Latest

ถ้าทุกอย่างในชีวิตเป็นแค่ขันธ์5 ตายแล้วจะเหลือ ใครไปนิพพานละครับ

(ภาพวันนี้ / แปลงกล่ำปลีของหมอสันต์)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เรียน คุณหมอสันต์

ถ้าทุกอย่างในชีวิตเป็นแค่ขันธ์ 5 ไม่มีอะไรเหลือเป็นตัวตน ตายแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วจะแสวงหานิพพานไปทำไม เพราะตายแล้วจะเหลือใครให้ไปนิพพานละครับ

……………………………………..

ตอบครับ

ว้าว..ว จดหมายของคุณจะมาผิดที่แน่นอน เพราะผมไม่ใช่คนชนิดที่จะไปยุ่งกับเรื่องอย่างนิพพานหรือชีวิตหลังตาย แต่ผมอ่านจดหมายของคุณผมก็เกิดสนุกเสียแล้ว จึงหยิบมาลัดคิวตอบเฉพาะส่วนที่ผมจะตอบคุณได้จากความรู้และประสบการณ์ของผมเอง

1.. ถามว่า ถ้าทุกอย่างมีแค่ขันธ์5 ตายแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือจริงไหม ตอบว่าจริงครับถ้ามองว่าสิ่งที่จะเหลือนั้นเป็นเศษเสี้ยวหรือหัวเชื้อของสำนึกว่าเป็นบุคคลคนนี้ (identity) ที่ผมกล้าตอบว่าจริงครับทั้งๆที่ผมยังไม่ได้ทันได้ตายก็เพราะเมื่อผมทำความเข้าใจกับองค์ประกอบที่ผูกกันขึ้นมาเป็น identity ของเราทั้งหมดไม่ว่าจะกรุ๊พเป็น 3 อย่าง 5 อย่าง 7 อย่างก็ตาม เมื่อแยกแยะมันออกไปอย่างถ่องแท้ทั้งในภาคการใช้ดุลยพินิจและภาคการทดลองปฏิบัติจริงจังแล้วก็พบว่าเมื่อเข้าใจตรรกะถ่องแท้และถอยความสนใจออกจากความคิดตีความซ้ำซากแบบเดิมได้แล้ว identity เดิมมันก็หายเกลี้ยงไปได้จริงๆ แม้จะเพียงชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม

ทั้งนี้คำตอบนี้จำกัดอยู่แค่การหายไปของสำนึกว่าเป็นบุคคล หรือ identity นี้เท่านั้นนะ เพราะอย่าลืมว่าคำว่าขันธ์5 นี้เป็นคำสอนในศาสนาพุทธซึ่งสอนปัญจวัคคี 4 คน หลังจากที่สอนวันแรกรวม 5 คนว่าการจะมีชีวิตอยู่อย่างไม่ทุกข์ควรดำรงชีวิตแบบอยู่นิ่งๆตรงกลางมีอะไรเข้ามาก็ยอมรับ ไม่ต้อง “แกว่ง” ไปยึดเกาะสิ่งที่ชอบ หรือแกว่งหนีสิ่งที่ไม่ชอบ สอนแบบนั้นมีคนเก็ทคนเดียว อีกสี่คนไม่เก็ท ท่านจึงสอนซ้ำใหม่โดยเปิดมุมมองใหม่ซึ่งมีสาระว่าความคิด “แกว่ง” อันเป็นต้นเหตุของทุกข์นี้มันเกิดจากความพยายามที่จะปกป้องเชิดชูสำนึกว่าเป็นบุคคลหรือ identity ของเรา ซึ่งแท้จริงแล้วที่เราหลงปกป้องเชิดชูว่าเป็น identity ของเรานี้มันเป็นแค่ส่วนผสมของห้าอย่างซึ่งเมื่อแยกออกไปแล้วก็ไม่เหลืออะไรเป็นสิ่งถาวรให้ต้องลำบากลำบนคอยปกป้องเชิดชูเลย พูดง่ายๆว่าเรื่องขันธ์5 นี้พูดขึ้นมาในบริบท (context) ของการละทิ้งความทุกข์ที่เกิดจากความเข้าใจผิดว่า identity ของเราเป็นสิ่งถาวรที่พึงปกป้องเชิดชูให้สุดฤทธิ์สุดเดชเท่านั้น ไม่ได้พูดในบริบทอื่น

2.. ถามว่าเมื่อขันธ์5 อันเป็นส่วนประกอบของ identity หายไปเกลี้ยงแล้ว ก็จะไม่เหลืออะไรเลยใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่ครับ มันยังจะเหลืออยู่อีกอย่างหนึ่งคือความรู้ตัว (consciousness) ซึ่งอุปมาเหมือนความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่แต่มีความสามารถตื่นและรับรู้อะไรได้อยู่ ผมเคยตอบคำถามหนึ่งก่อนหน้านี้โดยใช้คำว่า “ฉันตัวเล็ก” แทนสำนึกว่าเราเป็นคนคนนี้ และใช้คำว่า “ฉันตัวใหญ่” แทนความรู้ตัวที่จะเหลืออยู่ยามที่ฉันตัวเล็กฝ่อไปแล้ว

เพื่อเป็นอุปมาอุปไมยให้เข้าใจเจตนาของผมให้ยิ่งขึ้น ผมขอเล่าเรื่องจริงเรื่องหนึ่งประกอบ คือนานมาแล้วผมมีโอกาสได้รู้จักหญิงชราชาวจีนท่านหนึ่ง ได้ไปเยี่ยมบ้านของท่านเมื่อราวยี่สิบกว่าปีก่อน บ้านของท่านซึ่งสร้างโดยลูกๆของท่านเป็นบ้านตึกสองชั้นขนาดใหญ่อยู่บนเนื้อที่ไร่กว่าที่ต่างจังหวัด เป็นมาตรฐานบ้านคนมีฐานะดีทั่วไป แต่ประเด็นสำคัญคือท่านไม่ยอมนอนในบ้าน แต่นอนในกล่องที่เอาเศษลังกระดาษมาผูกเป็นกล่องเล็กๆพอสอดตัวเข้าไปนอนได้ วางไว้บนตั่งไม้ ตั้งอยู่นอกบ้านชิดฝาบ้านเพื่ออาศัยชายคาบ้านหลบฝนไปด้วย ที่ท่านทำอย่างนี้เพราะตลอดชีวิตของท่านเป็นแม่ค้าอยู่ในตลาดสด กลางวันขายของ กลางคืนก็ทำกล่องขึ้นบนตั่งขายของแล้วนอนมันตรงนั้นแหละ ใช้ชีวิตอย่างนี้หลายสิบปีจนแม้จะร่ำรวยสร้างบ้านใหญ่ๆดีๆได้แล้วแต่ท่านก็ไม่ยอมทิ้ง “บ้านเล็ก” ของท่านไปนอนใน “บ้านใหญ่” จนวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะท่านเชื่อของท่านว่าบ้านเล็กมันดีกว่าด้วยประการทั้งปวง มิใยที่ลูกหลานจะบอกว่าในบ้านใหญ่กันฝนกันพายุกันยุงได้ดีกว่านอนนุ่มกว่า ท่านก็ไม่สน

เราทุกคนก็เหมือนคุณยายท่านนั้น ที่เชื่อสนิทใจว่า identity ของเราที่ผมเรียกว่า “ฉันตัวเล็ก” นี้มันเป็นของจริงที่ต้องปกป้องเชิดชูสุดฤทธิ์สุดเดช มิใยที่ใครจะบอกว่าตรงนี้ไม่ใช่ของจริงนะ มันมี “ฉันตัวใหญ่” ที่จริงกว่าดีกว่า เราก็ไม่สนใจฟังหรอก เพราะเราเชื่อของเราเรารักชอบของเรากับฉันตัวเล็กนี้เสียแล้ว ดังนั้นเมื่อคุณถามว่าเมื่อรื้อบ้านกระดาษอันเป็นฉันตัวเล็กนี้ทิ้งไปจะไม่เหลืออะไรเลยใช่ไหม คำตอบก็คือไม่ใช่ มันยังเหลือบ้านใหญ่ซึ่งเราอาจจะยังไม่เคยรู้จักไม่เคยใช้งานอยู่

3.. ถามว่าเมื่อร่างกายนี้ตายสนิทไม่มีสมองที่ทำงานต่อได้แล้ว “ฉัน” ไม่ว่าตัวเล็กหรือตัวใหญ่ก็ล้วนต้องตายตามกันไปหมดใช่ไหม ตอบว่า หิ..หิ เออ.. ตรงนี้ผมจะรู้ไหมเนี่ย เพราะผมเองก็ยังไม่เคยตาย

อย่างไรก็ตาม ผมมีข้อมูลที่อาจช่วยตอบคำถามนี้ได้บ้าง กล่าวคือขณะที่กระแสหลักของวิชาแพทย์ตกลงกันว่าสมองเป็นที่กำเนิดของทั้งความคิด (thought-ฉันตัวเล็ก) และความรู้ตัว (consciousness-ฉันตัวใหญ่) เมื่อสมองตายฉันทั้งหลายก็ย่อมต้องม้วนเสื่อตายตามกันไปหมดตามระเบียบ แต่ผลวิจัยบางชิ้นกลับให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกับสมมุติฐานนี้ ตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่จอห์นฮอพคินส์ได้ตั้งศูนย์ขึ้นมารื้อฟื้นการวิจัยการใช้ยากระตุ้นประสาทหลอน (psychedelic) ซึ่งสมัยก่อนเฟื่องฟูในหมู่ฮิ้ปปี้ (แต่ต่อมากลายเป็นของต้องห้ามในระยะ 30 ปีหลังมานี้) งานวิจัยที่จอห์นฮอพคินส์ทำให้เรารู้ว่าขณะที่ขี้ยากำลังถุนยาได้ที่อยู่นั้น มีความสัมพันธ์ระหว่างการได้ยามากกับความแจ่มชัดของความรู้ตัว (consciousness) คือยิ่งได้ยามาก ยิ่งสัมพันธ์กับเกิดความรู้ตัว(นอกข้อจำกัดของความคิดๆความจำเดิมๆ)มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันคลื่นสมองกลับมีกิจกรรมลดลงสวนทางกัน แปลง่ายๆว่ายิ่งสมองใกล้จะตาย ฉันตัวใหญ่กลับยิ่งเติบใหญ่ขึ้น น่าเสียดายที่ไม่มีวิธีวิจัยว่าเมื่อตายเข้าจริงๆระดับเด๊ดสะมอเร่แล้ว ฉันตัวใหญ่มันจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรต่อไป คำตอบสำหรับคำถามนี้ของคุณผมจึงยังตอบให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำไม่ได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าเอาการมีหลักฐานว่าตายแล้วฉันตัวใหญ่จะเหลืออยู่หรือไม่ไปปะปนกับการจะดับความทุกข์อันเกิดจากการ “แกว่ง” หาสิ่งชอบหรือแกว่งหนีสิ่งไม่ชอบนะครับ มันเป็นคนละเรื่องกัน คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าตายแล้วจะเหลือหรือไม่เหลืออะไรคุณก็สามารถมีชีวิตอยู่โดยไม่ทุกข์ได้เดี๋ยวนี้เลย โดยทิ้งฉันตัวเล็กไปเสีย.. เดี๋ยวนี้เลย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Griffiths RR, Richards WA. et al. Psilocybin can occasion mystical-type experiences
    having substantial and sustained personal meaning and spiritual significance. Psychopharmacology. DOI 10.1007/s00213-006-0457-5
  2. Griffiths RR, Johnson MW, Richards WA, Richards BD, McCann U, Jesse R. Psilocybin occasioned mystical-type experiences: immediate and persisting dose-related effects. Psychopharmacology (Berl). 2011 Dec;218(4):649-65. doi: 10.1007/s00213-011-2358-5. Epub 2011 Jun 15. PMID: 21674151; PMCID: PMC3308357.