Latest

คุณเป็นอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่คุณไม่ได้เป็นอะไร

คุณหมอสันต์ที่เคารพ

     ดิฉันมีคำถามสั้นๆที่รบกวนคุณหมอตอบแค่สั้นๆก็ได้ ว่าตัวดิฉันที่เกิดมานี้จริงๆแล้วฉันคืออะไร ฉันคือใคร ขอถามแค่นี้แหละค่ะ

(ชื่อ) ……………………

…………………………………………………….

ตอบครับ

     หมอสันต์ยืดได้หดได้ คุณถามสั้น ผมก็ตอบสั้นได้

     ถามว่าจริงๆแล้วตัวดิฉันที่เกิดมานี้เป็นอะไร ตอบว่าคุณเป็นอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่คุณไม่ได้เป็นอะไร

     คุณเป็นอะไร คุณเป็นอยู่แล้ว ไม่ต้องไปสืบค้น คุณไม่ได้เป็นอะไรนั่นต่างหากที่คุณต้องสืบค้น เพราะการไม่รู้ว่าคุณไม่ได้เป็นอะไร ทำให้คุณไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไร

     หิ หิ ขออภัย หมอสันต์ไม่ได้กวนโอ๊ยนะ แต่พูดจีจี ขออนุมัติขยายความ..

     เพราะแท้จริงคุณเป็นอะไรนั้น การไปพูดถึงมันในชั้นนี้ไร้ประโยชน์ เนื่องจากสิ่งที่คุณเป็นแท้จริงคือความรู้ตัวซึ่งเป็นความว่าง ตื่น รู้ นั้น มันเป็นของที่จะคิดเอาก็ไม่เข้าใจ จะมองก็ไม่เห็น จะฟังก็ไม่ได้ยิน จะตั้งชื่อให้เป็นภาษาก็ไม่ได้ ดังนั้นในขั้นนี้อย่าไปสนใจว่าแท้จริงแล้วคุณเป็นอะไรเลยเพราะสนใจอย่างไรคุณก็ยังไม่อาจรู้ได้หรอก

    แต่คุณไม่ได้เป็นอะไรต่างหากที่สำคัญ คือคุณไม่ได้เป็นร่างกายนี้ คุณไม่ได้เป็นความคิดที่คุณกำลังคิดอยู่ตอนนี้ คือชีวิตนี้มีองค์ประกอบแท้จริงสามอย่าง คือร่างกาย ความคิด และความรู้ตัว ความรู้ตัวคือตัวเราที่แท้จริง แต่คนเราเมื่อเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วจะจมอยู่กับความคิด ซึ่งผูกพันเกี่ยวโยงกันขึ้นมาเป็นคอนเซ็พท์ เป็นความเชื่อ กลายเป็นความสำคัญมั่นหมาย โดยมีร่างกายนี้เป็นฐานที่มั่น เรียกง่ายๆว่าคนเราเมื่อโตมาแล้วจะจมอยู่ในสำนึกการเป็นบุคคล (identity) หรือเรียกแบบฝรั่งก็คือ “อีโก้” หรือเรียกแบบบ้านๆก็คือ “ตัวกู ของกู” ซึ่งคุณไม่ได้เป็นสิ่งนี้ คุณไม่ได้เป็นบุคคล ตรงนี้นี่แหละสำคัญ คุณจะต้อง “รู้” ว่าคุณไม่ได้เป็นบุคคลก่อน คุณจึงจะรู้ได้ว่าเมื่อคุณไม่ได้เป็นบุคคลแล้วคุณเป็นอะไร

     วิธีที่จะรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นบุคคลนี้ คุณอย่าไปคิดใคร่ครวญเอาตามหลักการของเหตุและผลหรือตรรกะ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องอ่าน ไม่ต้องศึกษา ไม่ต้องทำตัวเป็นนักวิทยาศาสตร์ เพราะการ “รู้” เรื่องชีวิตซึ่งเป็นสิ่งภายใน เป็นคนละเรื่องกับการ “คิด” บนสิ่งเร้าจากภายนอกที่เรารับรู้เข้ามาผ่านอยาตนะทั้งหก การจะ “รู้” ว่าคุณไม่ได้เป็นบุคคลนี้ มันต้องเริ่มด้วยการลงมือ “ไม่เป็น” ก่อน การจะลงมือไม่เป็นนี้คุณต้องมี “ความเชื่อ” ก่อน

     พูดอย่างนี้คุณอาจจะไม่อยากทำตามผมเพราะการเชื่อผมดุ่ยๆจะทำให้คุณกลายเป็นคนโง่พิกล ผมเปลี่ยนคำพูดใหม่ว่ามันต้องเริ่มด้วย “ความกล้าหาญ” ฟังดูเท่กว่าหน่อย กล้าหาญหมายความว่าตรงกันข้ามกับ “ความสงสัย” พูดว่าความสงสัยก็ยังดูดีเกินไป เปลี่ยนใหม่ คำว่าความสงสัยผมเปลี่ยนเป็น “ความขี้ขลาด” ดีกว่า คุณต้องไม่ขี้ขลาด ไม่กลัว ต้องกล้าที่จะเชื่อที่ผมพูดพอที่คุณจะทดลอง “ไม่เป็น” ดูก่อน ทดลองใช้ชีวิตตามความเชื่อใหม่ที่ผมยัดเยียดให้อย่างน้อยสักระยะหนึ่ง กล้าที่จะเข้าไปผจญความไม่รู้ที่ภายในตัวเอง การค้นพบจึงจะเกิดขึ้น ทดลองอย่างผมว่าสามเดือนหกเดือนก็พอไม่ต้องนานถึงขนาดเป็นปีๆ วิธีการคือในการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อคุณเดินไป ให้มองให้ออกว่าคุณมีสองคน คนหนึ่งคือคุณที่เป็นบุคคลนี้ร่างกายนี้ อีกคนหนึ่งคือคุณสมัยที่ยังเป็นเด็กทารกซึ่งมีแต่ความเป็นผู้รู้ตัว มีแต่ความสามารถรับรู้และสังเกตโดยไม่มีความคิด ไม่มีคอนเซ็พท์ ไม่มีความเชื่อใดๆ ให้คุณหมั่นมองชีวิตประจำวันออกมาจากคุณคนที่เป็นเด็กทารกหรือผู้รู้ตัว ที่สังเกตอยู่เฉยๆ ขยันบอกตัวเองว่าร่างกายที่เดินอยู่นี้ ไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ของฉันด้วย เพราะความรู้ตัวไม่มีคอนเซ็พท์ใดๆ คอนเซ็พท์การเป็นเจ้าของจึงไม่ใช่เรื่องของความรู้ตัว มันเป็นเรืื่องของบุคคลซึ่งไม่ใช่คุณ

     สิ่งที่คุณพร่ำบอกตัวเองว่าคุณไม่ได้เป็นบุคคล ไม่ได้เป็นร่างกายนี้ ไม่ได้เป็นความคิดนี้ มันจะถูกเก็บเข้าไปเป็นความจำ แล้วมันจะโผล่ออกมาเป็นการกระทำครั้งใหม่ ซึ่งเป็นวงจรซ้ำซากเช่นเดียวกันกับวงจรการฉายซ้ำของความคิดทั้งหลาย เมื่อมันโผล่ออกมาเมืื่อใดมันก็จะตีกับความคิดเดิมเมื่อนั้น ปล่อยมันทะเลาะกันไป ตีกันไป ท้ายที่สุดก็จะไม่มีความคิดฝ่ายไหนเหลือ เหลือแต่ผู้รู้ตัวที่เป็นเด็กทารกที่เฝ้าสังเกตอยู่ เมื่อหมดความคิด ก็จะเหลือแต่ความรู้ตัว (consciousness หรือ awareness) ซึ่งมีระดับจากหยาบลงไปหาละเอียด จากแคบอยู่กับตัวเอง (individual) ไปหากว้างไม่มีตัวเอง (cosmic) ซึ่งเป็นความรู้ตัวระดับละเอียด ที่ตรงนั้นจะมีพลังเมตตาแผ่สร้านขึ้นมา เมื่อได้สัมผัสความสงบสุขจากพลังเมตตา (Grace) และปัญญาญาณ (intuition) ที่ภายในตัวเองโดยไม่ต้องไปพึ่งสิ่งภายนอกผ่านอายตนะ ความกลัวใดๆที่คุณเคยมีอยู่ก็จะหายไปเอง รวมทั้งความกลัวจะถูกคนเขาตราหน้าว่าเป็นคนโง่ด้วย

     นี่ตอบอย่างสั้น ตามสะเป๊คที่คุณวางไว้นะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์