Latest

ความเจ็บปวดจะกลายเป็นความเบิกบานชนิดที่ความบันเทิงให้ไม่ได้

เรียนอาจารย์หมอสันต์
ดิฉันอายุ 65 ปี เป็นข้าราชการเกษียณ เป็นมะเร็งตับอ่อน ไม่ผ่าตัด เพราะก้อนใหญ่มากหมอบอกว่าจะผ่าต้องยอมรับความเสี่ยงที่มากถึง 50% ได้เคมีบำบัดแล้วแต่ก็ทนไม่ไหวจึงต้องหยุดกลับมาอยู่บ้าน มีอาการปวด ทุรนทุราย ผลุดลุกผลุดนั่ง ทั้งวันทั้งคืน ได้แต่มองนาฬิกาลุ้นให้ครบสี่ชั่วโมงเพื่อจะถึงเวลาได้กินยาแก้ปวดอีก พยายามไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิก็ไม่ได้เพราะใจมันคอยแต่จะระแวงว่าปวดมากขึ้นหรือยัง เดินจงกรมก็ไม่ไหวเพราะมันปวด ไปรักษาที่… นานหนึ่งเดือนแล้ว แม้จะอ้างว่าเป็นธรรมชาติบำบัดแต่ก็มีการใช้ยาและเก็บเงินมากโขอยู่โดยไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อใด เมื่อบอกว่ามีอาการ ก็มีการเพิ่มยา ไม่ต่างอะไรจากการรักษากับแพทย์ในโรงพยาบาลก่อนหน้านี้ แต่ก็สุดจะหันหน้าไปทางไหนเพราะหากไม่เอาที่นี่แล้วก็เท่ากับความหวังไม่เหลือแล้ว
ปรึกษาคุณหมอสันต์ว่าควรจะทำอย่างไรดี

…………………………………………………………………

ตอบครับ

     จดหมายของคุณไฮไลท์เรื่องความเจ็บปวด วันนี้เราเจาะคุยกันถึงการรับมือกับความเจ็บปวดแบบตรงๆสักทีก็ดีนะครับ

     ความเจ็บปวดกับความบันเทิงต่างก็เป็นประสบการณ์เหมือนกัน ต่างกันที่ระดับการยอมรับของใจเรา หากเรายอมรับ ประสบการณ์นั้นก็เป็นความบันเทิง หากเราไม่ยอมรับประสบการณ์นั้นก็เป็นความเจ็บปวด
   
     คุณอาจจะแย้งว่า

     “ไม่มีใครยอมรับความเจ็บปวดได้หรอก”
   
    ทำไมละครับ คุณเคยลองดูก่อนหรือยัง ลองดูสักครั้งก่อนสิ แล้วคุณจะพบว่าในความเจ็บปวดนั้นมีความเบิกบานชนิดที่ความบันบันเทิงแบบไหนก็ให้ไม่ได้

     คุณอาจจะคิดในใจว่าวันนี้หมอสันต์ท่าจะเป็นบ้าไปเสียแล้ว คุณใจเย็นๆฟังผมก่อนนะ คือในสำนึกว่าเป็นบุคคลของคนเรานี้มีธรรมชาติเสาะหาความสุขและหลีกหนีความเจ็บปวด คือ “อยาก” มีความสุขควบคู่ไปกับ “กลัว” ความเจ็บปวด ความเป็นบุคคลจึงมีแต่ความอยากและความกลัวเป็นธาตุแท้ แต่ว่าแหล่งของความสุขที่แท้จริงนั้นมีอยู่ที่ที่เดียว คือที่ในความรู้ตัว ในที่อื่นนั้นคุณหาไปเถอะ ความสุขนะ ไม่มีวันพบหรอก

     ดังนั้นการจะพบความสุขจึงต้องวางสำนึกว่าเป็นบุคคลทิ้งไปเสีย ถอยไปอยู่ในสำนึกว่าเป็นผู้รู้ตัว การจะหมดสิ้นความเป็นบุคคลได้นี้ ก็ต้องเลิกการเสาะหาความสุขและหลีกหนีความเจ็บปวดให้ได้เสียก่อน เมื่อความเป็นบุคคลหมดสิ้นไปแล้ว ก็จะเหลือแต่ความรู้ตัว จึงจะได้พบกับความสงบเย็นเบิกบานซึ่งอยู่ที่นั่น

     การจะเลิกการเสาะหาความสุขและหลีกหนีความเจ็บปวดให้ได้มีวิธีเดียว คือต้องยอมรับทั้งความสุขและความเจ็บปวดอย่างที่มันเป็น ยอมรับมันทั้งสองอย่าง ยอมรับหมด ยอมรับอย่างลึกซึ้งหมดหัวใจ ยอมรับแบบยอมแพ้ไม่มีเงื่อนไข (surrender) การจำแนกว่าอะไรเป็นความเจ็บปวดอะไรเป็นความบันเทิงไม่จำเป็น ให้ถือว่าทั้งสองอย่างต่างก็เป็นประสบการณ์ชีวิตเหมือนกัน ให้รับเอาทั้งคู่เข้ามา ให้มันต่างก็มาเป็นสีสันในชีวิต สนุกกับมันเมื่อมันอยู่ด้วย ปล่อยมันเมื่อมันจะไป อย่ากอดรัดไว้ ขณะเดียวกันก็อย่าผลักไสหรือปฏิเสธ เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณผลักไสปฏิเสธมันก็เป็นความเจ็บปวด

     ที่ผมว่าในความเจ็บปวดนั้นมีความเบิกบานที่ความบันบันเทิงแบบไหนก็ให้ไม่ได้นั้น กลไกมันเป็นอย่างนี้  อย่างที่ผมบอกแล้วว่าความสุขที่แท้จริงมีที่มาจากที่เดียวคือความรู้ตัว ยิ่งดิ่งลึกลงไปในความรู้ตัว ยิ่งสงบ ยิ่งเย็น ยิ่งเบิกบาน เมื่อใดที่คุณรับรู้ความเจ็บปวดแล้วไม่ต่อต้าน เปิดใจทำความคุ้นเคย ยอมรับความเจ็บปวดอย่างกล้าหาญ ไม่ผลักไสไล่ส่ง ไม่ตะเกียกตะกายหนี รับเอามันไว้เป็นเพื่อน เอาความสนใจลูบไล้ไปรอบๆความเจ็บปวดจนคุ้นเคยกัน และท้ายที่สุดเมื่อสถานะการณ์อำนวยก็เอาความสนใจแทรกเข้าไปสถิตย์อยู่ที่ใจกลางของความเจ็บปวดอย่างผู้สังเกตการณ์ โฟกัส เกาะติด เฝ้าระแวดระวังอยู่ที่นั่น เมื่อนั้นความสนใจจะถูกชักนำให้ดิ่งลึกลงไปในความรู้ตัวอย่างลึกซึ้งเพราะความเจ็บปวดนี้มันมีรากลึก ลึกชนิดที่คนที่ไม่มีความเจ็บปวดรุนแรงจะเข้าถึงความรู้ตัวระดับลึกเช่นนี้ไม่ได้ง่ายๆ ความเจ็บปวดนี้ปกติเป็นของแสลงสำหรับสำนึกในการเป็นบุคคลอย่างยิ่ง การที่สำนึกในการเป็นผู้รู้ตัวยอมรับความเจ็บปวดเป็นการจงใจทิ้งสำนึกการเป็นบุคคลแบบตรงๆซึ่งๆหน้า ผลที่ได้ก็คือความรู้ตัวและความสงบเย็นระดับลึก พลังลบจากความเจ็บปวดนั้นจึงกลายเป็นพลังบวกให้กับความสงบเย็นเบิกบาน ในแง่ของการบรรลุความหลุดพ้น ความเจ็บปวดระดับเอกอุนี่แหละที่จะเป็นเครื่องมือให้คุณบรรลุความหลุดพ้นได้ดีกว่าเครื่องมือใดๆ

     ถ้าคุณลองนำคอนเซ็พท์ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้ไปทดลองปฏิบัติแล้วมันติดขัด ให้หาเวลามาเข้าเรียน MBT สักครั้ง

    นึกว่าจะจบแล้ว ขอต่ออีกนิด เพิ่งนึกขึ้นได้แว่บๆ คือคุณพูดถึงว่าที่คุณต้องไปรักษาธรรมชาติบำบัดก็เพราะต้องเลี้ยงความหวังไว้ เพราะกับโรงพยาบาลคุณก็ไม่เอาแล้ว หากไม่เอาธรรมชาติบำบัดแล้วจะไปหวังจากอะไรที่ไหน ผมแนะนำคุณว่าความหวังนี่มันเป็นตัวร้ายนะ มันเป็นตัวร้ายพอๆกับความกลัวเลยทีเดียว ทั้งความหวังและความกลัวมันเป็นความคิดที่เอาความจำจากอดีตมาชักให้เราจินตนาการถึงอนาคต ถ้าเป็นความจำที่ชอบมันก็ถูกนำมาสร้างเป็นความหวัง ถ้าเป็นความจำที่ไม่ชอบมันก็ถูกนำมาสร้างเป็นความกลัว แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นความหวังหรือความกลัวมันก็ล้วนทำให้เราไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน คือแทนทีจะได้อยู่กับความรู้ตัว กลับต้องไปอยู่กับความคิด

     คุณจะไปรักษาที่ไหนไม่รักษาที่ไหนผมไม่เกี่ยง แต่ขอให้คุณเลิกอยู่กับความคิดมาอยู่กับความรู้ตัวในปัจจุบัน ความคิดอะไรก็ไม่ควรไปอยู่ด้วยทั้งนั้น รวมทั้งความหวังด้วย เพราะถ้าคุณอยู่กับความรู้ตัวหรืออยู่กับปัจจุบันไม่ได้ ไม่มีทางเลยที่คุณจะรับมือกับความเจ็บปวดของคุณได้ คุณจะอยู่ในสภาพพล่านทุรนทุรายเช่นนี้ไปจนตาย เพราะที่ที่คุณจะอยู่กับความเจ็บปวดได้อย่างสงบเย็นและเบิกบานใจมีที่เดียวเท่านั้น คือที่ความรู้ตัวระดับลึกๆนั่นเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์