Latest

ขอคำแนะนำการเขียนเจตนารมณ์ก่อนตาย

เรียนคุณหมอสันต์ค่ะ
      ขอขอบคุณคุณหมอ คุณพ่อคุณแม่คุณหมอสันต์ ที่ให้กำเนิด เลี้ยงดูคุณหมอมาอย่างดี ทำให้สังคมได้รับประโยชน์จากคุณหมอมากมาย จริงๆนะคะ ขอบคุณๆๆๆๆ ค่ะ … เข้าเรื่องเลยนะคะ
      ดิฉันสนใจเรื่องการเตรียมตัวตายค่ะ.. ดิฉันอายุ 50 ต้นๆเป็นคนแก่ที่อยู่ตัวคนเดียวค่ะ ไม่มีสามีกวนตัวไม่มีลูกกวนใจ ซึ่งในสังคมดูเหมือนจะมีคนแบบดิฉันมากขึ้นๆ ดิฉันรู้ว่าชีวิตไม่แน่ จู่ๆเป็นอะไรขึ้นมา เงินทองจะแบ่งอย่างไร ศพจะทำยังไง จึงเตรียมความพร้อมด้วยการเขียนพินัยกรรม บริจาคร่างกาย ให้เรียบร้อย
      แต่หากหนังเหนียว ไม่ตายแต่พะงาบๆ ก็ไม่อยากเป็นภาระใคร เลยสนใจจะเขียนเอกสารแสดงเจตจำนงค์ในการรักษาพยาบาล (LIVING WILL)  ที่จะระบุว่า ถ้าเราป่วยและไม่มีสติ เราอยากหรือไม่อยากให้คุณหมอทำอะไรกับเราบ้าง
      ก่อนอื่น ขอเล่าเหตุที่ทำให้ดิฉันอยากลุกขึ้นมาเขียน Living will จริงๆจังๆ เพราะเรื่องของรุ่นน้องค่ะ เธอเพิ่งสูญเสียคุณพ่อไปเพราะโรคมะเร็ง.หลังจากที่เพิ่งเสียคุณแม่ไปเมื่อปีก่อน เธอเป็นลูกคนเดียวค่ะ คุณพ่อเสียไปหลายเดือนแล้วแต่น้ำตาเธอก็ยังไม่แห้งคะ เธอร้องไห้ทุกครั้งที่คิดถึงวันที่เธอเล่นบทพระเจ้า (เธอบอกแบบนั้น) ยอมให้หมอถอดสายที่เจาะคอคุณพ่อออก เธอเล่าว่า มันกดดันมากที่เห็นพ่อถูกมัดมือกับเตียงเพราะท่านดิ้นรนด้วยความทรมานจะถอดสายออกเอง ญาติก็กดดันให้เธอเล่นบทลูกกตัญญูรักษาพ่อต่อ หมอก็มีคำปรึกษาที่คลุมเครือ มีแต่ทางเลือก และทุกคนก็รอคำตอบจาก เธอคนเดียว..เธอบอกว่าคืนนั้นเธอนั่งร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะร้อง ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร ไม่รู้ควรทำอย่างไร ถ้ามีแม่หรือพี่น้องสักคนก็คงดี  ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจปล่อยมือคุณพ่อ..ดิฉันฟังเธอแล้วสงสารจับใจ ใครจะบอกได้ล่ะว่าเราควรทำอะไร…ถ้าคุณพ่อเธอยังมีสติได้บอกแนวทางไว้ ลูกสาวสุดที่รักของคุณพ่อคงไม่ทุกข์ใจเป็นแผลเป็นในใจแบบนี้…เราเกิดมาต้องตายทุกคน แต่ยุค 4 G เราตายกันยากไปรึเปล่า …ดิฉันกลัวสิ่งไม่คาดฝันค่ะ กลัวคนข้างหลังจากลำบากใจ  แต่ดิฉันไม่มีความรู้ทางการแพทย์จึงยังคาใจนิดนึง เกี่ยวกับการเขียน Living will ขอความรู้จากคุณหมอสันต์หน่อยค่ะ
    1.คุณหมอคิดเห็นอย่างไรกับแนวคิดการเขียน Living will  ทำไมต้องระบุไม่ให้หมอทำอะไรบ้าง ในเมื่อคุณหมอก็จะพิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุดแก่คนไข้อยู่แล้ว
    2.ได้เห็นตัวอย่างเอกสาร Living will ของคุณหญิงจำนงศรี(ท่านเผยแพร่ค่ะhttp://www.thailivingwill.in.th/sites/default/files/livingwill_jum.pdf) ระบุว่ากรณีผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นขอปฏิเสธการปั๊มหัวใจ ใส่ท่อช่วยหายใจ หรือหากรับประทานไม่ได้ ก็ไม่ให้เจาะคอ  แสดงว่าการทำเช่นนั้นไม่ได้ช่วยให้เรากลับมามีชีวิตดังเดิมหรือค่ะ  เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมื่อหมอช่วยชีวิตเราด้วยวิธีดังกล่าว เราจะกลับมาและหายป่วยได้ ไม่งั้นหมอจะทำไปทำไมคะ   คือถ้าทำอย่างนั้นแล้วไม่มีประโยชน์ อย่างไรก็จะอยู่อย่างไม่มีคุณภาพ หรือตายอยู่ดี  ก็เห็นด้วยที่จะปฏิเสธการกระทำดังกล่าว
    3. ควรระบุเงื่อนไขแค่ไหนถึงจะพอดี ไม่ตัดโอกาสในการมีชีวิตรอดของเรามากเกินไป
    4. สุดท้ายนี้  ขอความกรุณาคุณหมอสันต์เขียน Living will ตามแนวคิดของคุณหมอ เป็นตัวอย่างให้สักฉบับนะคะ   เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับแฟนคลับคุณหมอที่ดูแลสุขภาพดีแล้ว แต่ก็ต้องเตรียมตัวในวันสุดท้ายเช่นเดียวกัน
ขอบคุณค่ะ

…………………………………………

ตอบครับ

     โอ้โฮ นี่ขอบคุณหมอสันต์คนเดียวยังไม่พอนะ ขอบคุณไปถึงคุณพ่อคุณแม่ของหมอสันต์ด้วย โห.. ขอบคุณคุณแม่ของผมนั้นโอเค.นะเพราะท่านยังอยู่ ผมจะบอกท่านให้ แต่คุณพ่อของผมท่านไปแดนสุขาวดีตั้งแต่ผมอายุ 17 ปีแล้ว ผมจนปัญญาไม่รู้จะส่งข่าวสารให้ท่านได้อย่างไร

     มาตอบคำถามของคุณดีกว่า

     1. ถามว่าในการเขียนเจตนารมณ์ก่อนตาย (living will) ทำไมต้องระบุห้ามไม่ให้หมอทำนั่นทำนี่ด้วย เพราะหมอย่อมต้องเลือกทำสิ่งที่ดีที่สุดกับคนไข้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ตอบว่าที่เขาเขียน living will กันนั้นก็เพราะเขาไม่เชื่อน้ำยาของหมอไงละครับ คนที่เชื่อน้ำยาของหมอไม่มีใครเขียน living will หรอก

     2. ถามว่าในการเขียนเจตนารมณ์ก่อนตายควรระบุเงื่อนไขแค่ไหนจะได้ไม่เสียโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ไปนานๆอีก แหม นี่จะตายอยู่แล้วยังกลัวเสียโอกาสจะได้อยู่นานๆอีกหรือนี่ หิ หิ คนเรา

     แต่เอาเถอะ ผมตอบคุณว่าคุณอยากเขียนอะไรก็เขียนไปเถอะ เพราะหมอเขาจะใช้ดุลพินิจของเขาทับไปบนเจตนารมณ์ของคุณอีกทีหนึ่งอยู่ดี หากหมอเขาเห็นว่าคุณจะเสียหายถ้าเถรตรงทำตามเจตนารมณ์ของคุณ เขาก็ไม่ทำ ตัวผมเองก็เคยเพิกเฉยต่อเจตนารมณ์ก่อนตายของคนไข้มาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะผมวินิจฉัยว่าผู้ป่วยตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าจึงอยากตายผมจึงไม่ยอมทำตาม (ในกรณีนั้นคือจะไม่ให้ใส่ท่อช่วยหายใจ) ผมดันทุรังทำตามใจผมเองและพยายามช่วยให้เธอพ้นจากภาวะซึมเศร้าก่อนหลังจากนั้นแล้วค่อยมาว่ากัน ทุกวันนี้เธอก็ยังมีชีวิตอยู่เดินไปเดินมาได้ เธอจะนึกด่าผมหรือเปล่าผมไม่ทราบ แต่ถึงเธอจะเคืองผมผมก็ไม่ว่า ผมเข้าใจว่าเธอก็อยากจะไปตามทางของเธอ แต่ผมก็จะต้องทำตามหน้าที่ของผม คือตัวเองเห็นว่าทางไหนคนไข้จะได้ประโยชน์สูงสุดก็ต้องเลือกทางนั้น

     ความจริงยังมีอีกครั้งหนึ่ง อันนี้นานร่วมสามสิบปีมาแล้วสมัยที่ผมยังเป็นแพทย์ประจำบ้านอยู่ในเมืองไทยนี่แหละ ผู้ป่วยเป็นทั้งอาจารย์ของผมเอง เป็นหมอ และเป็นเสมือนพี่สาวที่ผมทั้งรักทั้งเคารพสุดหัวใจ เธออยู่ในเครื่องช่วยหายใจพะงาบๆเพื่อรอการเปลี่ยนอวัยวะ เธอพยายามบอกให้ทุกคน (แพทย์) ที่เกี่ยวข้องว่าเธอขอยุติการรักษาแต่ไม่มีใครยอมทำตาม เธอหาโอกาสพูดกับผมตัวต่อตัว(ด้วยวิธีเขียน เพราะมีเครื่องช่วยหายใจอยู่พูดไม่ได้) เพราะเธอรู้ว่าในบรรดาลูกศิษย์ของเธอมีเจ้าสันต์นี่แหละที่ห่ามและบ้ามากที่สุด และผมก็มีพาวเวอร์ที่จะทำอะไรได้เพราะเธอนอนป่วยอยู่ที่ตึกของผมเอง เธอบอกผมอย่าง sincerely ว่าสันต์ให้พี่ไปเถอะ ผมนั่งนิ่งอึ้งกิมกี่อยู่ข้างเธอโดยไม่ยอมพูดจาอยู่เกือบชั่วโมง เธอตีความว่าผมปฏิเสธที่จะช่วยเธอ เธอร้องไห้โฮ โฮ โฮ เพราะผมก็ปฏิเสธเธอจริงๆ ด้วยความเห็นแก่ตัว เพราะผมไม่อยากสูญเสียเธอไป ต่อมาด้วยการช่วยเหลือของบรรดาลูกศิษย์ช่วยกันควานหาอวัยวะทั่วประเทศไทยในที่สุดเธอก็ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ แล้วมีชีวิตอยู่สอนแพทย์ประจำบ้านทำประโยชน์ให้โลกมาได้อีกสองปีแล้วก็เสียชีวิตไปด้วยโรคร้ายนั้น ผมรู้ว่าลึกๆเธอไม่ได้ซาบซึ้งกับการมีชีวิตอยู่ในสองปีสุดท้ายนี้เลย แต่เมื่อพวกลูกศิษย์ปลุกให้เธอฟื้นคืนชีพขึ้นมาเธอก็พูดไม่ออกได้แต่ยิ้มเศร้าๆและใช้ชีวิตเศร้าๆมาตลอดสองปี ตัวผมเองรู้สึกว่ามันเป็นสองปีที่ผมเก็บความรู้สึกผิดเรื่อยมา เราสองคนต่างก็รู้อยู่เต็มอก ว่าผมไม่ใช่เพื่อนตาย นาทีสุดท้ายที่เธอต้องการผม..ผมทิ้งเธอ

     หยุดฟื้นความหลังเศร้าๆมาคุยกันเรื่องของคุณต่อดีกว่า

     เจตนารมณ์ก่อนตายของคนไข้มันมีประโยชน์ตรงที่ว่า เมื่อหมอก็เห็นด้วย ญาติก็เห็นด้วย ว่าการยื้อชีวิตคุณไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าขยับยุติการรักษา เพราะไม่มีใครรู้ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือเปล่า เพราะชีวิตเป็นของคุณ ใครจะกล้าไปยุติการรักษาแบบง่ายๆโดยไม่รู้ว่าตัวคุณจะเอายังไง การที่คุณเขียนเจตนารมณ์ก่อนตายทิ้งไว้ให้หมอเขาใช้เป็นหลักยึด หมอเขาก็จะหยุดการรักษาอย่างสบายใจ ญาติก็ไม่รู้สึกผิด มันมีประโยชน์ในกรณีอย่างนี้ ในแง่ของกฎหมาย หมอเขายุติการรักษาคุณหมอเขาก็ไม่ผิดกฎหมาย เพราะกฎหมาย (พรบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550) เขียนไว้ว่า

     “..มาตรา 12. บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้
     เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดชอบทั้งปวง..”

    3. ถามว่าหมอสันต์เขียนเจตนารมณ์ก่อนตายของตัวเองเป็นแซมเปิ้ลให้ดูหน่อยดิ อ้าว.. นี่แม้กระทั้งจะตายยังจะเลียนแบบคนอื่นอยู่หรือนี่ แต่เอาเถอะ คุณให้ผมเขียน ผมก็จะเขียนให้ดู ดีเหมือนกันเขียนใส่บล็อกไว้เวลาผมเป็นอะไรไปจริงๆลูกเมียเขาจะได้ทำตามนี้ ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์เซ็นใส่ซองให้เปลืองกระดาษ ก่อนที่จะเขียนผมนึกขึ้นได้ถึงเจตนารมณ์ก่อนตายแบบหนึ่งที่ได้ผลชะงัดมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ญาติผู้พี่ท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังถึงเพื่อนของเขาคนหนึ่งอยู่ทางจังหวัดชายทะเลฝั่งตะวันออก เขาทั้งประกาศทั้งเขียนไว้ให้ลูกๆทั้งสามคนทราบแบบชัดเจนว่า

     “..ถ้ากูเป็นอะไรไปแล้วพวกมึงจับกูใส่ท่อหรือปั๊มหัวใจกูขอสาปแช่งให้พวกมึงฉิบหายตายโหงกันให้หมดทุกคน”

     ปรากฎว่าเจตนารมณ์นี้ได้ผลปึ๊ด..ด ดีมากเลย เพราะเมื่อไม่นานมานี้ท่านผู้นั้นเป็นอัมพาตเฉียบพลัน ไม่มีลูกคนไหนกล้าขยับยึกยักแสดงความกตัญญูให้หมอทำอะไรแม้แต่น้อย เพราะกลัวฉิบหายตายโหง ทำให้ท่านได้ตายไปอย่างสบายๆสมใจ

     หิ หิ นั่นเป็นเป็นเจตนารมณ์ของจริง ที่จริงจัง จนไม่มีลูกกตัญญูคนไหนกล้าหือเลย

    คราวนี้มาดูเจตนารมณ์ก่อนตายของหมอสันต์บ้าง เป็นทั้งแซมเปิ้ล และเป็นทั้งของจริงที่ลูกเมียและลูกศิษย์ของหมอสันต์ที่อาจจะต้องมาเป็นหมอรักษาหมอสันต์เอาไปใช้จริงๆได้เลยนะ

หนังสือแสดงเจตนารมณ์ไม่รับบริการสาธารณสุข ของนายสันต์ ใจยอดศิลป์


    หนังสือนี้ทำขึ้นที่ บ้านเลขที่ 204/283 ม.5 ต.มิตรภาพ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 12 มิย. 2560 โดยนายสันต์ ใจยอดศิลป์ ซึ่งต่อไปในหนังสือนี้จะเรียกว่า “ผม” ทั้งนี้ผมขอแสดงเจตนารมณ์ก่อนตายไว้เป็นลายลักษณ์อักษรต่อหน้าพยานในสภาพที่ผมมีสติสัมปชัญญะดีอยูุ่ ดังนี้

     ข้อ 1. ในทุกกรณีที่ไม่ใช่การผ่าตัดที่ผมแสดงเจตนาเลือกรับการผ่าตัดเอง ผมไม่ประสงค์จะให้แพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อช่วยการหายใจ หรือให้แพทย์ปฏิบัติการฟื้นคืนชีพด้วยการกดหน้าอกหรือช็อกไฟฟ้าให้แก่ผม แม้ว่าการช่วยเหลือดังกล่าวจะมีผลให้ผมมีอายุยืนยาวขึ้นหรือมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นก็ตาม ผมก็ยังไม่ประสงค์จะให้แพทย์ทำอยู่นั่นเอง

     ข้อ 2. ในทุกกรณีเมื่อผมหมดสติ หรือเลอะเลือนหลงลืมจนไม่สามารถตัดสินใจรับหรือไม่รับการรักษาใดๆของแพทย์ด้วยตนเองได้ ผมไม่ประสงค์จะให้แพทย์ให้การรักษาใดๆแก่ผมท้้งสิ้น ซึ่งรวมไปถึงการให้ยาทุกชนิด การให้อาหารไม่ว่าจะในรูปของสารละลายหยดเข้าทางหลอดเลือดหรืออาหารบดเป็นของเหลวใส่ผ่านท่อเข้าทางกระเพาะอาหาร แม้ว่าการรักษาเหล่านั้นจะมีผลให้ผมกลับฟื้นคืนมามีชีวิตที่มีคุณภาพได้ ผมก็ไม่ประสงค์จะรับการรักษาเหล่านั้น

    ข้อ 3. ผมต้องการตายอย่างมีสติ ในวาระสุดท้ายของชีวิตเมื่อผมสั่งการอะไรเองไม่ได้แล้ว ผมไม่ประสงค์จะให้แพทย์ให้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางใดๆแก่ผม รวมถึงยาแก้ปวดมอร์ฟีนก็ไม่ต้องให้

     ผมขอขอบคุณทั้งแพทย์และพยาบาลและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆที่ยึดถือปฏิบัติต่อผมตามเจตนารมณ์ก่อนตายของผมนี้ และขอให้ทุกท่านที่ปฏิบัติตามนี้จงมีความสุขสวัสดีในชีวิตของท่านตลอดอายุขัย

   (ลงนาม) …………………………………………..ผู้แสดงเจตนารมณ์
   (ลงนาม) …………………………………………..พยาน
   (ลงนาม) ………………………………………….. พยาน

     ชัดเจนดีไหมครับ วิธีของผมนี้ไม่ต้องเป็นภาระกับคนอยู่หลังเลย คือผมเป็นคนตัดสินใจคนเดียว และเมื่อผมตัดสินใจไม่ได้ ก็ให้เลิกรักษาผมซะ ง่ายดีมาก แต่ว่าการจะเลียนแบบต้องระวัง เพราะวิธีนี้อาจจะเหมาะกับคนบางคนเท่านั้นนะ คือเหมาะกับคนที่

     (1) มีความรู้ที่จะดูแลตัวเองได้ระดับหนึ่ง เรียกว่าเมื่อพ้นมือตัวเองไปเข้ามือคนอื่นก็แทบไม่เหลืออะไรที่ใครจะช่วยได้แล้ว และเมื่อถึงจุดที่ตัวเองดูแลตัวเองไม่ได้แล้วก็ บ๊าย บาย..ย

     (2) ไม่กลัวตาย นั่นหมายถึงว่าต้องเป็นคนที่แก่ได้ที่แล้ว อยู่มานานจนเจนจบชีวิตในโลกนี้แล้ว พร้อมที่จะตายได้แล้ว จะตายเร็วไปหน่อยก็ไม่ว่าอะไร ถึงแม้มีคนเขาอาสาจะช่วยให้ตายช้าลงก็ไม่เอา

    แต่ว่าเขียนไว้สวยหรูประกอบคำแช่งอย่างสุภาพไว้ชัดๆแล้วอย่างนี้ก็ใช่ว่าถึงเวลาจริงแล้วจะได้ตามนี้นะ อนาคตใครจะไปรู้ ถ้าไม่ได้ตามนี้ก็แสดงว่ามันเป็นเพราะกรรมเก่าที่ตัวผมเองเคยทำไว้กับคนอื่น ผมก็ต้องก้มหน้ารับกรรมอยู่ในเครื่องช่วยหายใจ ครืดคราด..ครืดคราด..ครืดคราด จะเนิ่นนานออกไปอีกกี่อสงไขยเวลาก็ต้องยอมรับ ก็จะทำไงได้เล่า เพราะมันเป็น..กรรมเก่าของเราเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์