Latest

กินยาลดความอ้วนขณะท้อง กับการใช้ยาแบบ off label

หนูทานยาลดความอ้วนหลายตัว ได้ถ่ายรูปฉลากทั้งหมดส่งมาให้คุณหมอ เข้าเรื่องเลยนะคะ หนูท้อง แม่แฟนก็คาดโทษว่าถ้าหลานเขาเป็นอะไรไปจะเล่นหนูที่ทานยาเปะปะไม่เลิกจนหนูกลุ้มใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ หนูจึงไปหาหมอที่รพ…. หมอบอกให้หนูหยุดยาลดความอ้วนที่ทานอยู่ทั้งหมด แล้วสั่งให้ทานตัวใหม่ตัวเดียวชื่อ Fluoxetine แต่หนูยังไม่กล้าทาน ข้อแรก หนูอยากทราบว่ายาทั้งหมดที่หนูทานมาก่อนหน้านี้จะทำให้ลูกหนูพิการไหม ตรงนี้กังวลมาก ข้อที่สอง หนูอยากถามความเห็นคุณหมอสันต์ว่าหนูควรทานยาลดความอ้วนที่แพทย์ให้มาไหม

………………………………………………..

     ขอตอบคำถามข้อที่ 2 ก่อนนะ ว่าควรจะทานยา Fluoxetine ลดน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ไหม ตอบว่าการสั่งใช้ยา Fluoxetine ลดน้ำหนักเป็นการสั่งใช้ยาแบบที่วงการแพทย์เรียกว่า off label หมายความว่ายาเขาอนุมัติมาให้ใช้รักษาโรคหนึ่ง แต่หมอเห็นว่ายานี้มีฤทธิข้างเคียงที่รักษาอีกโรคหนึ่งได้  จึงเอาไปใช้รักษาอีกโรคหนึ่งทั้งๆที่เขาไม่ได้อนุมัติมาให้ใช้รักษาโรคนั้น วิธีใช้ยาแบบนี้เป็นการประกอบวิชาชีพที่ผิดวิธี อย่างเช่นยา Fluoxetine นี้เป็นยาต้านซึมเศร้า แต่มีฤทธิ์ข้างเคียงที่ทำให้เบื่ออาหาร การที่หมอเอายาต้านซึมเศร้าไปรักษาโรคอ้วนเป็นการใช้ยาแบบ off label ซึ่งว่ากันตามตัวบทก็คือผิดกฎหมาย ในแง่หลักฐานวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนมากพอ ผมไม่สนับสนุนการกระทำเช่นนั้นเลย และไม่สนับสนุนให้คุณกินยาต้านซึมเศร้าเพื่อลดน้ำหนักด้วย ไม่ว่าคุณจะตั้งครรภ์หรือไม่ตั้งครรภ์ก็ตาม

     พูดถึงการใช้ยาแบบ off label นี้ไม่ใช่เป็นของกิ๊บเก๋เท่ระเบิดอะไร ใครๆก็ทำได้ คนไม่มีความรู้ทำแบบซี้ซั้วก็ยังได้ เพราะไม่ต้องอินังขังขอบถึงหลักฐานวิทยาศาสตร์หรือตัวบทกฎหมายใดๆ พูดถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะ ผมจะเล่าโจ๊กเกี่ยวกับการใช้ยาแบบ off label เป็นโจ๊กนะ อย่าตั้งแง่สงสัยว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เรื่องมีอยู่ว่านานมาแล้วเภสัชหญิงคนหนึ่งเปิดร้านขายยา เธอเป็นคนเจ๊าะแจ๊ะเก่งจึงมีลูกค้าอุดหนุนมาก ไม่มีเวลาแม้แต่จะหยุดไปทำธุระหลังบ้าน แต่บางครั้งอั้นไม่ไหวก็ต้องวานให้เด็กถูพื้นบ้าง เพื่อนที่แวะมาเยี่ยมบ้าง อยู่โยงรับลูกค้าหน้าร้านให้ ครั้งหนึ่งเธอไปทำธุระหลังบ้านแล้วฝากสามีของเด็กถูพื้นซึ่งเป็นคนขับรถให้เฝ้าหน้าร้านแทน พอกลับออกมาก็เห็นว่ามีการซื้อขายยากันไปแล้วเรียบร้อย และลูกค้าก็เพิ่งเดินกระมิดกระเมี้ยนออกไป เธอถามว่า

     “เขาเป็นอะไรมาหรือ” คนขับรถปฏิบัติราชการแทนเภสัชกรตอบว่า

     “เขาไอมานานไม่หายสักทีครับ” เภสัชกรถามต่อว่า

     “แล้วเธอขายยาอะไรให้เขา” คนขับตอบว่า

     “ยาถ่ายดีเกลือครับ แล้วผมให้เขากินเลย” เภสัชกรตาค้าง พอตั้งสติได้ก็ว้ากเพ้ยว่า

     “จะบ้าเหรอ.. ยาถ่ายฤทธิ์แรงแบบนั้นจะไปแก้ไอได้อย่างไร” คนขับตอบว่า

     “ได้สิครับ พอกินยาแล้วเขายืนนิ่ง ไม่ยอมไอเลย”

     (ฮะ ฮะ ฮ่า.. แคว่ก แคว่ก แคว่ก.. ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)

   
     กลับเข้าเรื่อง มาตอบคำถามข้อที่ 1 ของคุณดีกว่า ถามว่ายาที่ฉลากส่งมาให้เป็นกระสอบนั้น กินระหว่างตั้งครรภ์มีอันตรายไหม ตอบว่ายาทั้งหมดที่คุณส่งมา เป็นยาจริงบ้าง เป็นอะไรก็ไม่รู้บ้าง ตัวอย่างส่วนที่เป็นอะไรก็ไม่รู้ก็อย่างเช่นอาหารเสริมตัวหนึ่งของคุณ ฉลากที่ส่งมาระบุส่วนประกอบข้อหนึ่งว่า

     “Capsule No.0 96.00 mg”

     โห..แล้วลิงที่ไหน..เอ๊ย ขอโทษ แล้วหมอที่ไหนจะไปตรัสรู้ได้ละครับว่าแคปซูลเบอร์ศูนย์เนี่ยมันคือสารออกฤทธิ์ในตำหรับยาตัวใด

     ท่านผู้อ่านท่านอื่นอาจจะคิดว่าแล้วหมอสันต์ทำไมมาเสียเวลากับจดหมายไร้สาระแบบนี้นะ แหะ แหะ ตอบว่ามีบ่อยครั้งหมอสันต์ก็ชอบทำเรื่องไร้สาระ แบบว่าชอบหงะ เอาเป็นว่าผมจะตอบคุณเฉพาะยาที่ผมสกัดชื่อจริง (generic name) ออกมาได้นะ ส่วนยาผีบอกที่ผมไม่รู้ชื่อจริงนั้นผมข้ามไปดื้อๆ ผมจะไล่ที่ละตัวนะ

     ตัวที่ 1. Euthyrox เป็นฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ สารออกฤทธิ์ตัวหลักของมันคือ Thyroxine (T4) ในแง่ของการตั้งครรภ์ สารนี้เป็นยา category A หมายความว่าปลอดภัยต่อครรภ์ 100% ดังนั้นในแง่ผลเสียต่อทารกคุณสบายใจได้ว่าไม่มี
      แต่ประเด็นที่น่าทึ่งก็คือใครนะช่างวิตถารเอาฮอร์โมนไทรอยด์มาให้คนดีๆกิน นั่นหมายความว่าจงใจจะให้เขาป่วยเป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ (Hyperthyroid) เพื่อจะได้เกิดการเผาผลาญอาหารมากมากผิดปกติแล้วจะได้ผอมลง แหม คิดได้ไงเนี่ย เพื่อจะขายยาลดความอ้วนแค่เนี้ยะ ถึงกับสร้างโรคให้เขาอีกโรคหนึ่งเลยนะ แล้วคนที่ซื้อกินก็ตกเป็นเหยื่อโดยความไม่รู้หรือตั้งใจจะกินทัั้งๆที่รู้ก็ไม่ทราบได้

     ตัวที่ 2. ไม่มีชื่อยา มีแต่คำโฆษณาว่า “เพิ่มการเผาผลาญขั้นเทพ” เนื่องจากรูปลักษณ์เป็นเม็ด ผมเดาเอาว่าเป็น Amphetamine หรือยาบ้า หรือไม่ก็ methamphetamine ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์กลุ่มเดียวกัน เป็นของผิดกฎหมายร้ายแรงที่นำมาผสมเป็นยาลดความอ้วนขายในชื่อต่างๆทั่วไปทุกวันนี้ แต่ในแง่ที่ว่ากินไปแล้วขณะตั้งครรภ์นั้น สมัยที่ยาตัวนี้ยังใช้กันโดยแพทย์ชอบจ่ายเป็นยาบำรุงสมองนั้น ก็ไม่พบว่าการใช้ระยะสั้นในหญิงมีครรภ์จะเพิ่มอัตราความพิการของทารกแต่อย่างใด ในแง่นี้ให้คุณสบายใจได้

     ตัวที่ 3. Sibutramine (Reductil) ยานี้เคยเป็นยาลดความอ้วนที่แพทย์ใช้ก็จริงอยู่ แต่ได้ถูกเพิกถอนทะเบียนยาไปแล้ว เพราะมีหลักฐานว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในยุโรป ผมเคยได้ยินว่ายังมีแอบขายตามอินเทอร์เน็ตในชื่อ Reductil บ้าง หรือ Reduce-15mg บ้าง ผสมในกาแฟลดน้ำหนักบ้าง ในแง่การใช้ลดความอ้วนมันไม่คุ้มกับพิษของยาต่อการเพิ่มอัตราเสียชีวิตอยู่แล้ว
     แต่ในแง่ของความไม่สบายใจว่ากินยานี้ไปแล้วขณะตั้งครรภ์จะเสียหายมากไหม ยานี้จัดอยู่ใน category C แปลว่ายังไม่เคยมีงานวิจัยในหญิงตั้งครรภ์ แต่หลักฐานจากสัตว์ทดลองก็ไม่เคยปรากฏว่าทำให้ทารกพิการ ตีความได้ว่า เมื่อคุณกินเข้าไปแล้วขณะตั้งครรภ์ น่าจะคิดทางบวกไว้ก่อนว่าลูกของคุณไม่น่าจะเป็นไร

     ตัวที่ 4. อันที่เป็นสีรุ้ง ตัวนี้มันเป็นส่วนผสมของยาขับปัสสาวะ (HCTZ) กับยากระตุ้นหัวใจ (digitalis) ช่างคิดช่างทำกันเสียจริงนะ ยาขับปัสสาวะทำให้น้ำหนักลดฮวบฮาบชั่วคราวจากการสูญเสียน้ำ ขณะที่ยา digitalis ทำให้เบื่ออาหาร เข้ากันดีเป็นผีกับโลง แต่ผมเตือนก่อนนะ การผสมสูตรนี้จะทำให้คนกินตายจากหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ง่ายๆ เพราะยาขับปัสสาวะทำให้สูญเสียโปตัสเซียม ส่วนยา digitalis นั้นพิษของมันก็คือทำให้โปตัสเซี่ยมต่่ำจนหัวใจเต้นผิดจังหวะ ยานี้แม้แต่หมอทั่วไปที่ไม่ใช่หมอหัวใจโดยตรงยังขยาดไม่กล้าใช้รักษาโรคหัวใจเลย แต่นี่คุณเล่นเอามาลดน้ำหนักกันง่ายๆอย่างเนี้ยนะ
     ในแง่ที่คุณกังวล ว่ากินเข้าไปแล้วจะทำให้ลูกพิการไหม ยาคู่นี้มีความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ในระดับ category C เช่นกัน จึงขอให้คุณสบายใจได้ว่าที่ผ่านไปนั้นไม่น่าจะมีผลร้ายอะไรเกิดขึ้น

    สรุปว่าที่กินไปแล้วทั้งหมดไม่มีตัวไหนจะทำให้ลูกพิการ ให้สบายใจได้ แต่ผมแนะนำให้เลิกกินเสียทั้งหมด เพราะความผอมที่คุณจะได้มา มันไม่คุ้มกับโรคใหม่ที่คุณจะได้จากยาพวกนี้

     ถามว่าแล้ววงการแพทย์ไม่มียาลดความอ้วนตัวไหนที่ปลอดภัยพอที่จะแนะนำให้กินได้เลยหรือ ตอบว่ายาที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ลดความอ้วนอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทยและปลอดภัยชัวร์ๆตอนนี้ดูจะเหลืออยู่ตัวเดียวคือ Olistat (Xenical) ซึ่งแพทย์แทบไม่สั่งให้คนไข้เลยเพราะมีฤทธิ์ข้างเคียงทำให้อึเล็ดออกมาเป็นไขมันทางทวารหนัก แต่ถ้าคุณสมัครใจใส่ผ้าอ้อม การใช้ยาตัวนี้ก็ปลอดภัยดีครับ เพราะกลไกการออกฤทธิ์ของมันคือจับกับไขมันในอาหารแล้วพากันออกไปทางทวารหนัก ทำให้อาหารไขมันไม่ถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกาย และตัวยาเองก็ไม่ถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายด้วย

     ยาตัวอื่นซึ่งอย.สหรัฐ (FDA) อนุมัติให้เอาออกมาใช้ใหม่ๆเช่น  lorcaserin (Belviq), phentermine และ topiramate (Qsymia),  และ liraglutide (Saxenda) ยังมีข้อมูลประโยชน์และความเสี่ยงก้ำกึ่งกันมาก หมายความว่าลดน้ำหนักได้จิ๊บจ๊อยมาก แถมข้อมูลความปลอดภัยก็ยังไม่มากพอ ผมจึงแนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงการใช้ยาไปใช้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดีกว่า แต่อาจมีแพทย์ท่านอื่นที่รักษาโรคอ้วนบางท่านใช้ยาเหล่านี้ ซึ่งแล้วแต่ความถนัดความชอบของแพทย์แต่ละคน

     มาตรฐานการรักษาโรคอ้วนของวงการแพทย์แผนปัจจุบันทุกวันนี้ไม่ใช่การรักษาด้วยยา แต่เน้นที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต คือปรับเปลี่ยนอาหาร และปรับชีวิตประจำวันให้มีการเคลื่อนไหวออกกำลังกายมากขึ้น สูตรอาหารก็มีให้เลือกมีให้ลองหลายสูตรแล้วแต่ใครชอบสูตรไหน ผมแนะนำสูตรอาหารที่มีพืชเป็นหลักแบบไม่สกัดไม่ขัดสีไม่ผัดไม่ทอด ((low fat, plant-based whole food) ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไปหลายครั้ง คุณหาอ่านย้อนหลังเอาได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์