Latest

ชีวิตในวันธรรมดาๆอีกวันหนึ่ง

(ภาพวันนี้ / ดอกกระบองเพชร)

วันนี้งดตอบคำถามหนึ่งวัน ขอเขียนอะไรเล่นๆ

วันนี้ผมอยู่ที่บ้านกรุงเทพฯเพราะเมื่อวานเพิ่งเสร็จจากการพูดเรื่องการจัดการความเครียดและแนะนำหนังสือ “คัมภีร์สุขภาพดี” ที่ร้านอาหารสยามออริจินส์ที่มิวเซียมสยาม ช่างเป็นวันที่มะรุมมะตุ้มอีกวันหนึ่ง พอฝุ่นจางลง เก็บข้าวของจะกลับบ้าน ลูกชายซึ่งอาสาขับรถและมาช่วยขายหนังสือตั้งข้อสังเกตว่า

“พ่อมาแนะนำหนังสือ แต่ไม่เห็นพูดถึงหนังสือสักคำ”

ผมคิดขึ้นได้ เออ จริงแฮะ ลืมแนะนำหนังสือไป ทั้งๆที่ตั้งใจให้เป็นวันแนะนำหนังสือ หิ..หิ

ยังกลับมวกเหล็กไม่ได้เพราะต้องอยู่รอเข้าประชุมเพื่อให้ “ปากคำ” กับคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากผมกำลังอยู่ในระหว่างรอลุ้นให้งานวิจัย “อาหารไทยสุขภาพ” ผ่านคณะกรรมการจริยธรรม ลุ้นมาก็หลายเดือนแล้ว หวังว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นโค้งสุดท้าย จะได้ประกาศหาอาสาสมัครชักชวนแฟนบล็อกมาช่วยกันทำวิจัยเสียที

วันว่างที่กรุงเทพฯแปลว่าวันที่ไม่อยากจะไปไหน เพราะอยู่มวกเหล็กเสียจนคุ้นเคยกับต้นไม้ใบหญ้าภูเขาคลองน้ำ มาอยู่กรุงเทพฯกลายเป็นคนแปลกแยกกับพื้นที่ จึงมีเวลานั่งปั่นต้นฉบับตำราเวชศาสตร์วิถีชีวิตซึ่งตั้งใจจะแต่งไว้ให้แพทย์ที่จะฝึกอบรมเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้ใช้ ครั้นตกเย็นหมอสมวงศ์ชวนออกไปเดินเล่นจึงรีบตกลงทันที

“..ไปสวนสมเด็จดีกว่า เดินในหมู่บ้านมันจำเจ”

เราสามพ่อแม่ลูกขับรถไปสวนสมเด็จ หมอสมวงศ์พูดอะไรพึมพัมเกี่ยวกับเรื่องหาที่จอดรถยาก ผมบอกว่า

“ไม่ยากหรอก เดี๋ยวก็มีคนออกพอดีให้เราเข้า”

แต่การณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง มีรถของคนมาออกกำลังกายที่ใช้ยุทธศาสตร์เดียวกับเราอยู่ข้างหน้าอย่างน้อยสองคัน ยุทธศาสตร์ที่ว่าคือทำทีเป็นขับรถแบบสุขุมช้าๆ แต่ในใจลุ้นว่าเดี๋ยวจะมีคนออกให้เสียบได้เป๊ะพอดี ซึ่งแน่นอนว่าในชีวิตจริงนั้น..ไม่มี

แล้วก็มีชายวัยผมขาวท่านหนึ่งเดินสวนกับรถเราไป กำลังชูมือที่ถือกุญแจขึ้นสูงกดรีโมทเปิดประตูรถ ตามองไปข้างหลังรถเรา แสดงว่าเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว โชคเป็นของคันหลัง เราต้องยอมรับความ “แห้ว” แล้วทำใจว่าต้องกลับรถที่หน้าประตูสวนเพื่อออกไปหาที่จอดต้นถนนซึ่งแน่นอนว่าไกลออกไปอีกราว 1-2 กม. แต่แม้จะปลงแล้วก็ใช่ว่าจะรีบยูเทอร์นได้ง่ายๆ เพราะคันหน้าเขายังใช้ยุทธศาสตร์อ้อยอิ่งอยู่ เราก็ทำได้แค่ขับตามเขาไปห่างๆ ซึ่งในที่สุดเขาหรือเธอผู้ขับคันนั้นก็หมดอาลัยและตัดสินใจเดินหน้าไปยูเทอร์น

จังหวะนั้นเองที่คุณผู้ชายผมขาวคนเดิมเดินกลับมาและแซงหน้ารถเราไป มือก็ยังชูกุญแจขึ้นเหนือศรีษะเที่ยวกดรีโมท หมอพอบอกว่า

“โอ้.. เหมือนพ่อเลย จอดรถแล้วลืมไปว่าจอดไว้ตรงไหน ต้องเอารีโมทกดหา”

หารู้ไม่ว่าที่นินทาเขาอยู่นั้น แท้จริงเขาเป็นผู้มีพระคุณต่อเรา เพราะเขาเจอรถของเขาแล้ว มันเปิดไฟแว่บๆอยู่หน้ารถเราไปนิดเดียว พอเขาออกรถ เราก็เสียบตามระเบียบ โล่งอกเรื่องที่จอดรถไป

ไม่ได้มาเดินสวนสมเด็จนาน ภูมิศาสตร์เปลี่ยนไปมาก เทศบาลตอกเสาเข็มทำทางวิ่งเป็นวงเข้าไปในบึงน้ำอีกเส้นหนึ่ง ทำให้ความแน่นของผู้คนบนทางวิ่งเก่าลดลง กลางบึงน้ำเทศบาลก็เอาทุ่นโฟมยักษ์มาปูบนผิวน้ำแล้วสร้างเป็นสนามฟุตซอลหลายสนามติดๆๆกัน มีผู้คนเตะฟุตซอลกันคึกคักเต็มไปหมด ที่เคยเป็นบรรยากาศวิ่งรอบบึงน้ำตอนนี้กลายเป็นบรรยากาศวิ่งรอบสนามกีฬาลอยน้ำแทน และสวนทุเรียนของเทศบาลที่เพิ่งทำใหม่บนพื้นที่ขยายก็เปิดให้เดินเข้าไปดูข้างในได้แล้ว เราจึงใช้โอกาสเดินเข้าไปสำรวจทุเรียนพันธ์ุต่างๆของแต่ละอำเภอในเขตนนทบุรี หนึ่งอำเภอหนึ่งร่อง แต่ละร่องมีต้นทุเรียนปลูกใหม่บ้าง ย้ายมาบ้าง มีป้ายปักบอกชื่อพันธ์ุ ตัวป้ายมีสุขภาพดีกว่าตัวต้นทุเรียน ต้องลุ้นว่าคนรุ่นหมอพออาจจะได้เห็นลูกบ้าง ส่วนคนรุ่นหมอสันต์นั้นได้เห็นแค่ต้นที่ยังมีชีวิตอยู่ตอนนำมาลงใหม่ๆก็น่าจะพอแล้ว

ออกจากสวนสมเด็จเราขับรถกลับบ้านซึ่งก็ห่างกันแค่สามสี่กม. แต่พอเลี้ยวแยกไฟแดงกลางหมู่บ้านแล้วก็ต้องเบรคตัวโก่ง เพราะข้างหน้าเกิดอุบัติเหตุ มีคนนอนอาบเลือดอยู่กลางถนน และไทยมุงเป็นกลุ่ม ผมบอกหมอพอว่าให้เลี้ยวซ้ายออกไปทางถนนเข้าหน้าหมู่บ้านเดอะพล้านท์เพราะมันมีทางออกที่ปลายอีกข้างหนึ่งได้ หมอพอท้วงว่า


“จะไม่จอดรถลงไปดูเขาหน่อยหรือ”

เมื่อโดนท้วงผมก็ต้องพยักหน้า เปล่า ผมไม่ได้แวะดูเพราะรู้สึกผิดอะไรหรอก ผมแก่ปูนนี้แล้วสามารถเกษียณตัวเองจากหน้าที่แก้ไขเลือดตกยางได้แล้วอย่างเต็มภาคภูมิ แต่หมอพอเขายังหนุ่ม เขาคงไม่คิดอย่างนั้น

ผมพูดเสียงดังให้ไทยมุงให้ทาง

“ผมเป็นหมอ ขอเข้าไปดูคนเจ็บหน่อยครับ”

เห็นผู้ชายแต่งตัวดีคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ท่าทางเป็นห่วงผู้หญิงที่นอนบาดเจ็บ ผมเข้าใจว่าเป็นสามีของเธอจึงหันไปถามว่า

“เรียกรถพยาบาลแล้วใช่ไหมครับ”

เขาพยักหน้า

ผมบอกให้หมอพอไปจัดตั้งแนวกั้นเพื่อความปลอดภัยขึ้น เพราะอากาศเริ่มมืด รถที่หลุดจากไฟแดงมาอาจลุยถั่วเข้ามาได้ ตัวผมเองคุกเข่าลงดูคนเจ็บ

เธอเป็นหญิงกลางคนแต่งตัวดี นอนหงายมีแผลที่ศรีษะเปิดให้เห็นกระโหลกขาวโพลน เลือดกำลังไหลออกนองพื้นถนนไม่หยุด ผมจับชีพจรก็รู้ได้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่แม้ว่าความดันจะแผ่ว คงเสียเลือดไปพอควร

ผมเลิกพกถุงมือไว้ในรถมานานแล้วเพราะถือว่าตนเองปลดประจำการจากงานศึกสงครามแล้ว แต่คราวนี้มาเจอซึ่งๆหน้า ประกอบกับเห็นว่ามือตัวเองไม่ได้มีแผลอะไร จึงเอามือฝ่ามือลุ่นๆกดห้ามเลือดบนหนังศีรษะที่ฉีกขาดไว้ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็หยิบกระเป๋าถือของผู้บาดเจ็บส่งให้สามีของเธอ แต่เขาไม่กล้ารับไว้

“ผมไม่รู้จักเธอครับ ผมแค่แวะมาช่วย”

ด้วยไม่ไว้ใจว่าจะมีคนแฮ้บกระเป๋าเงินของเธอ ผมจึงต้องเอากระเป๋าถือผู้หญิงใบนั้นขึ้นสะพายบ่าขณะทำงานห้ามเลือด นึกในใจว่าถ้ามันเป็นกระเป๋าชาแนลหรือหลุยส์เวตองก็น่าจะดีนะ จะให้หมอพอถ่ายรูปไว้เอาไปขายเป็นรูปโฆษณากระเป๋าซะหน่อย ชายแก่กำลังปฐมพยาบาลคนเจ็บแต่ก็เชิดชูนับถือกระเป๋าถือใบนี้ราวกับว่าเป็นของมีค่าเหลือเกิ้น..น หิ..หิ

หนุ่มคนหนึ่งดูจากเครื่องแบบน่าจะเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาอาสาช่วยเหลือ ผมให้เขาไปหาอะไรที่คล้ายหมอนมาหนุนที่คอทั้งสองข้างเพราะกลัวกระดูกที่อาจหักอยู่เคลื่อนตัว เขากลับมาพร้อมกับขวดน้ำสองขวด ซึ่งก็พอใช้การได้ คนเจ็บเริ่มฟื้นแล้ว ผมกระซิบบอกเธอว่าให้นอนนิ่งๆ ผมเป็นหมอกำลังดูแลเธออยู่ เธอพยายามพูดอะไรเกี่ยวกับกระเป๋า ผมบอกว่าผมเก็บไว้ให้แล้ว เธอพูดถึงกระเป๋าอีกสองสามคำ ผมจึงว่า

“หนูจะเอากอดไว้เองไหม”

เธอรีบพยักหน้าด้วยความดีใจ ผมจึงปลดกระเป๋าให้เธอกอดไว้ เธอได้กอดกระเป๋าแล้วก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ้มด้วยริมฝีปากซีดๆ แล้วก็พริ้มตาหลับลงอย่างมีความสุข

เออหนอ เงินนี่ช่างมีความน่ารักน่าหวงเสียจริงๆ แม้โมเมนต์จะเป็นจะตาย แต่หากได้กอดเงินแล้วก็..พอใจละ

พยาบาลคนหนึ่งอยู่ในเครื่องแบบเข้ามาช่วย ผมถามว่าน้องมาจากโรงพยาบาลไหน เธอบอกว่า

“เปล่าคะ หนูอยู่ที่คลินิกห้องแถวตรงนี้นี่เอง”

รถฉุกเฉินมาถึงแล้ว มาพร้อมกันสองคัน ผมตะโกนบอกให้เมดิกเอาก๊อซแบนเดจและผ้าก๊อซขนาดใหญ่ลงมา และบอกว่ามีการบาดเจ็บศีรษะและคอต้องใช้เปลตักเคลื่อนย้าย พอผมพันแบนเดจห้ามเลือดที่ศีรษะจนอยู่แล้ว พนักงานเอาเปลแบบบอร์ดเหลืองลงมา ผมย้ำว่าไม่ได้ ต้องใช้เปลตัก เขายืนยันว่าเปลตักอันตรายใช้เปลเหลืองดีกว่า ผมต้องย้ำอีกว่าผมเป็นหมอ คนไข้คนนี้เคลื่อนย้ายไม่ได้ถ้าไม่มีเปลตัก แล้วถามว่าในรถไม่มีเปลตักหรือ เขาตอบว่ามีครับ ล้งเล้งกันพักใหญ่เขาก็ยอมเอาเปลตัก (scoop stretcher) ลงมา ผมพยายามเขม้นมองฝ่าไฟหน้ารถเพื่อมองหาโลโก้ของโรงพยาบาล ปรากฎว่าเป็นรถของมูลนิธิการกุศลทั้งสองคัน ๅเออน่า อย่างน้อยน้องๆเขาก็มาถึงที่เกิดเหตุได้เร็วทันใจและมีอุปกรณ์มาครบครัน พอถึงขั้นตอนประกอบเปลตักก็ยักแย่ยักยันพอควรเพราะพนักงานไม่สันทัดการใช้เปลตัก โชคดีที่หนุ่มมอเตอร์ไซค์ที่ลงมาช่วยนั้นทะมัดทะแมง ผมสั่งว่า

“คุณลากหัวล็อกบนมาชนกันก่อน แล้วกดจนมีเสียงดังแก๊ก” เขารายงานฉะฉานว่า

“เสียงดังแก๊กแล้วครับ”

“คุณตรวจสอบล็อคล่างแล้วรายงาน”

“ล็อคแล้วครับ”

เธอได้รับการยกย้ายอย่างปลอดภัยขึ้นรถไปแล้ว ผมไปหาที่ล้างเลือด จากนั้นเราก็ออกรถของเราบ้าง ขับมาได้พักใหญ่ หมอพอจึงคิดขึ้นได้

“ลืมเอากรวยกั้นถนนไปคืน เอามาจากที่เขาวางกันปากท่อ เดี๋ยวแก้อุบัติเหตุทางนี้ไปเกิดทางโน้นแทน” ผมถามว่า

“มีใครรู้เห็นบ้างตอนไปเอากรวยออกมา” หมอพอบอกว่า

“ยามประตูหน้าหมู่บ้านเป็นคนบอกให้เอาออกมา”

“เออ ดีแล้ว เปิดโอกาสให้ยามได้ทำหน้าที่พลเมืองดีบ้าง”

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

กลับมาถึงบ้าน ผมคิดถึงหน้าคนหลายคน หนุ่มหน้าตาดีที่ไม่ใช่สามีแต่มาคอยลุ้นคอยช่วยอยู่ห่างๆ หนุ่มมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านมาแล้วหยุดช่วยอย่างกุลีกุจอ พยาบาลที่ทิ้งคลินิกตัวเองออกมาช่วย และไทยมุงที่ช่วยลุ้น ทุกคนแชร์พลังขับดันเดียวกันออกมาทางสีหน้า คืออยากให้หญิงผู้บาดเจ็บคนนั้นรอดชีวิตและปลอดภัย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์