2015 สุขกันเถอะเรา
พอทำซีดี.ออกมาแล้ว สอนกันไปแล้ว หลายคนก็กังขาย้อนหลังว่าทำไมต้องเป็นเพลง “สุขกันเถอะเรา” ด้วยนะ คนหนึ่งกำลังจะตาย จะให้อีกคนร้องเพลงสุขกันเถอะเราจะดีเหรอ แต่ว่าผมไม่ได้ตอบข้อกังขาเหล่านั้นหรอก เพราะเมื่อมีข้อกังขาขึ้นมาทีไร ก็จะมีคนตอบให้เสร็จสรรพทุกครั้งไป มีอยู่ครั้งหนึ่งในที่ประชุมหมอหัวใจ หมอคนหนึ่งถามคำถามนี้ หมออีกคนหนึ่งตอบให้เสร็จว่า..
“อ้าว ก็ความสุขมันเป็นสิ่งที่เราเรียกมันมาได้นะ จึงต้องมาสุขกันเถอะเราไง”
หลายปีผ่านไป จนผมลืมเรื่องการเรียกความสุขมาหาไปนานแล้ว จนเมื่อไม่นานมานี้ ผมบุกจู่โจมไปเยี่ยมเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งป่วยเป็นมะเร็ง ที่ต้องใช้วิธีจู่โจมก็เพราะเพื่อนคนนี้เขาไม่ชอบให้ใครไปเยี่ยมเขา เขาเป็นมะเร็งที่แพร่กระจายมาที่ตับ หมอด้วยกันไม่ต้องถามก็รู้กันว่าแรงที่เนื้องอกเป่งแคปซูลหุ้มตับออกมานั้นจะทำให้มีอาการปวดมากมายเพียงใด ผมถามเขาว่า
“คุณต้องใช้ยาแก้ปวดมากไหม” เขาตอบว่า
“ไม่ใช้เลย พาราเซ็ตเม็ดเดียวก็ไม่ยอมกิน” ผมถามว่า
“แล้วคุณทำอย่างไรเมื่อมันปวดขึ้นมา” เขาตอบว่า
“ก็เฝ้าดูมันเฉยๆ ดูเฉยๆไม่คิดอะไร” ผมบอกเขาว่า
“ผมอยากเอาไปสอนคนไข้เวลาปวดมากๆให้ทำอย่างนี้บ้าง” เขาบอกว่า
“ยากนะ ถ้าจิตไม่มีสมาธิ” ผมถามว่า
“แล้วสำหรับคนไข้ มีกลเม็ดอย่างไรถึงจะให้จิตมีสมาธิ” เขาตอบว่า
“ต้องทำให้จิตมีความสุขก่อน” ผมถามต่อว่า
“แล้วทำอย่างไรจิตจึงจะมีความสุข” เขาตอบว่า
“ก็เรียกความสุขมา” เขาเห็นผมนิ่งไปนาน จึงพูดต่อเองว่า
“..ถ้าพี่ไม่รู้จะเรียกอย่างไร ก็หายใจเข้าลึกๆจนเต็มปอด แล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจออกเหมือนเวลาเราจิบกาแฟร้อนๆหอมๆแล้วอ้าปากครางเบาๆว่า ฮา..า..า แค่นี้ความสุขก็มาแล้ว สำคัญที่เมื่อความสุขมาแล้วเราต้องจำเขาไว้ ว่าความสุขเป็นอย่างเนี้ยะนะ ถ้าเราจำเขาได้ ครั้งต่อไปเรียกเขาเขาก็จะมาง่าย เรียกเมื่อไหร่ก็จะมาเมื่อนั้น พอจิตมีความสุขแล้ว จึงจะตั้งสมาธิได้ พอมีสมาธิแล้ว จึงจะมองความเจ็บปวดแบบมองเฉยๆได้”
ผมพยายามทวนคำพูดของเขาตรงที่ว่า “เรียกความสุขมา” เขาเห็นผมท่าทางไม่เก็ท จึงอธิบายเพิ่มเติมว่า
“..พี่มองว่าเป็นการเปลี่ยนเก้าอี้นั่งก็ได้ พี่นั่งเก้าอี้ตัวโน้น ฮ้า นั่งไม่สบายก้น พื้นแข็งไม่มีเบาะ พี่ลุกมานั่งตัวนี้ซึ่งมีเบาะ เอาตัวนี้ดีกว่า นั่งสบายดี จิตของเราก็เหมือนกัน เราอยู่กับอารมณ์นี้ ไม่สบาย เราก็เปลี่ยนไปอยู่กับอารมณ์อื่นที่สบายกว่า การเปลี่ยนจิตจากอารมณ์หนึ่งไปหาอีกอารมณ์หนึ่งเนี่ยง่าย เพราะจิตมันมีธรรมชาติเปลี่ยนตัวมันเองตลอดเวลาอยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่ง คนเราล้วนมีวิธีถนัดของตัวเองที่จะเรียกความสุขมาหาต่างกันไป บางคนได้ดูหนังจึงจะสุข บางคนได้ฟังเพลงจึงจะสุข”
กลับจากเยี่ยมเพื่อนแล้วผมยังคิดถึงเรื่องการ “เรียกความสุขมาหา”และการ “จำความสุข” และความจำเก่าๆก็โผล่ขึ้นมาสองสามเรื่อง
เรื่องแรกเป็นเรื่องจริง ย้อนหลังไปหลายปีมาแล้ว สมัยที่ตัวผมยังไม่แก่มาก และเพื่อนๆที่เป็นพวกวิศวะก็ยังหนุ่มๆกันอยู่ เรามักนัดหมายดื่มกินมื้อเย็นในวันหยุดกันที่บ้านบนเขา มีอยู่วันหนึ่งภรรยาไม่ได้มาด้วย ผมอยู่คนเดียวไม่มีแขก เวลาอยู่คนเดียวไม่มีคนคุมประพฤติผมจะไม่ล้างถ้วยล้างจาน แต่ใช้วิธีกองๆสุมกันไว้ในอ่างจนวันที่จะกลับกรุงเทพจึงจะลุยล้างซะทีเดียว เย็นวันนั้นแก้วหมด ผมเลยเอาแก้วไวน์มาใช้แทนแก้วน้ำดื่ม แล้วจู่ๆราวสองทุ่มก็มีเพื่อนสามคนแวะมา คนหนึ่งบอกว่าอากาศเย็นๆอย่างนี้น่าจะมีอะไรดื่มกันนะ แต่ว่าที่บ้านไม่มีเครื่องดื่มเลย ผมจึงเอาน้ำแข็งเปล่าใส่แก้วไวน์ เทน้ำใส่ แล้วแจกให้เพื่อนๆยกขึ้นชนแก้วดื่มกัน..
“เชียร์” พอยกดื่มกันแล้วเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
“เฮ้.. ดื่มน้ำเปล่านี่ก็หนุกดีนี่หว่า แล้วเราจะเดือดร้อนหาไวน์มาดื่มทำไมกันเนี่ย”
ทุกคนเห็นด้วยกับเขา ผมก็เห็นด้วย เพราะผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และคืนนั้นเราก็ปาร์ตี้น้ำเปล่าคุยกันอย่างออกรสสนุกสนาน ตอนนี้ผมมานึกย้อนดู นั่นคงเป็นเพราะเราจำความสุขที่เราเคยดื่มไวน์ชนแก้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันได้ คราวนี้ถึงจะเป็นน้ำเปล่า แต่เราจำความสุขเดิมได้ เมื่อเราเรียกหา มันก็มาอีกจริงๆ
อีกเรื่องหนึ่งไม่รู้เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ผมอ่านมาจากหนังสือรีดเดอร์ส์ไดเจสท์สมัยผมเป็นนักเรียนมหาวิทยาลัย เป็นเรื่องเล่าของนักโทษอเมริกัน เขาเล่าว่าเมื่อเขาไปติดคุก พวกนักโทษจะผ่านวันเวลาอันน่าเบื่อหน่ายในคุกโดยการเล่าเรื่องตลกสู่กันฟัง แล้วก็หัวเราะกัน แต่เนื่องจากชีวิตในคุกมันไม่มีเรื่องใหม่ๆเกิดขึ้น เรื่องที่เล่าจึงเป็นเรื่องซ้ำๆซากๆ หนักเข้าพวกนักโทษก็เลยใส่หมายเลขประจำตลกเก่าแต่ละเรื่องไว้ ใครอยากจะขุดเรื่องเก่าอะไรขึ้นมาเล่าก็ไม่ต้องเสียเวลาเล่ารายละเอียดของเรื่อง บอกแต่หัวเรื่องเช่นเล่าว่า
“เรื่องที่ 23”
แค่นี้เพื่อนนักโทษซึ่งล้วนจำเรื่องได้แล้วก็จะหัวเราะกันได้เลย ต่อมาก็มีนักโทษใหม่เข้ามาคนหนึ่งเป็นคนหนุ่ม พอเขามารับรู้เรื่องตลกของนักโทษรุ่นพี่ๆเขาก็ตะโกนแทรกลูกกรงขึ้นมาว่า
“มาฟังเรื่องของผมดีกว่า.. เรื่องที่ 132”
ปรากฎว่าพวกนักโทษรุ่นพี่ได้ยินหัวข้อเรื่องแล้วก็พากันหัวเราะกลิ้ง ตบเข่ากระทืบเท้าท้องคัดท้องแข็ง จนนักโทษหนุ่มงง เขาจึงถามรุ่นพี่ว่า
“เอ๊ะ ทำไมเรื่องของผมมันขำเป็นพิเศษหรือไง” ก็ได้รับคำตอบจากพวกพี่ๆว่า
“ใช่ ใช่ ใช่ เรื่องนี้เรายังไม่เคยได้ยินกันมาก่อนเลยว่ะ”
(ฮะ ฮะ ฮ่า แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)
ผมไม่รู้ว่าเรื่องนักโทษนี้เป็นแค่เรื่องโจ๊กหรือเรื่องจริง แต่มีเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคล้ายกันที่ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ คือสมัยผมเป็นหมอผ่าตัดอยู่ที่รพ.สระบุรี ซึ่งก็ประมาณปี พ.ศ. 2529 พยาบาลไอซียู.คนหนึ่งเธอปรับทุกข์กับผมเรื่องสามีของเธอซึ่งเป็นนายทหาร ว่าวันๆเอาแต่ตั้งวงดื่มสุรากันหัวเราะกันเสียงดังที่บ้านน่าเบื่อชะมัด ผมถามว่าเขาหัวเราะกันเรื่องอะไร เธอตอบว่า
“ก็ตลกมุขเก่าๆของพวกเขานั่นแหละ บางเรื่องเล่าซ้ำเป็นสิบหนแล้วแต่ก็ยังหัวเราะกันอยู่ได้”
ตอนนี้หลังจากไปเยี่ยมเพื่อนคนนี้มา ผมเข้าใจกลไกของมันแล้ว มันเป็นการจำความสุขได้ แล้วเรียกความสุขนั้นกลับมาหา กลไกการมีความสุขมันง่ายๆอย่างนี้นี่เอง
แล้วทั้งหมดนี้มันเกี่ยวอะไรกับจดหมายของท่านผู้อ่านท่านนี้ละคะ?
หิ..หิ สารภาพว่าลืมไปว่ากำลังตอบจดหมาย ตอบว่าเกี่ยวสิน่า มันก็เกี่ยวกันจนได้แหละ คือผมจำท่านเจ้าของจดหมายข้างบนนี้ได้ เพราะเธอเคยมาเป็นนักเรียนคอร์สุขภาพ (TLM camp) ที่มวกเหล็กนานมาแล้ว จำได้ว่าเธอนับถือศาสนาอื่น ไม่ใช่ชาวพุทธ และเธอก็เป็นโรคสาระพัดปวดชนิดที่ต้องทิ้งงานทิ้งการมาเป็นคนง่อยเปลี้ยอยู่กับบ้านทั้งๆที่เป็นคนมีการศึกษาสูงมาก เมื่อเริ่มแรกที่ผมบอกให้เธอฝึกสติแบบฝรั่ง (MBSR) เธอไม่เก็ทเลย แต่เธอยอมไปออกกำลังกายและปรับอาหาร เธอมีอาการดีขึ้นแต่ยังสู้กับอาการปวดไม่ไหว ผมก็ตื๊อให้เธอลองฝึกสติดูหน่อยน่า แล้วผมก็เพิ่่งมาทราบจากจดหมายฉบับนี้เองว่าตอนนี้เธอยอมทำแล้ว และผลมันก็เป็นอย่างที่เธอเล่า คือเธอหายจากอาการสาระพัดปวดได้ จะว่าหายก็ไม่ถูก คือเธออยู่กับอาการสาระพัดปวดได้ แถมนอนหลับดีอีกต่างหาก และในการเขียนบทความส่งท้ายปีเก่าวันนี้ผมตั้งใจจะมอบของขวัญปีใหม่ให้ท่านผู้อ่าน ของขวัญนั้นก็คือสิ่งที่ฝากมาจากเพื่อนรุ่นน้องที่ผมเพิ่งไปเยี่ยมมานี่ไง ว่า..
เรียกความสุขมาหา จำความสุขให้ได้ จำเขาได้แล้วเรียกเขาเมื่อไหร่เขาก็จะมา เมื่อใจเป็นสุขแล้ว ก็จะเกิดสมาธิ เมื่อเกิดสมาธิแล้ว การจะฝึกสติตามดูความเจ็บปวดแบบดูมันเฉยๆ ก็จะทำได้ไม่ยาก และเมื่อดูความเจ็บปวดระดับมะเร็งตับแบบเฉยเลยได้แล้ว ชีวิตในปีใหม่หรือในปีไหนๆต่อจากนี้ไป จะมีอะไรเหลือให้ท่านกลัวอีกละครับ
และเพื่อยืนยันว่าของขวัญปีใหม่ที่ผมนำส่งจากเพื่อนผู้น้องมาให้ท่านนี้เป็นของจริง ไม่ใช่ของเก๊ ผมก็เลยต้องลงจดหมายของท่านผู้อ่านข้างบนนี้เป็นการสำทับไงครับ ว่าเธอผู้เขียนจดหมายนี้ไม่ได้เป็นคนแก่ธรรมะธรรมโมหรือมีบารมีมาแต่ชาติปางก่อนอะไรเลย เธอไม่ใช่ชาวพุทธด้วยซ้ำไป แต่เธอยังเอาไปใช้ได้สำเร็จเห็นผลอยู่ทนโท่ แสดงว่ามันเป็นของจริงนะพะยะค่ะ
Merry Christmas And A Happy New Year 2015
พบกันอีกครั้งหลังปีใหม่ (เมื่อผมสร่างจากน้ำแข็งเปล่าแล้ว)
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์