   
     เพื่อไม่ให้คุณพี่โกรธที่ผมไม่ตอบคุณพี่ว่าวันนี้พรุ่งนี้ซื้อทองได้หรือไม่ได้ ผมขอยืนยันให้คุณพี่ใจชื้นว่าหลักการที่จะกระจายทรัพย์ที่เราเก็บหอมรอมริบมาเพื่อเอาไว้ใช้ตอนเกษียณให้กระจายอยู่ในทรัพย์หลายๆรูปแบบโดยให้เหลืออยู่ในรูปแบบของเงินสดในธนาคารให้น้อยที่สุดยังเป็นหลักการที่ใช้ได้ทุกเมื่อนับตั้งแต่โควิด19เป็นต้นมานะครับ คุณพี่นำหลักนี้ไปใช้ได้เลย 
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์