Latest

ติดเชื้อ, อักเสบ, บาดเจ็บ, เนื้องอก, เป็นแต่กำเนิด, เกิดจากการเผาผลาญ

อาจารย์คะ
หนูเป็นนศพ.5 ต้องเวียนไปที่รพ. …. และพี่เขาให้ผลัดกันอยู่เวรโดยไม่มีแพทย์รุ่นพี่ back up เลย หนูเครียดมาก เวลานอนก็ผวา เวลาเจอคนไข้ก็มือไม้สั่นเพราะต้องคอยเปิด DDx หรือค้นอากู๋หาข้อมูลเพราะไม่ชัวร์เลยว่าคนไข้จะเป็นอะไรได้บ้าง คนไข้เห็นเข้าก็ทำท่าดูแคลนหนู เวลาราวด์กับรุ่นพี่ก็ถูกพี่เขาตำหนิอย่างแรงว่าวินิจฉัยแยกโรคแค่นี้ก็ทำได้ไม่ครอบคลุม เครียดจนอยากจะร้องกรี๊ดหรือทิ้งทุกอย่างหนีไปซะตอนนี้เลย ก็ตอนเรียนหนูต้องอยู่กับอินเตอร์เน็ทแทบจะตลอดเวลา แต่พอมาอยู่อย่างนี้หนูแทบไม่มีเวลาเปิดเน็ทเลยจึงเหมือนคนหมดท่า
อาจารย์ช่วยแนะนำหนูด้วย

…………………………………….

ตอบครับ

     ผมตอบคุณหมอประเด็นเดียวนะ เฉพาะประเด็นที่เมื่อไม่มีอินเตอร์เน็ท จะเป็นหมอได้อย่างไร

     ก่อนอื่นคุณหมอต้องไม่ปฏิเสธการจดจำข้อมูล คุณหมอต้องเข้าใจว่าพื้นฐานของเชาว์ปัญญาคือความจำ อย่างน้อยคุณหมอต้องจำข้อมูลพื้นฐานอะไรได้ระดับหนึ่งจึงจะคิดวิเคราะห์ได้รวดเร็ว ข้อมูลละเอียดปลีกย่อยค่อยไปค้นหาเอาจากอินเตอร์เน็ท อย่าเอะอะอะไรก็เปิดอากู๋โดยถือว่าชีวิตนี้ไม่ต้องจำอะไรทั้งสิ้น นั่นเป็นวิธีเรียนแพทย์ที่ผิดวิธีนะครับ

     ผมจะเล่าวิธีที่คนรุ่นผมเรียนมานะ คนรุ่นผมเรียนด้วยวิธีท่องจำล้วนๆ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์ ทั้งมหาลัยไม่มีคอมพิวเตอร์เลยสักเครื่องเดียว เชื่อหรือไม่ อย่าว่าแต่คอมส่วนตัวและสมาร์ทโฟนที่นักเรียนแพทย์สมัยนี้มีกันคนละเครื่องสองเครื่องเลย แต่การท่องจำแบบจะเอามาใช้งานได้จริงก็ต้องมีหลักนะ กล่าวคือต้องจำโครงใหญ่ของการวินิจฉัยโรคก่อนว่ามันมีห้ามุมมอง คือ

     มุมที่ 1. กายวิภาคศาสตร์ หรืออวัยวะอะไรอยู่ที่ไหน ตับ ไต ไส้ พุง เรื่องนี้คุณหมอเองก็ไม่น่าจะมีปัญหา ทุกคนผ่าศพกันมาคนละหกเดือนก็ต้องจำได้ขึ้นใจอยู่แล้ว ดังนั้นคนไข้เอานิ้วชี้ว่าปวดที่ตรงนี้คุณหมอหลับตาบอกได้เลยว่าอวัยวะที่อยู่ลึกเข้าไปมีอะไรบ้าง

     มุมที่ 2. คือ อาการวิทยา หรืออาการอะไร เป็นโรคอะไรได้บ้าง ถ้าเป็นอาการที่คนไข้เป็นบ่อยคนรุ่นผมต้องหลับตาท่องได้เลย เช่นครูถามว่าคนไข้เจ็บแน่นหน้าอกเป็นอะไรได้บ้าง ก็ต้องตอบสวนทันทีว่าเป็นได้เจ็ดโรคครับ (1) กรดไหลย้อน (2) หัวใจขาดเลือด (3) เจ็บกล้ามเนื้อหน้าอก (4) เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (5) เยื่อหุ้มปอดอักเสบ (6) ลิ่มเลือดอุดปอด (7) หลอดเลือดใหญ่ปริแตก เป็นต้น

     มุมที่ 3. คือ สรีรวิทยา หรือ ระบบอวัยวะ ซึ่งมีอยู่ 12 ระบบ สมัยผมเรียนโดยวิธีท่องว่า ผิวหนัง, กล้ามเนื้อ, ประสาท, กระดูก, หายใจ, ไหลเวียน, ทางเดินอาหาร, ปัสสาวะ, สืบพันธ์, เลือด, น้ำเหลือง, ต่อมไร้ท่อ

     มุมที่ 4. คือ สาเหตุของโรค เป็นการไล่เรียงกลุ่มสาเหตุของโรค ซึ่งมีอยู่ 9 กลุ่ม ซึ่งแน่นอนว่านักเรียนแพทย์สมัยโบราณรุ่นผมท่องกันได้ขึ้นใจ คือ ติดเชื้อ, อักเสบ, บาดเจ็บ, เนื้องอก, เป็นแต่กำเนิด, เกิดจากการเผาผลาญ, ภูมิต้านทาน, ฮอร์โมน, และโรคจากการรักษา นี่ทั้งหมดนี้ผมเขียนออกมาจากหัวนะเนี่ย คือเมื่อท่องจนจำได้แล้วและใช้มันอยู่เรื่อยมันก็ไม่เคยลืมแม้จะผ่านไปแล้วกี่สิบปี อย่าลืมว่านี่ผมอายุ 67 ปีแล้วนะ

     มุมที่ 5. คือ พยาธิวิทยา คือโรคอะไรมีเรื่องราวหรือการดำเนินโรคอย่างไร ถ้าเป็นโรคสำคัญก็ต้องจำได้หมดว่ามันกระทบต่อระบบไหนบ้าง เช่นโรคลิ้นหัวใจตีบเรื่องราวก็เริ่มตั้งแต่การติดเชื้อสเตร็ปที่คอในวัยเด็ก แล้วภูมิคุ้มกันที่ทำลายเชื้อไปทำลายลิ้นหัวใจ ทำให้ลิ้นหัวใจอักเสบ มีพังผืดแทรกลิ้น ลิ้นตีบ รั่ว หัวใจล้มเหลว เป็นต้น

     เมื่อได้คนไข้มาคนหนึ่ง ก็เอาข้อมูลที่ได้จากการซักประวัติว่าอาการเป็นอย่างไร ตรวจร่างกายพบอะไรที่ตรงไหน มาเทียบเคียงไตร่ตรองตรวจสอบไปตามมุมมองทั้งห้าข้างต้นไปทีละมุมมองว่ามันเกิดเหตุที่อวัยวะใด ไล่ไปทีละอวัยวะ มันทำให้ระบบสรีรวิทยาใดฟั่นเฟือนไปบ้าง ไล่ไปทีละระบบจนครบ 12 ระบบ มันน่าจะเกิดจากกลุ่มสาเหตุใด ไล่ไปทีละกลุ่มสาเหตุจนครบ 9 กลุ่ม มันน่าจะเป็นโรคอะไรได้บ้าง ไล่ไปทีละโรค ทั้งหมดนี้วิเคราะห์จากพื้นฐานความจำที่ท่องเป็นนกแก้วไว้ทั้งสิ้น โดยไม่ต้องเปิดอากู๋เลยเพราะไม่มีให้เปิด มีบ้างบางครั้งถ้าไม่ชัวร์ก็ทำทีไปเข้าห้องน้ำแล้วแอบเปิดโพยที่โน้ตย่อพับใส่กระเป๋าไว้ ก็พอเอาตัวรอดไปได้

     ถ้าคุณหมอไม่ประสบความสำเร็จกับการเรียนโดยพึ่งอากู๋อย่างเดียว ทำไมไม่ลองเอาวิธีการเรียนแบบท่องจำของหมอรุ่นโบราณมาผสมผสานกับการพึ่งอากู๋ดูสิครับ มันอาจจะช่วยชีวิตคุณหมอได้นะ

ปล.

     เรื่องที่เครียดจนอยากจะกรี๊ดและทิ้งไปดื้อๆนั้นไม่ใช่ความผิดปกติ มันเป็นเรื่องธรรมดา คุณหมออย่าตำหนิตัวเอง ให้ความเห็นอกเห็นใจตัวเองหน่อย เอาใจตัวเองบ้าง ว่างปุ๊บก็ให้แว้บไปดูหนังฟังเพลงหรืออยู่กับธรรมชาติเป็นการผ่อนคลาย วิชาแพทย์นั้นกว้างใหญ่ไพศาลจะเรียนให้รู้หมดทันทีที่จบปีหกนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก ขอแค่มีเมตตาธรรมต่อคนไข้อย่างแน่วแน่ ก็จะเกิดพลังที่จะเรียนรู้ควบคู่ไปกับการทำงานจนในที่สุดก็กลายเป็นคุณหมอที่เก่งได้ ส่วนที่รุ่นพี่เขาด่าเขาตำหนินั้นก็ช่างเขาเถอะ เขาอาจจะตกอยู่ในความกลัวว่ามีน้องที่ไม่เดียงสามาอยู่ด้วยแล้วชีวิตเขาจะลำบาก เขาด่ามาก็แค่ทำท่าก้มหน้าต่ำสำนึกผิดขณะที่ในใจก็แผ่เมตตาให้อภัยเขาซะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์