อะไรเป็นแรงบันดาลใจ
1.1 ตอนเป็นเด็กพ่อแม่ยากจน ต้องไปอาศัยวัดเพื่อเรียนหนังสือ การอยู่วัดทำให้ได้เห็นความโดดเด่นของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเสมือนเทพสูงสุดแทรกซึมไปทุกอณูของชีวิตผู้คนในสมัยนั้น ผมรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ลึกซึ้งหรอกว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรเพราะบทสวดที่ถูกบังคับให้ท่องนั้นเป็นภาษาบาลี แต่แม้จะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรผมก็ประทับใจว่าทุกคนทุกระดับชั้นภูมิปัญญาต่างก็เคารพบูชาพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ ไปหมู่บ้านไหนก็มีแต่วัด ทำให้ผมมีความคิดแว้บหนึ่งว่าสักวันหนึ่งจะตั้งใจศึกษาดูให้ถ่องแท้ซิว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร แต่ก็เป็นแว้บเดียวแล้วหายไป
1.2 ช่วงหนึ่งในชีวิตได้ไปเรียนโรงเรียนบนดอยของมิชชันนารี (คริสต์) ได้สัมผัสชีวิตของคุณพ่อบาทหลวงซึ่งเป็นวิศวกรชาวอิตาลี ก็ได้ความประทับใจมาอย่างหนึ่งว่าคนเรานี่สามารถมีชีวิตอยู่แบบทำทุกอย่างให้คนอื่นโดยตัวเองไม่เอาอะไรเลยก็มีอยู่นะ คำถามที่ผมตั้งขึ้นในใจคือทำไมใช้ชีวิตแบบนี้แล้วยังสุขกายสบายใจดีอยู่ได้ คนทั่วไปเสียอีกที่ใช้ชีวิตแบบตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเก็บสะสมไว้เลี้ยงตัวเองกลับมีชีวิตแบบกระเสือกกระสนปากกัดตีนถีบเคร่งเครียดลำบากลำบน นี่เป็นคำถามที่ตั้งทิ้งไว้เฉยๆในวัยเด็กนะ
1.3 เมื่ออายุ 17 ปี พ่อป่วยแล้วตาย สมัยโน้นการเผาศพต้องเอาศพขึ้นวางบนกองฟืน ผมบวชห่มผ้าเหลือง (ทางเหนือเขาเรียกว่าบวชจูงศพ) ยืนดูภาพที่พ่อถูกเผาอยู่ในกองไฟ ผมก็เกิดปิ๊งแว้บขึ้นมาว่าชีวิตอย่างนี้ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ เกิดมาพบกันผูกพันห่วงใยกันลึกซึ้งแล้วก็ต้องถูกจับพรากจากกันไปไม่ช้าก็เร็ว ถ้าจะเกิดมาเพื่อมามีชีวิตอย่างนี้ จะเกิดมาทำพรือ แต่มันก็เป็นแค่ความคิดแว้บเดียว แล้วทุกอย่างก็กลับเข้าสู่โหมดปกติ
1.4 พอมาเป็นหมอ ได้อยู่กับคนตายมากขึ้นๆ เห็นการตายส่วนใหญ่เป็นการตายแบบทุรนทุราย กลัว หนี ยื้อ ไม่อยากไปแต่ก็ถูกถีบให้ไปจนได้โดยไม่รู้ว่าจะไปไหน ช่างเป็นการตายที่ไม่รื่นรมย์เลย ผมก็เกิดข้อคิดเตือนใจตัวเองว่าก่อนจะตายน่าจะศึกษาหาวิธีตายแบบดีๆหน่อยนะ ไม่อยากตายอย่างนี้ แต่ก็เป็นแค่ข้อเตือนใจ ยังไม่ต้องทำอะไร เพราะผมยังหนุ่ม ยังไม่ตายง่ายๆหรอก
1.5 พออายุ 55 ปีตัวผมเองป่วยเป็นโรคหัวใจขาดเลือด เฮ้ย..ย นี่อาจจะตายกะทันหันเมื่อไหร่ก็ได้แล้วนะ ความเป็นห่วงลูกเมียทำให้หันมาดูแลร่างกายตัวเองอย่างจริงจัง ส่วนทางด้านจิตใจนั้น การบ้านที่จดไว้ในส่วนลึกๆตั้งแต่วัยเด็กๆก็ถูกนำเสนอขึ้นมาในใจเป็นฉากๆ โอ้ละหนอ..วีซ่าชีวิตกำลังจะหมดลงแล้ว แต่คำถามที่ว่าเกิดมาทำไม ชีวิตมีแค่นี้หรือ ยังไม่ได้คำตอบเลย จึงเป็นที่มาของการรีบค้นหา..เอาตอนเมื่อแก่แล้ว
2. ถามว่าถ้าคนดูแลตัวเองแล้วร่างกายจิตใจดีได้ไม่มีทุกข์ จะมีศาสนาไว้ให้คนทะเลาะกันทำไม ตอบว่า
“อ้าว ถามอย่างนี้จะหาเรื่องให้หมอสันต์ถูกตื้บแล้วนะเนี่ย”
ทุกศาสนาสอนให้ถอยความปักใจเชื่อในความเป็นบุคคลของตัวเราเองเพื่อเข้าไปสู่ส่วนลึกของชีวิตที่สงบเย็นและสถาพรกว่า สิ่งนั้นบางศาสนาสร้างเป็นจินตนภาพว่าเป็นเทพหรือพระเจ้าเพื่อให้ผู้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น บางศาสนาก็สอนแค่ให้วางความคิดยึดถือในความเป็นบุคคลของตัวเองแบบลุ่นๆแล้วปล่อยให้เข้าไปถึงชีวิตที่สงบเย็นนั้นเอาเองโดยไม่ต้องรู้ล่วงหน้าว่ามันคืออะไรเป็นอย่างไร แต่สาระสำคัญนั้นเหมือนกัน คือปล่อยวางความคิด เข้าสู่ความสงบเย็น
แต่การนำคำสอนมาใช้ เป็นเรื่องของระดับภูมิปัญญาและเจตนาของแต่ละบุคคล ไม่เกี่ยวกับสาระคำสอน เหมือนสากกระเบือจะใช้ตำน้ำพริกก็ได้ ใช้แพ่นกะบาลสามีก็ได้ แล้วแต่คนจะเลือกใช้ เมื่อคนยังยึดติดในความเชื่อว่าความเป็นบุคคลของตนหรือตัวฉันนี้เป็นของจริง ความยึดติดนี้ผูกพันยึดโยงกันขึ้นเป็นคอนเซ็พท์ต่างๆต่อออกไปจากตัวฉัน เช่น ภรรยาของฉัน ครอบครัวของฉัน หมู่บ้านของฉัน เผ่าของฉัน ชาติบ้านเมืองของฉัน แล้วก็ผูกโยงเข้ากับศาสนาของฉัน ถ้าผูกแล้วเข้ากันไม่ถนัดก็แตกออกเป็นนิกายแบบคิดเอาเองเพื่อจะให้มันผูกกันให้ได้ แล้วก็ยกพวกตีกัน ดังนั้นเมื่อมองย้อนไปดูการฆ่ากันครั้งใหญ่ๆในประวัติศาสตร์ของมนุษย์รวมทั้งสงครามโลกทุกครั้งด้วย จะผูกโยงอยู่กับคอนเซ็พท์หรือความเชื่อในเรื่องชาติและศาสนา ชาติและศาสนาในมุมนี้ไม่เกี่ยวกับสาระแก่นคำสอน แต่เป็นเพียงคอนเซ็พท์หรือความคิดที่ผูกโยงกันไว้เพื่อให้ยกพวกตีกันถนัดเท่านั้น บางทีแค่คอนเซ็พท์มันยังตีกันไม่ถนัด ต้องเอาตัวช่วยอื่นๆเช่นสีเสื้อเหลืองแดง หรือผ้าโพกหัวมาช่วยด้วยจะได้ตีกันถนัดขึ้น (แหะ แหะ ขออนุญาตแขวะ) ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อหาคำสอนในสาระหลักของแต่ละศาสนาเลย ดังนั้น ถึงแม้คุณจะปวารณาตัวเป็นคนไม่มีศาสนา หากคุณเป็นคนชอบศึกษา ผมแนะนำให้คุณอย่ารังเกียจที่จะศึกษาเนื้อหาสาระหลักในคำสอนของทุกศาสนาอย่างลึกซึ้งจนถากเอากระพี้ออกและจับแก่นได้ว่าสาระหลักคืออะไร คุณก็จะเอามาใช้ประโยชน์กับตัวคุณได้ โดยไม่ต้องไปยกพวกตีกับใคร
3. ถามว่าทำอย่างไรจะชั
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์