Latest

หมอน้อยโดนทาบทามเป็นผอ.

อาจารย์สันต์ครับ
ผมนพ. … เป็น intern2 จบจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย … ใช้ทุนประมาณ 1ปี 5 เดือน. ประจำอยู่รพ. … จังหวัด … ได้ประมาณ5 เดือน เป็นแฟนในบล๊อคอาจารย์มานานละครับ เคยอ่านเรื่องก่อนที่เคยเขียน เรื่องหมอน้อยอยากเป็นผอ.รพ. และ กรณีศึกษารพ.ท้ายบ่อ

อยากจะขอเล่าเรื่องราวที่ประสบพบเจอ
เป้าหมายของการทำงานเป็นหมอ ยังอยู่ในช่วงที่ค้นหาตัวเอง ไม่ได้สนใจเรียนต่อด้านใดเป็นพิเศษ ไม่อยากเรียนตามเทรนไม่อยากเรียนตามเพื่อน ต้องค้นหาตัวเองให้ได้ก่อนว่าจะเรียนเพื่ออะไร

ระหว่างที่ใช้ทุนอยู่ รพ. … ผมไม่ทราบหรอกครับว่า รพ.นี้เขาใช้ ผอ.ควบกับอีกรพ.นึงและ ผอ.คนเดียวกันยังเป็นรองสสจ.อีกต่างหาก เรียกได้ว่าสวมสามหัวโขน  ถามว่าทำไมสถานการณ์นี้ขึ้นได้ ขอสรุปเนื่องจาก เมื่อปี 2558 ผอ.คนเก่าของรพ. … มีปัญหาจัดซื้อจัดจ้างกับพ่อบ้านและบริษัทรับเหมา ทำให้สสจ.เข้ามาตรวจสอบ ผอ.คนนั้นจึงขอย้ายกลับภูมิลำเนาเดิม และสสจ.ต้องการเข้ามากำกับดูแลพ่อบ้านใกล้ชิดและหาผอ.คนใหม่ยังไม่ได้ด้วย รองสสจ.คนนี้จึงได้เข้ามาเป็นรักษาการผอ.รพ. …แทนผอ.คนเดิม ระหว่างนั้นแกก็เฟ้นหาดาวรุ่งที่จะมารับงานผอ.ต่อจากรองสสจ. ชวนรุ่นพี่ผมที่อยู่ในรพ. … เดิม4 คน ก็ปฏิเสธส่ายหน้ากันทุกคน เมื่อปี 2559 รุ่นพี่ผมไปเรียนต่อกัน 2 คน และรุ่นผมก็เข้าไปเติม 2 คน ทดแทนกันไป วันแรกที่เจอหน้ากับผอ.แกก็ยิงคำถามใส่ผมว่า สนใจเป็นผอ.มั้ย ด้วยความที่ผมก็ยังค้นหาตัวเองอยู่ผมก็อยากรู้อยากเห็น ไม่เคยสัมผัสหรือพูดคุยกับผอ.รพ.ใกล้ชิดมาก่อน ไม่รู้ลักษณะการทำงาน ไม่รู้ทุกๆอย่าง มันก็ทำให้ผมไปพบกับบทความของอาจารย์2เรื่องข้างต้น

หลังจากนั้นประมาณ3เดือน ก็ได้เจอกับผอ.(เนื่องจากท่านควบสามตำแหน่งจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอ) ท่านกลับมาตามเรื่องของ HA ของรพ.   (เดิมเคยผ่านขั้นที่3เมื่อ ปี 2552 และหลังจากนั้นเปลี่ยนผอ.คนใหม่คนที่มีปัญหาจัดซื้อจัดจ้าง และไม่ได้ทำงาน HA นับแต่นั้นเป็นต้นมาจนปี 2558 ได้เริ่มขอ ประเมิณHA ขณะนี้ผ่านขั้นที่2 จะขอขั้นที่3 ) ผมอยู่รพ.ชุมชน เวลาว่างก็พอมี ไม่เหมือนตอนเป็นกรรมกรแพทย์ตอนใช้ทุนปีแรก ไหนๆก็พอมีเวลาว่าง เราลองเข้าไปค้นหาดินแดนที่เรายังไม่เคยสัมผัส ลองดูก็ไม่ได้เสียหายอะไร คือด้านบริหาร ลองเข้าไปช่วยทีม PCT ผมไม่ได้ทำอะไรมากเลย แต่ทุกคนในทีมรู้สึกดีที่หมอเข้ามามีส่วนร่วม   จนผอ.เหมือนจะเริ่มเห็นคนทำงาน เริ่มสังเกตุว่าผมสนใจ
แต่ผมก็คิดในใจว่าผมยังไม่พร้อม แต่เรื่องอื่นทั้งการเงินบัญชี ผมก็ลองเข้าไปถามเจ้าหน้าที่การเงิน รพ.ให้เขาช่วยอธิบายระบบระเบียบ แต่ผมไม่เข้าใจเลยงงเสียมากกว่า ไม่รู้ว่าผมโง่หรือเจ้าหน้าที่อธิบายผมไม่ถูกกันแน่
ล่าสุดมีการปรับเปลี่ยนนพ.สสจ.คนใหม่  มีโอกาสได้มาเยี่ยมรพ. … แกเอ่ยปากชวนผมเป็นผอ. สงสัยรองสสจ.คนเดิมแกคงชงเรื่องไว้ก่อน ตรงจุดนี้เองผมทั้งตกใจและสัมผัสได้จึงความจริงจัง เดิมที่คิดว่าเขาชวนเล่นๆ. ทำให้ผมเริ่มคิดหนัก เรื่องการเงินบัญชีนี้เองเป็นข้อที่ผมกลัวมากที่สุดเนื่องจาก ผอ.คนก่อนที่อยู่ไม่ได้ก็เพราะมีปัญหาเรื่องนี้ ยิ่งตอกย้ำความกลัว  ความรู้ด้านอื่นๆผมก็ไม่มี ทั้งการตลาด ทั้งบริหารคน บริหารกระบวนการ  ประเมินตนเองคือไม่ผ่าน แต่ไม่รู้ว่าสสจ.ท่านเห็นอะไรในตัวผม หรือคิดว่ามีผอ.มือใหม่ ยังดีกว่าไม่มีซะเลย อาจารย์ช่วยชี้แนะผมด้วยครับ ใจหนึ่งก็รู้สึกไม่พร้อมไม่ไหว. ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าผู้ใหญ่ให้โอกาสมาแล้ว เราจะทิ้งไปแน่ใจหรอ สับสนตัวเองครับ

ปล.หนังสือตำราบริหารโรงพยาบาลผมหาเล่มที่อาจารย์เขียนไม่เจอ

……………………………………………………………………

ตอบครับ

     ก่อนตอบคำถามของคุณหมอ ขอนอกเรื่องหน่อยนะ ประมาณปีพ.ศ. 2523 ผมเป็นแพทย์ฝึกหัด สมัยนั้นเป็นยุคสงครามประชาชน คือคนไทยรบกับคนไทยด้วยกันเอง ผมชอบติดตามพี่เมียซึ่งเป็นหมอรุ่นเดอะที่เป็นคนใจบุญสุนทานและชอบตระเวณไปออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตามบ้านนอกรวมทั้งไปแจกของให้ทหารตำรวจที่เฝ้าป้อมค่ายอยู่ตามป่าเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเอาของไปแจกทหารที่ประจำอยู่ในป้อมค่ายอยู่แถวจังหวัดใกล้ชายแดนเขมรซึ่งมักมีการสู้รบกันดุเดือด เรานั่งฮ. (เฮลิคอปเตอร์)ไปลงกลางป้อมค่าย ซึ่งมีลักษณะเป็นพื้นที่ราวครึ่งสนามฟุตบอล มีกระสอบทรายตั้งเป็นบังเกอร์สูงท่วมหัวรอบด้าน มีหอคอยสังเกตการณ์ มีฐานปืนใหญ่อยู่ตามมุมค่าย ภายในมีคูหลบระเบิดและที่พักทหารซึ่งนอนอยู่ในคู มีทหารอยู่ประจำประมาณห้าสิบคน กลางลานมีรถถังจอดอยู่หลายคันและมีฮ.เก่าๆจอดอยู่อีกลำหนึ่ง รถยีเอ็มซี.อีกสองคัน พอพวกเราตรวจสุขภาพทหารและแจกของเสร็จผมก็คุยกับนายทหารผู้บังคับการค่าย ปรากฎว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มยศร้อยโทเท่านั้นเอง แม้ผิวหน้าจะเกรียมแดดแต่ผมคะเนอายุไม่น่าเกิน 24 ปี ทว่าความรับผิดชอบที่ถูกโยนใส่ให้นั้นช่างมากมายล้นฟ้า แค่ทรัพย์สมบัติของชาติกลางลานนี่ก็คงไม่หนี 100-200 ล้านบาทเข้าไปแล้ว แล้วชีวิตลูกน้องอีกห้าสิบคน และภาระกิจที่ต้องปกป้องพื้นที่ด้านนี้ไว้จากการบุกโจมตีอีกละ โห.. นี่มันเป็นงานระดับชาติทีเดียว มันต้องเป็นงานของนายพันนายพลถึงจะสมกัน ไม่ใช่ทิ้งให้แค่ร้อยโทตัวน้อยๆคนเดียวดูแลอย่างนี้ มาคิดดูแล้ว ระบบการแพทย์และสาธารณสุขของบ้านเราก็เหมือนกับระบบของทหาร คือพวกหมอที่แก่วัดแล้ว (รวมทั้งตัวหมอสันต์) พากันเอาตัวรอดนั่งหุ่ยอยู่ในกรุงเทพ ทิ้งให้หมอน้อยดูแลภาระกิจของชาติที่บ้านนอกคอกนากันไปตามมีตามเกิด

     “..อามิตตาภะ..พุทธะ”

     เอาเถอะ มาตอบคำถามของคุณดีกว่า

     1. ถามว่าไปศึกษาเรื่องการเงินการบัญชี เจ้าหน้าที่การเงินอธิบายแล้วงง เป็นเพราะตัวเองโง่หรือเจ้าหน้าที่อธิบายผมไม่ถูกกันแน่ ตอบว่าเป็นเพราะทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ

      ด้านหนึ่งก็คือพนักงานการบัญชีเธอไม่ได้ถูกสอนมาให้อธิบายอะไรให้ใครฟัง เธอถูกสอนว่าคนอื่นต้องมาอธิบายให้เธอฟังข้างเดียว เพราะฉะนั้นพนักงานบัญชีพันธุ์แท้เวลาอธิบายอะไรให้ใครฟังมันต้องฟังไม่รู้เรื่องจึงจะถูกต้อง

     อีกด้านหนึ่งคือคนที่เรียนหนังสือจบป.ตรีหรือป.โทป.เอกในเมืองไทยนี้ หากไม่ได้เรียนทางบัญชีหรือบริหารธุรกิจ ไม่มีใครรู้เรื่องบัญชีดอกครับ อย่าว่าแต่คนจบสาขาแพทย์เลย เพราะระบบการศึกษาของเราสอนให้เด็กในโรงเรียนทำแต่บัญชีรับจ่าย เรียกง่ายๆว่าบัญชีป.4 คือได้เงินมาเท่าไหร่จดไว้ เอาเงินไปซื้ออะไรจดไว้ สิ้นเดือนแล้วหักลบเหลือเท่าไหร่หากยอดที่เหลือตรงกับเงินในเก๊ะก็ถือว่าถูกต้อง..ปิดบัญชีเดือนนี้ได้ คนที่บริหารหน่วยงานราชการจำนวนมากก็มีความรู้บ้ญชีประมาณนี้ แต่ว่าในความเป็นจริงในการดูแลองค์กรน้้นจะต้องเข้าใจระบบบัญชีเกณฑ์สิทธิ์ (accrue accounting) ซึ่งผมขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดในที่นี้ เอาเป็นว่าเมื่อมาเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลโดยไม่เข้าใจระบบบัญชีเกณฑ์สิทธิ์ ผลก็คือบริหารไปบริหารมาก็มักจะมีจุดจบสองแบบ

     แบบที่หนึ่ง คือ ทำให้โรงพยาบาลเจ๊ง เพราะเจ้าหนี้เฮโลกันมาเก็บหนี้โดยมิได้นัดหมายแล้วไม่มีเงินจ่ายให้เขา ตัวเองต้องรีบย้ายหนีเพราะทนรับหน้าผู้แทนยาที่ตามทวงหนี้ไม่ไหว ทั้งหนี้ที่ตัวเองก่อบ้าง หนี้ที่รุ่นพี่ก่อไว้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้วบ้าง อีรุงตุงนังไปหมด

     แบบที่สอง คือ ตัวเองถูกสอบสวนเพราะลูกน้องยักยอกทรัพย์แล้วตัวเองดันไปเซ็นอนุมัติจ่ายด้วยความเซ่อ แบบหลังนี้มีโอกาสติดคุกฟรีอีกต่างหาก แม้ว่าจะเป็นคนเซ่อโดยบริสุทธิ์ก็ตาม

     2. ถามว่าประเมินตัวเองแล้วว่าไม่รู้เรื่องการบริหารโรงพยาบาล แต่เจ้านายเสนอให้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลควรจะเอาไหม ตอบว่าถ้าเป็นตัวหมอสันต์ละก็..เอาสิครับ ด้วยเหตุผลสองประการ คือ

     ประการแรก ถ้าหมอไม่มีใครยอมเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล แล้วจะเอาลิงที่ไหนมาเป็นผู้อำนวยการละครับ ที่เมืองนอกเขาเอาใครก็ได้มาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล แต่ที่เมืองไทยนี้ไม่ได้ เพราะคนอาชีพอื่นไม่มีใครปกครองหมอได้เนื่องจากหมอพูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง แหะ..แหะ ขอโทษ พูดผิดพูดใหม่ เนื่องจากหมอเป็นอาชีพที่ถูกสอนให้คิดวินิจฉัยและตัดสินใจได้อย่างอิสระ จึงเป็นมนุษย์พันธุ์ปกครองยาก แม้แต่หมอด้วยกันยังส่ายหัวหมอด้วยกันเล้ย จริงแมะ

     ประการที่สอง ที่ว่าไม่มีความรู้แล้วมาทำงานบริหารแล้วมันมีความเสี่ยง ตอบว่าการทำทุกอาชีพมีความเสี่ยงทั้งนั้นแหละ เทียบกันแล้วความเสี่ยงจากการความไม่รู้มันเป็นความเสี่ยงที่บรรเทาได้ด้วยการตั้งใจศึกษาหาความรู้ในขณะที่ทำงาน วิชาบริหารแท้จริงแล้วไม่ได้ยุ่งยากลึกซึ้งเหมือนการทำจรวดไปดวงจันทร์ เป็นแค่เรื่องของการใช้ common sense ซึ่งหากใครใฝ่ใจศึกษาก็จะทำได้ทุกคน วิชาความรู้บางอย่างเช่นการบัญชีมันมีสรุปไว้เป็นหมวดหมู่เป็นตำราเรียนได้ง่ายๆ เราก็ทำไปเรียนไป ลองผิดลองถูกไป ทำทรัพย์ของหลวงเสียหายบ้างก็ไม่เป็นไรหากสิ่งที่ได้มาคือการเรียนรู้ของเราซึ่งจะได้ใช้ทำประโยชน์ให้หลวงต่อไปอีก โหลงโจ้งแล้วมันก็คุ้ม

     3. ถามว่าหนังสือตำราบริหารโรงพยาบาลที่ผมเขียนต้องไปหาที่ไหน ตอบว่ามันเป็นตำราเรียนปริญญาโทการบริหารโรงพยาบาลของมสธ. (สุโขทัยธรรมธิราช) รู้สึกว่าบรรณาธิการจะชื่อดร.พาณี หรืออะไรประมาณนี้แหละ นอกจากนั้นผมยังเคยเขียนอีกเล่มหนึ่งเป็นพ็อกเก็ตบุ้คชื่อ “เคล็ดลับการบริหารงาน” เข้าใจว่าหมดไปจากตลาดแล้วเพราะเขียนไว้ร่วมสิบปีแล้ว อย่างไรก็ตาม ตำราบริหารมีแยะ คุณอ่านเล่มไหนของใครก็ได้ อ่านไปอ่านมาคุณก็จะจับไต๋ได้เองว่าคนเขียนก็ลอกกันไปลอกกันมา อ่านไปกี่เล่มๆก็จะได้สาระหลักที่เป็นแกนกลางคล้ายๆกัน

     4.  ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้ ในการจะเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเล็กๆอยู่บ้านนอกคอกนา อย่าไปดูเบาเจ้าหน้าที่อย่างเช่นพ่อบ้าน หรือพนักงานการเงิน ซึ่งล้วนแล้วแต่เขี้ยวลากดิน เปรียบเป็นมวยก็เหมือนมวยเฮวี่เวทกับมวยไลท์เวท คุณหมอเป็นไลท์เวทนะ อย่าไปปะทะตรงๆเพราะคุณจะถูกน้อคเอ้าท์ปิ๋วไปไม่พ้นยกแรก ให้ค่อยๆวางพื้นฐานของตัวเองไว้ที่เพื่อนร่วมงานกับชุมชนให้แน่นก่อน จริงอยู่การเป็นผอ.เรามีดาบอาญาสิทธิ์คือคำสั่ง แต่การใช้คำสั่งก็ต้องไตร่ตรองรอบคอบ หลักการบริหารตามตำราของตะวันตกก็มีข้อดีอยู่ แต่ให้คุณหมอศึกษาหลักคิดของทางตะวันออกด้วย อย่างน้อยให้ศึกษาซุนวู ซึ่งแตกต่างแต่ practical กว่า ผมยกตัวอย่างบางเรื่องของซุนวู

การวางแผน
“..ยิ่งวางแผนมาก ยิ่งมีโอกาสชนะมาก ยิ่งวางแผนน้อย ยิ่งมีโอกาสชนะน้อย”
“..หลักพื้นฐานห้าประการของการวางแผนคือ การเอาจริงเอาจัง การพลิกแพลงตามสถานะการณ์ การผสมผสานหลายสาขาวิชา การจัดการคน การจัดการเชิงระบบ”

ในแง่ของการพลิกแพลงนั้น ซุนวูกล่าวว่า
“..น้ำเปลี่ยนสภาพไปตามพื้นดินที่ไหลผ่าน กองทัพต้องปรับเปลี่ยนสภาพไปตามศัตรูที่เผชิญหน้า สภาพของน้ำไม่คงตัว สภาพของสงครามก็ปราศจากเงื่อนไขที่คงตัวเช่นกัน ผู้สามารถเปลี่ยนแปรยุทธวิธีให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ของศัตรู ย่อมชนะ”

การบริหารคน
“..ปฏิบัติต่อคนของท่านด้วยความเมตตาแต่ควบคุมอย่างเคร่งครัด ในการฝึกถ้าใช้คำสั่งแน่นอน ไพรพลจะมีระเบียบวินัย ถ้าคำบัญชาของแม่ทัพน่าเชื่อถือ ไพร่พลจะปฏิบัติตาม ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ทัพกับลูกน้องก็จะดำเนินไปด้วยดี”

กลยุทธ์
“..ปัจจัยพื้นฐานห้าประการของการยุทธ์ได้แก่ 1. หลักธรรม หมายถึงการที่อาณาประชาราษฏร์เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับผู้ปกครอง 2. หลักฟ้า หมายถึงกลไกการทำงานของธรรมชาติ ผลแห่งความเย็นในฤดูหนาว ความร้อนของฤดูร้อน ปฏิบัติการทางทหารที่สอดคล้องกับฤดูกาล 3. หลักดิน หมายถึงระยะทางใกล้ ไกล ง่าย ยาก กว้าง แคบ เหตุที่ท้องพระคลังจะแห้งเหือดก็เพราะค้ำจุนการยุทธ์ที่อยู่ห่างไกล 4. หลักบัญชาทัพ หมายถึงคุณสมบัติของแม่ทัพ อันประกอบด้วยปัญญา ความจริงใจ เมตตาธรรม และความกล้าหาญ 5. หลักวินัยทัพ ซึ่งก็คือยุติธรรมแต่เข้มงวด”
นอกจากนี้ยังสรุปกลยุทธ์ไว้อย่างคลาสสิกว่า “..การรบมีอยู่แค่สองอย่างคือรบตรงๆกับรบอ้อมๆ แต่การสลับสับเปลี่ยนระหว่างการรบทางตรงกับการรบทางอ้อมก่อให้เกิดกลยุทธ์มากมายหาที่สุดมิได้”

ข้อมูลข่าวสาร
“..รู้เรารู้เขา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง รู้เราไม่รู้เขา โอกาสแพ้ชนะก้ำกึ่ง ไม่รู้ทั้งเราทั้งเขา รบร้อยครั้งแพ้ร้อยครั้ง”

การบริหารความเสี่ยง
“..เราต้องไม่ทึกทักเอาว่าศัตรูจะไม่มา แต่เตรียมรับมือกับการมาของศัตรูแทน
เราต้องไม่ทึกทักเอาว่าศัตรูจะไม่โจมตี แต่เตรียมตนให้อยู่ในสภาพที่ไม่แพ้แทน นี่คือแก่นแท้ของการมองการณ์ล่วงหน้า”

การบังคับบัญชา
“..ก่อนลงโทษต้องปลูกฝังความจงรักภักดีในหมู่ทหาร มิฉนั้นไพร่พลจะไม่ยอม การลงโทษบ่อยเกินไปแสดงว่าขุนพลกำลังตกที่นั่งลำบาก เมื่อไพร่พลเข้มแข็งกว่าแม่ทัพนายกอง พวกเขาจะไม่เชื่อฟัง เมื่อแม่ทัพเข้มแข็งเกินไป และไพร่พลอ่อนแอเกินไป ผลก็คือความล่มสลาย”

คุณหมอลองเอาไปหัดใช้ดูนะ ขอให้โชคดี และอย่าต้องย้ายหนีเหมือนอย่างพี่ๆเขา

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์