Latest

บันทึกวันไปทำกิจธุระที่จันทบุรี

     เราขับรถออกจากกรุงเทพฯในวันฝนตก ผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ มาตามถนนมอเตอร์เวย์ พอถึงกม. 71 ก็เลี้ยวซ้ายออกไปตามถนน 344 ไปทางบ้านบึง ถึงบ้านบึงเลี้ยวขวาขึ้นสพานลอยบายพาสไปแกลง ถึงแกลงเลี้ยวซ้ายไปจันท์ แล้วก็มาบรรจบกับถนนสุขุมวิท ณ จุดนี้น่าจะห่างจากเมืองจันทบุรีประมาณ 60 กม. เราใช้เวลาขับแบบต้วมเตี้ยมมาแล้วห้าชั่วโมง นี่เป็นเวลาบ่ายคล้อย แต่ว่าแผนของเราคือจะไปทำธุระวันพรุ่งนี้ วันนี้เราฟรี หาเรื่องแวะโน่นนี่ได้ เราเลี้ยวซ้ายขึ้นสู่ถนนสุขุมวิท แล้วขับผ่านไฟแดงอีกหลายแยก ถึงแยกหนึ่งชื่อแยกเขาไร่ยา มองเห็นป้ายว่าเลี้ยวขวาไปเนินนางพญาซึ่งฟังชื่อเหมือนสถานที่ท่องเที่ยว จึงตัดสิินใจเลี้ยวขวาฟับ ถนนนี้ชื่อเฉลิมบูรพาชลทิต ชื่อเพราะและเข้ามาแล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะมันเป็นถนนเล็กๆที่สะอาดและนำไปสู่หัวโค้งชายทะเลชื่อ “คุ้งวิมาน” พอขับเข้าคุ้งนี้มา สิ่งที่เห็นข้างทางทำให้ผมต้องบอกว่า

คุ้งวิมาน หาดทรายเล็กๆที่สะอาดสะอ้านน่าเดินยามเย็น
     “จอดเดี๋ยว จอดเดี๋ยว”
      เพราะทางขวามือคือหาดทรายเล็กๆที่สะอาดสะอ้านน่าเดินยามเย็น ส่วนทางซ้ายมือเป็นโบสถ์สีขาวทรงโกธิคหลังเล็กๆ  เราจอดรถเดินลงไปชมหาดทรายและทิวทัศน์ยามเย็น แล้วก็เดินข้ามถนนมาอีกข้างหนึ่ง เข้าไปในอาคารที่แต่แรกเข้าใจว่าเป็นโบสถ์ แต่ที่ไหนได้ มันเป็นโรงแรมที่พักเล็กๆเก๋ไก๋ ถอยออกมาเพ่งพินิจให้ดีจึงถึงบางอ้อว่าซีกนี้ของถนนนอกจากโบสถ์แล้วยังมีประภาคาร และห้องแถวไสตล์หมู่บ้านชาวประมงทางยุโรปเหนืออีกด้วย

ไม่ใช่โบสถ์ แต่มันเป็นโรงแรม
     
     ผมเดินเข้าไปในโบสถ์ เอ๊ย..ไม่ใช่ โรงแรม แล้วตัดสินใจซื้อห้องพักไว้นอนคืนนี้ที่นี่เลยโดยไม่ต้องคิดมาก เพราะแค่หาดสะอาดๆให้เดินเล่นหน้าโรงแรมอย่างเดียวก็บรรลุวัตถุประสงค์การมาค้างคืนที่เมืองจันท์คืนนี้แล้ว สนนราคาก็ไม่แพงมาก สามคน สามพันแก่ๆ รวมทั้งอาหารเย็นด้วย
     จองโรงแรมแล้วก็ออกเดินทางสำรวจเมืองจันท์กันต่อไป ไปตามถนนเลียบทะเลนี่แหละ เพราะเมืองจันท์เป็นเมืองริมทะเลไม่เที่ยวตามทะเลจะไปเที่ยวบกเที่ยวเขาที่ไหนละถูกแมะ ขับมาได้อีกอึดใจเดียวก็ถึงหัวโค้งของถนน มีเนินสูงให้จอดรถเดินขึ้นไปชมวิวได้ชื่อ “เนินนางพญา” นั่นเอง 
ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต มองจากเนินนางพญา
เราจอดรถเดินขึ้นไปชมวิวถ่ายรูปหัวโค้งถนน ซึ่งสวยงามแค่ไหนผมพูดก็จะหาว่าโฆษณาเมืองจันท์ ท่านดูรูปเอาเองก็แล้วกัน 
     เราขับต่อไปตามถนนนี้อีก งงเล็กน้อยกว่าจะรู้ว่ามันพาเราอ้อมเขาหลังคุ้งวิมานที่เราจองโรงแรมไว้นั่นเอง หลังเขานี้มีทะเลสาบเล็กๆซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆอีกเหมือนกัน แต่เราไม่ได้แวะจอด เพราะไม่มีไหล่ถนนให้จอดรถ พอจะจอดได้ก็ขับผ่านจุดที่วิวดีๆมาเสียแล้ว จึงเดินหน้าต่อไป
     เป้าหมายต่อไปคือเสาะหาอ่าวคุ้งกระเบน เพราะผมติดใจกับชื่อและเรืื่องราวของโครงการ
ศูนย์ธรรมชาติศึกษา อ่าวคุ้งกระเบน
ปลูกป่าชายเลนที่อ่าวคุ้งกระเบนของพระเจ้าอยู่หัวร.9 เราหลงทางไปออฟฟิศ ซึ่งเขาปิดแล้ว แต่ยามยังไม่ทันกลับบ้าน เขาชี้ทางให้ว่าไปป่าชายเลนต้องไปทางโน้น แล้วเราก็ไปถึงจนได้แม้จะโพล้เพล้แล้ว เป็นสถานที่เงียบสงบและบรรยากาศป่าๆพอควร พอจอดรถได้ก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นป้ายตัวบะเริ่มเขียนว่า..
      “ระวังรถหาย”
     ช่างเป็นป้ายที่สื่อสารได้กินใจกว่าป้ายยินดีต้อนรับทั่วๆไปเป็นไหนๆ เราตั้งใจล็อครถเป็นพิเศษ เพราะค่ำแล้วในฤดูฝนอย่างนี้ไม่มีคนอื่นแล้ว จากนั้นก็พากันไปเดินดูป่าชายเลนและการปลูกไม้ชายเลนชนิดต่างๆ แล้วก็เดินทางกันต่อไป
พระอาทิตย์ตกน้ำที่หาดจ้าวหลาว
     ผมอยากจะถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินที่จันทบุรีไว้สักรูป ดูในกูเกิ้ลแมพแล้วหาดจ้าวหลาวอยู่ไกล้ที่สุด เราจึงขับรถไปที่นั่น และทันได้ถ่ายรูปสมใจ มีชิงช้าของชาวบ้านเป็นโฟร์กราวด์ให้ด้วย
     มืดแล้ว เราตัดสินใจเดินทางกลับโรงแรมโดยไม่ต้องกังวลถึงอาหารเย็น เพราะโรงแรมนี้มีบริการอาหารเย็นแบบเหมารวมอยู่ในค่าห้องด้วย 
     อาหารเย็นวันนี้เป็นปูปลากุ้งหอยตามสูตร แต่ก็มีสลัดให้ทานด้วยสำหรับพวกที่เป็นสัตว์กินพืช อิ่มแล้วก็ไปเดินย่อยอาหารริมหาด มองดูเรือหมึกสีเขียวเรืองแสงออกหากินเป็นแถวทิว แล้วเดินผ่านทางเดินซึ่งทำด้วยไม้หมอนรถไฟไปเข้าที่พัก ซึ่งเป็นบ้านเล็กๆหลังหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านที่ทำเหมือนกับหมู่บ้านชาวประมงที่ 
โรงแรมที่พักออกแบบเป็นหมู่บ้านชาวประมงยุโรป
ไหนสักแห่งในแถบยุโรปเหนือหรือแคนาดา ผมถ่ายรูปมาให้ดูด้วย 
     ตื่นเช้า เราออกไปเดินเล่นและจ๊อกกิ้งริมหาดคุ้งวิมาน กินข้าวเช้าฟรีของโรงแรม อากาศริมทะเลแม้จะเป็นหน้าฝนแต่ก็มีความสดชื่นและความขลังของทะเลดีอยู่ เราจึงหนีห้องแอร์ออกมานั่งกินที่ริมถนนจะได้กลิ่นไอทะเลชัดๆหน่อย พนักงานเสริฟก็ใจดีเสริฟให้เราโดยไม่อิดออด
     อิ่มแล้วก็เดินทางกันต่อไปเพื่อไปทำกิจธุระที่ตั้งใจจะมาทำ เสร็จธุระแล้วยังไม่เที่ยง เรายังไม่เห็นตัวเมืองจันทบุรีเลย จึงขับรถเข้าไปในตัวเมืองเพื่อจะไปดูโบสถ์แคธอลิกซึ่งเป็นอาคารเก่าคู่เมืองนี้มาตั้งแต่สมัยร.4 ผมเคยอ่านบันทึกของ อองรี มูโอต์ (Henry Mouhut) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศษผู้วาดภาพเสก็ตนครวัตตั้งแต่ก่อนยุคมีกล้องถ่ายรูป จนทำให้นครวัตเป็นที่รู้จักของโลก เขาเขียนบันทึกการเดินทางไปเสียมเรียบ
เพดานโบสถ์ซึ่งทำเป็นท้องเรือของโนอาห์ คว่ำลง..เท่ซะไม่มี
ว่าเขาออกเรือจากกรุงเทพ (ในสมัยร.4) มาเข้าปากแม่น้ำจันทบุรี เดินทางรอนแรมด้วยความลำบากในอีกซีกหนึ่งของโลกที่ฝนตกชุกและเต็มไปด้วยป่าไม้โกงกางและก้อนเมฆมองอะไรอย่างอื่นแทบไม่เห็นเลย แต่ทันทีที่ได้เห็นโบสถ์แคทอลิกที่ปากแม่น้ำจันทบุรีนี้เท่านั้นแหละ หัวใจของเขาซึ่งเป็นคริสเตียนก็พองโต
    เราจอดรถที่ข้างโบสถแล้วเดินชมรอบๆ เป็นโบสถ์แบบโกธิคที่ขนาดถ้าไปอยู่ในยุโรปก็จัดว่าเป็นโบสถ์เล็กๆ แต่เมื่อมาตั้งอยู่เมืองไทยและอยู่มาร้อยกว่าปีแล้วอย่างนี้ ผมยกให้เป็นโบสถ์ที่เจ๋งที่สุดในเมืองไทยเลย
เดินข้ามสะพานไปทางเมืองเก่า แล้วมองย้อนกลับมายังโบสถ์
     นอกจากภายในโบสถ์จะมีกระจกให้สีสันแบบโบสถ์โกธิคที่ดีทั้งหลายแล้ว เพดานโบสถ์ยังออกแบบพิศดารซึ่งผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน นั่นคือออกแบบเป็นท้องเรือขนาดใหญ่ของโนอาห์ (Noah’s Arc) แต่ว่าคว่ำลง เขาอนุญาตให้ผมถ่ายรูปด้วย
     ด้านหน้าของโบสถ์มีสะพานเดินข้ามแม่น้ำไปหาเมืองเก่าจันทบุรี เราเดินข้ามสะพานซึ่งเป็นสะพานโค้งสูงไป เมื่อถึงอีกฝั่งหนึ่งแล้วมองย้อนกลับมาเห็นหอคอยคู่ของโบสถ์สูงตระหง่านสวยมากทีเดียว
     ถึงตอนนี้มีเพื่อนผู้หวังดี ซึ่งความจริงก็เป็นแฟนบล็อกซี้ซี้ของหมอสันต์นี่แหละ สองท่านอาสามาพาไปกินก๋วยเตี๋ยวอร่อยในเมืองเก่าจันทบุรี มีหรือผมจะปฏิเสธ เราเดินข้ามสะพานไปแล้วเลี้ยวซ้ายไปสักร้อยเมตร ร้านอยู่ซ้ายมือ เป็นห้องแถวเล็กๆ คนกินกันแน่นร้านทั้งๆที่เป็นวันฝนตก เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำรวมมิตรทะเล ชื่อร้านเจ๊หรือป้าอะไรผมก็ลืมไปเสียแล้ว ต้องกราบขอโทษท่านผู้อ่าน ไม่ได้แกล้งลืม มันเป็นลืม กินเสร็จแล้วจำได้ว่ายังถ่ายรูปหน้าร้านไว้ด้วย แต่ไม่รู้เอากล้องใครถ่าย  เวร..คำเดียวเลยจริงๆ 

เมืองเก่าจันทบุรี ก่อนฝนไล่
     เสร็จแล้วเราก็บอกลาเจ้าภาพผู้อารี แล้วเดินเล่นชมเมืองเก่าจันทบุรีกันเป็นที่เพลิดเพลิน แต่ชมได้ครึ่งเดียวฝนก็กระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตา เราตะเกียกตะกายกลับมาขึ้นรถ แล้วก็บอกลาเมืองจันท์กลับมากรุงเทพฯ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ปล. มีผู้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมมาแล้วว่าเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อเจ๊อี๊ด