Latest

นักเรียน SR : หลุดพ้นจากกรงความคิดแล้วขี้ลืม

ผมนักเรียน SR นะครับ สอบถามครับอ.
หลังเรียนกับอ.ไป ผมก็ไปtakeอีกคลาสอีก1ปีให้หลังเป็นการเดินปัญญาสไตล์เคลื่อนไหว ทำต่อเนื่องจนเป็นลูกโซ่จนบังเอิญหลุดจากกรงความคิดแบบอัตโนมัติ พบว่าตัวเบาหวิวอะไรที่เคยแบกไว้หายหมดเกลี้ยงเป็นปลิดทิ้ง ความหวาดกลัว ความวิตกไม่มีอีกแล้วในชีวิต เดิมทีก่อนหน้านี้ผมเป็นคนรักการผจญภัยแต่ชอบแบกอะไรไว้ไม่อยากให้พังลงตลอด ยกตัวอย่างเช่น ผมลืมของสำคัญอย่างมือถือยากมาก มันจะคิดตลอดว่าเอาไปยัง ห้ามลืมนะบลาๆ แต่เดี๋ยวนี้หลังออกจากกรงความคิดชนิดเชือกขาด(เกิดการออกเองอัตโนมัติ) ทำให้ผมไม่กลัว กังวลหรือคิดอะไรยาว ทำให้ผมลืมของบ่อย เพราะเหมือนมันไม่มีความพะวงแล้ว ไปกินข้าวแม่ต้องคอยเก็บของให้หลายรอบแล้ว 2-3 วันมานี้ ทั้งมือถือและกระเป๋าสตางค์ ล่าสุดที่พีคและฮาที่สุดคือ ไปเติมน้ำมันที่ปั้มและแม่ลงไปซื้อของแล้วผมกำลังจะขับรถออกจากปั้ม พ่อต้องทักว่าให้หยุดเพราะลืมแม่ !!!

ตึ่งโป๊ะ

กรณีนี้ทำอะไรเพิ่มดีครับอ. ถ้าเทียบกับความคิดอะไร pop up ขึ้นมาแล้วทำเลย กับการจดบันทึก หรืออ.มีทางออกอื่นแนะนำได้เลยครับ

ขอบคุณมากครับอ.

……………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าปลดแอกตัวเองออกจากความคิดที่ทำให้ทุกข์ได้แล้ว แต่กลายเป็นคนขี้ลืม ทำไงดี ตอบว่าประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนตัวตน (change identity) จากคนที่มีความคิดแยะนุงนัง มาเป็นคนที่เป็นอิสระจากความคิดนุงนังเหล่านั้น ในอีกด้านหนึ่งก็คือการเปลี่ยนรูปแบบของการใช้ชีวิตจากแบบ multi-tasking มาเป็นการใช้ชีวิตแบบ one thing at the time ซึ่งมันก็ต้องมีการปรับตัวบ้างเป็นธรรมดา

ไม่มีรูปแบบหรือวิธีรับมือกับเรื่องนี้ที่เป็นมาตรฐาน ผมก็ได้แต่แชร์ประสบการณ์ของผม ตัวช่วยที่ผมเลือกใช้ก็มีตั้งแต่

(1) mental check list คือท่องเรื่องในใจที่ใช้บ่อย เช่นก่อนออกจากบ้านต้องมีกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ กุญแจ แว่นตา.. เป็นต้น

(2) work instruction ในเรื่องสำคัญที่ซับซ้อนแต่ไม่ได้ใช้บ่อย เช่นการเติมเงินทางด่วนทางอินเตอร์เน็ท การใช้กล้องถ่ายรูปในโหมด manual เป็นต้น โดยจดเป็นหัวข้อสั้นๆไว้ในโทรศัพท์มือถือ

(3) ให้ ม. เป็นเลขาคอยดูตารางนัดหมายแล้วเตือน วิธีนี้รู้สึกจะเวอร์คสุด หิ..หิ

(4) เปลี่ยนการทำงานทั้งหมดมาทำทีละขณะ แม้ในงานเดียวนั้นก็แกะมาทำทีละขณะ เช่นเวลาผมขับรถ ผมเลียนแบบเพื่อนที่เป็นกัปตันเครื่องบินเขาสอนไว้ คือผมเช็คเป็นระยะว่าผมออกเดินทางมาจากไหน กำลังจะไปไหน ตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ไหน ไม่ไปยุ่งกับความคิดใดๆที่จะแทรกเข้ามาระหว่างขับรถเลย โทรศัพท์มาก็ไม่รับ ใครจะว่าไงก็ช่าง (ขอบคุณที่ผมไม่ต้องผ่าตัดหัวใจแล้วเพราะสมัยโน้นโทรศัพท์ดังทีผมก็ผวาทีเพราะกลัวคนไข้ที่ผ่าไว้จะเป็นอะไรไป) หรืออย่างเช่นเวลาผมหัดสีไวโอลิน ผมสีไปทีละตัวโน้ต อย่างเก่งก็เล็งไว้ว่าตัวถัดไปผมจะสีโน้ตตัวไหน ผมไม่เคยคิดข้ามช็อตไปถึงว่าเมื่อไหร่เพลงจะจบและมันจะจบยังไงเลย

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าจะทำงานได้น้อยลงนะ ผมกลับทำงานได้มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ทุกวันนี้ผมมีงานค้างท่ออยู่ร่วมยี่สิบเรื่อง แต่ทั้งหมดนั้นมันไม่รบกวนวิธีใช้ชีวิตแบบ “ทีละขณะ” ของผมเลย

2.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้เพราะมันมีความสำคัญ คือการได้หลุดจากความคิดพลั้วะ.. เข้าไปอยู่ในความรู้ตัวแบบคนละโลกกับชีวิตเดิม เป็นโอกาสที่ดีของชีวิต ให้คุณใส่ใจใช้เวลาไปกับการจดจำและจุ่มแช่ตัวเองอยู่ในนั้นให้นานที่สุด เหมือนคุณถ่ายวิดิโอแล้วพบฉากที่สวยถูกใจให้คุณ “ฟรีซเฟรม” อยู่ตรงนั้นให้นานที่สุด เพราะการหลุดเข้ามาแบบนี้อีกแป๊บมันก็จะหลุดออกไป ถ้าคุณจำมันไม่ได้ หรือไม่ใส่ใจจุ่มแช่ทำความรู้จักให้ลึกซึ้งเมื่อได้เข้ามาแล้ว หากหลุดออกไปคราวนี้คุณหาทางให้ตายก็ไม่พบทางที่จะกลับเข้ามาได้ง่ายๆ

3.. คุณพูดถึงการไปฝึกตามดูการเคลื่อนไหวขึ้นมาก็ดีแล้ว ผมอยากจะถือโอกาสนี้บอกแฟนบล็อกทุกท่านว่ามันเป็นวิธีฝึกวางความคิดที่ดีมากอีกวิธีหนึ่ง ถ้าคุณเป็นชาวพุทธ เทศนาในวันมาฆะบูชาที่เรียกว่า “โอวาทะปาฏิโมกข์” มีสาระหลักพูดถึงหกขั้นตอนของการบรรลุธรรม ว่าประกอบด้วย

(1) การเป็นคนนิ่ง (ขันติ) มีอะไรให้นิ่งไว้ก่อน พูดง่ายๆว่าอย่าผลีผลามสนองตอบต่อสิ่งเร้าไปโดยอัตโนมัติ

(2) การเป็นผู้มีวินัย หรือมีศีล อยู่กับคนอื่นเขาได้ไม่ทำให้ใครเขาเดือดร้อนเพราะสัญชาติญาณแบบสัตว์ของเรา

(3) การสำรวมในอายตนะ หมายถึงการเฝ้าดูตาหูจมูกลิ้นผิวหนังและใจว่ามีอะไรโผล่มาทางไหนบ้าง เพราะถ้าไม่เฝ้าดูเราก็จะถูกลากไปโดยไม่รู้ตัว

(4) การรู้ประมาณในการกิน เมื่อไม่กี่วันมานี้มีสมาชิก SR คนหนึ่งบอกว่ามาอยู่ในรีทรีตแล้วความคิดน้อยลงมากฝึกอะไรก็ง่าย และเขาสรุปว่าเป็นเพราะเขากินน้อยลงไม่มีอิ่มแน่นอึดอัดเลย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความจริง

(5) การตามดูทุกอริยาบทการเคลื่อนไหว การนอน นั่ง ยืน เดิน เหลียว ดู คู้ เหยียด ตามดูรู้ตัวหมด นี่แหละที่ผมอยากจะไฮไลท์ว่ามันเป็นวิธีที่ดีมากวิธีหนึ่ง

(6) การทำอาณาปานสติ หมายถึงหาที่เงียบๆนั่งขัดสมาธิหลับตาตามดูลมหายใจทิ้งความคิดเข้าไปอยู่ในความรู้ตัว

ทั้งหกขั้นตอนนี้มันเจ๋งจริงๆ เมื่อคุณพูดขึ้นมา ผมจึงถือโอกาสเอามาไฮไลท์ตอกย้ำยืนยันให้แฟนบล็อกเห็น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์