Latest

ย่ำต๊อก ตรอกกุฎีจีน

ยอดโดมของโบสถ์ซางตาครู้ซ

     วันนี้เพื่อนนัดชวนไปเดินย่ำต๊อกที่ตรอกกุฎีีจีน เรานั่งรถไฟฟ้าออกจากโรงพยาบาลไปถึงสถานีธนบุรีตั้งแต่แปดโมงเช้า แล้วนั่งแท็กซีี่ข้ามสพานสาธรไปทางฝั่งธน ไปลงที่หน้าโบสถ์ซางตาครู้ซ โบสถ์แห่งนี้ฟังว่าเดิมเป็นโบสถ์ไม้สร้างตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสิน (พ.ศ. 2013) บนที่ดินที่พระเจ้าตากสินพระราชทานให้แก่ชาวโปรตุเกสที่ช่วยรบพม่าจนกู้บ้านกู้เมืองได้สำเร็จ ต่อมาโบสถไม้ถูกไฟไหม้ จึงสร้างโบสถ์ปูนขึ้นแทน แล้วต่อมาก็บูรณะเป็นทรงอิตาลี่ล้วนๆอย่างที่เห็นปัจจุบัน ผมถ่ายรูปให้เห็นแต่โดมเพราะสวยงามออกลายยุโรปไม่มีโบสถ์ไหนในเมืองไทยเหมือน

       ตรงหน้าโบสถ์เยื้องไปทางซ้ายมือมีรูปปั้นของเซ็นต์ ฟรานซิส อัสซิซีกำลังเล่นหัวอยู่กับนกพิราป คือสำหรับคนนับถือคริสต์ เซ็นต์ฟรานซิสนี้เป็นคนดังในสองเรื่อง เรื่องที่หนึ่ง คือการเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนยอมให้ใครๆเขาโขกสับถุยน้ำลายใส่แถมขอบคุณเขาอีกต่างหากที่เขามาช่วยให้ตัวเองลดอัตตาตัวเองได้ เรื่องที่สอง ก็คือการเป็นคนมีเมตตากรุณาต่อทุกชีวิตไม่ว่าผู้คนหรือสัตว์ใหญ่น้อย เป็นที่เคารพนับถือของชาวคริสต์มาก เมืองอัสซิซีที่ประเทศอิตาลีมีชื่อเสียงขึ้นเป็นที่รู้จักทุกวันนี้ก็เพราะท่านนี่แหละ แต่ว่าเซ็นต์ฟรานซิสนี้มีสองคนนะ มีโจ๊กฝรั่งเล่าว่าทหารอิตาลี่หนุ่มไปรบ

เซ็นต์ฟรานซิสอัสซิซี

กระโดดร่มลงมาจากเครื่องบิน แต่เจ้ากรรมร่มของเขาไม่กาง เขาจึงร้องอุทานว่า

     “..เซ็นต์ฟรานซิส ช่วยลูกด้วย”

     ฉับพลันก็มีเสียงของพระเจ้าดังก้องห้าวๆทั่วไปในท้องฟ้าว่า

     “..จะเอาฟรานซิสไหนละ 
     ฟรานซิสซาเวียร์ 
     หรือฟรานซิสอัสซิซี”

    ยังไม่ทันทหารหนุ่มอิตาลี่จะหายงงว่าทำไมมีหลายฟรานซิสได้ว่ะ ก็

     “…ป๊าบ..บ…บ”

ศาลาท่าน้ำหน้าโบสถ์ซางตาครู้ซ จั่วไม้ฉลุอย่างเริด

     ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

     คือชาวคริสต์มีนักบุญชื่อฟรานซิสสองคน คนหนึ่งชื่อเซนต์ฟรานซิสอัสซิซีอยู่ทีี่อิตาลี่ อีกคนชื่อเซนต์ฟรานซิสซาเวียร์อยู่ที่สเปญ ดังนั้นหากท่านจะขอพรจากท่านไหนก็กรุณาสะเป๊คให้ละเอียดด้วยจะได้ไม่ผิดพลาด หิ หิ

     จากโบสถ์ซางตาครู้ซเรามุดเข้าตรอกเพื่อเยี่ยมชมชุมชนกุฎีจีน ซึ่งเป็นชุมชนชาวคริสต์นิกายแคทอลิกที่สืบโคตรเหง้าศักราชมาจากโปรตุเกสสหายร่วมรบของพระเจ้าตากสิน ชุมชนนี้ไม่มีทางรถเข้า เพราะถนนในชุมชนมีความกว้างเพียงแค่กางมือออกก็แตะรั้วหรือฝาบ้านทั้งสองข้างซ้ายขวาได้แล้ว ชาวบ้านจึงใช้แต่จักรยาน เพียงแค่นี้ชุมชนก็น่าอยู่แล้วเพราะไม่หนวกหูรถยนต์

เมื่อยกถาดที่ใส่ถ่านไฟแดงๆขึ้น จึงเห็นขนมฝรั่งกุฎีจีน

และอากาศดีไม่ต้องดมควันน้ำมันรถ ยังไม่นับว่าชุมชนนี้แม้จะปลูกบ้านแน่นขนัด แต่สะอาดมากๆ ทำให้น่าอยู่เป็นทวีคูณ

     เรามุดเข้าตรอกแรกเพื่อไปชมการผลิตขนมฝรั่งกุฎีจีน นึกว่าจะไปเห็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดย่อมแบบเอสเอ็มอี. แต่พอโผล่หน้าเข้าไปก็เห็นชาวบ้านสองคนกำลังเอาคีมคืีบถ่านเขี่ยๆถ่านไฟแดงซึ่งวางกระจายอยู่บนถาดสังกะสี ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นห้องผลิตขนมฝรั่ง แต่ยืนดูเก้ๆกังๆอยู่สักครู่น้องผู้ชายที่กำลังเขี่ยถ่านอยู่ก็ยกถาดสังกะสีขึ้นให้ดู อ้อ..อ จึงได้เห็นว่าขนมฝรั่งวางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยกำลังถูกอบอยู่ที่ในตุ่มข้างล่างถาดนั่นเอง อาศัยความร้อนจากถาดลงไปอบให้ขนมสุกและเกรียมหอมน่าทาน เรียกว่าเป็นขนมที่มีการย่างต่างจากที่อื่น คือย่างจากบนลงล่าง ไม่ใช่ย่างจากล่างขึ้นบน

เดินไปตามตรอกแคบๆ ที่มีพุ่มราตรีออกดอกสะพรั่ง

     เราเดินไปตามตรอกแคบๆที่มีพุ่มราตรีออกดอกสะพรั่ง ตามประตูเข้าบ้านนอกจากจะมีตู้ไปรษณีย์บ้าง ถังดับเพลิงบ้าง แดงแจ๊ดแล้ว มักประดับด้วยพระเยซูบนไม้กางเขนหรือไม่ก็กระเบื้องโมเสคคล้ายๆชนบทบ้านนอกในยุโรป เมื่อแอบมองลอดรูเลี้ยวเข้าไปดูุในบริเวณบ้านก็พบว่าแต่ละบ้านมีพื้นที่แคบมากๆแต่ก็ทำสวนส่วนตัวอย่างสวยงาม

    เราเดินมาถึงบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งตัวเองเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนกุฎีจีน เปิดให้เข้าชมฟรี ข้างล่างขายกาแฟและหมวกกันแดด เราคอแห้งได้ที่แล้วจึงตกลงปักหลักนั่งดื่มอะไรกันที่นี่ก่อน ใครจะเดินขึ้นไปดูข้างบนก็ตามสะดวก ผมสังเกตว่าบ้านหลังนี้ก็เหมือนหลังอื่นที่แคบแต่สูงสักสามชั้นได้ เมื่อ

ทับหลังทางเข้าบ้านประดับกระเบื้องรูปเรือสำเภา เท่เชียว

แหงนหน้าขึ้นมองจะเห็นทับหลังประตูทางเข้าประดับด้วยกระเบื้องรูปเรือสำเภาเท่เชียว ชั้นล่างของบ้านตกแต่ง่ายๆแต่กิ๊บเก๋โดยใช้สีขาวของไม้กระดานเป็นไฮไลท์ บริเวณบ้านที่แสนจะคับแคบนั้นทำให้กว้างขึ้นโดยการเปลี่ยนรั้วให้เป้็นรั้วเหล็กโปร่งมองทะลุไปเห็นถนนในชุมชนกว้างราวเมตรครึ่งก่อนจะถึงฝาบ้านของเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม ซึ่งก็ทำให้สนามที่มีขนาดราวสองคูณสองวานั้นดูกว้างขึ้นโข

สวนแคบโล่งขึ้นด้วยรั้วโปร่งมองข้ามถนนไปเห็นฝาบ้านตรงข้าม

เมื่อเดินขึ้นไปเยี่ยมชั้นบนบ้าน เจ้าของบ้านจัดแสดงเรื่องราวประวัติชีวิตของชุมชนกุฎีจีนไว้ได้อย่างสวยงาม มีของเก่าๆที่บอกเล่าชีวิตของคนในชุมชน เสื้อเกราะและปีนใหญ่ของทหารโปรตุเกสที่ร่วมรบกับพระเจ้าตากสิน ปืนใหญ่นั้นผมเดาเอาว่าคงหล่อขึ้นมาใหม่แล้วเอาไปจุ่มขี้โคลนให้ดูเก่า ซึ่งก็เวอร์คดีมาก เพราะดูเหมือนจริงเหลือเกิน มีตราโปรตุเกสลงปีประมาณศตวรรษที่สิบหกด้วย

ปืนใหญ่โปรตุเกสจุ่มขี้โคลน แต่เวอร์คดีมาก

    มีห้องหนึ่งเป็นห้องนอนของเจ้าของบ้านซึ่งเป็นบาทหลวง

เป็นห้องที่เล่าเรื่องโดยการตั้งแสดงข้าวของเครื่องใช้ ตกแต่งด้วยภาพและรูปปั้นเกี่ยวกับศาสนาที่เจ้าของห้องศรัทธา

     อีกห้องหนึ่งเป็นห้องกินข้าว ซึ่งแสดงอาหารเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนกุฎีจีน ก็คืออาหารที่ได้อิทธิพลมาจากโปรตุเกสนั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่ปรุงด้วยมันฝรั่งมีเครื่องเทศและกระทิเป็นตัวชูโรง

ผมเรียกบ้านหลังนี้ว่าบ้านตราไก่ก็แล้วกันนะ เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ไก่ เจ้าของบ้านเล่าว่าไก่มีความหมายสำหรับชาวโปรตุเกส เพราะมีเรื่องเล่าปรัมปราว่าที่เมืองบาเซลูส ประเทศโปรตุเกส นักแสวงบุญบริสุทธิ์คนหนึ่งกำลังจะถูกตัดสินประหารชีวิตข้อหาลักโขมย ผู้แสวงบุญชี้ไปที่ไก่ย่างตรงหน้าผู้พิพากษาว่า

     “ข้าเป็นคนบริสุทธิ์ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของข้า ไก่ย่างในจานของท่านจะลุกขึ้นมาขัน”

     แน่นอนว่า่ผู้พิพากษาไม่เชื่อ หากเชื่อว่าไก่ย่างลุกขึ้นมาขันได้ก็คงไม่มีใครตั้งเป็นผู้พิพากษาแน่ แต่ว่าไก่ย่างตัวนั้นลุกขึ้นมาขัน เอ๊ก อี เอก เอ๊ก จริงๆ นักแสวงบุญผู้นั้นได้รับการปล่อยตัวไป ส่วนผู้พิพากษานั้นเกือบเอาตัวไม่รอดเพราะชาวบ้านจะประชา

แซมเปิ้ลสัตว์เลี้ยงหนึ่งในสี่สิบ

ฑัณฑ์เอา เพราะชาวบ้านประเมินว่าเป็นผู้พิพากษาภาษาอะไรกันไม่รู้ใครบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ต้องรอบารมีไก่ย่างลุกขึ้นมาขันพิสูจน์ หิิ หิ เรื่องนี้เท็จจริงหมอสันต์ไม่ยืนยันนะ เจ้าของบ้านก็ไม่ยืนยัน แต่เธอยืนยันได้ว่าที่เมืองบาเซลูสมีอนุสาวรีย์ไก่ย่างขันได้อยู่

     กำลังจะเดินทางกันต่อไปอยู่แล้ว ผมหันไปขอบคุณเจ้าของบ้านและถามเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าคุณเรียนอะไรมาจึงมีความเป็นศิลปินจัดบ้านได้สวยงามน่ารัก นอกจากแต่งร้านนี้แล้ว บ้านเธออยู่ที่ไหน เธอทำอะไรอีกบ้าง เธอบอกว่าเธอเลี้ยงงู 40 ตัว

     “หา..อะไรนะ คุณเลี้ยงงูสี่สิบตัว”

บ้านบางหลังในกุฎีจีนเก่าและคลาสสิกมาก

     เธอบอกว่าความจริงหลานของเธอเป็นคนชอบงูและเป็นคนเลี้ยง แต่ผมเกิดอยากรู้เสียแล้ว จึงขอไปดูงูซึ่งเธอก็พาไปและหนีบเอาแม่บ้านที่เป็นคนเลี้ยงงูไปด้วย คณะเราจึงได้ทัวร์ฟาร์มงูส่วนบุคคลในชุมชนกุฎีจีนอย่างไม่คาดหมาย มีงูยั้วเยี้ย หลายตัวขนาดเท่าแขนผู้ใหญ่ แม่บ้านบอกว่าเธอต้องอาบน้ำให้งูทุกตัวทุกวัน วิธีอาบน้ำของเธอก็คือเอางูลงมาว่ายในบ่อซีเมนต์เลี้ยงปลา พวกเราได้ยินแล้วขนลุก ทั้งๆที่พวกเราล้วนเป็นคนสอดรู้สอดเห็น แต่ไม่มีใครร้องขอให้เธอสาธิตการอาบน้ำงูให้ดูเลย
   
     ในที่สุดเราก็ได้เดินทางต่อไป เดินเที่ยวตามตรอกแคบๆเข้าซอยนั้นแล้วไปเข้าซอยนี้เป็นที่เพลิดเพลิน แต่ละบ้านมีวิธีตกแต่งหน้าบ้านน่ารักน่าสนใจ ซอกมุมนอกหน้าต่างด้านที่ติดทางเดินร่วมกันก็ตกแต่งเก๋ไก๋น่ารัก บางบ้านประกอบอาชีพทำขนมขายขนม ก็ขนม

มุมบ้านซอกตรอกข้างทางเดินยังอุตส่าห์ตกแต่งแต่งซะน่ารัก

ฝรั่งกุฎีจีนนั้นแหละ พวกเราซื้อกินแล้วอร่อยดีแต่ว่าหวานเจี๊ยบตามสไตล์โปรตุเกส เดินชมตรอกเล็กซอยน้อยต่อไป ทำให้ได้ไอเดียว่าสมมุติฐานที่ว่าคนไทยหากอยู่กันแออัดยัดเยียดแล้วจะกลายเป็นสลัมสกปรกเลอะเทอะนั้น ไม่เป็นความจริง หากเป็นชุมชนของคนที่รู้จักกันดีและส่วนใหญ่มีจิตใจแบบเพื่อนบ้านเกื้อกูลเป็นเบสิกอยู่แล้ว ก็สามารถสร้างชุมชนที่น่าอยู่ขึ้นมาได้แม้พื้นที่จะคับแคบแออัด ซึ่งการมองเห็นความเป็นไปได้นี้เป็นการเปิดโลกทัศน์ของผมเองในการจะสร้างชุมชนผู้สูงอายุแบบพึ่งตัวเองและพึ่งพากันและกันในอนาคต เพราะคนสูงอายุทุกชาติทุกภาษาไม่ชอบอยู่คนเดียวโดดๆเพราะกลัว ขณะเดียวกันก็หากอยู่ใกล้ชิดกันเกินไปก็กลัวเพื่อนบ้านซกมกแบบว่ากองหนังสือพิมพ์เก่าไว้ข้างบ้านและทำราวตากลิงให้ดูยั้วเยี้ย การได้มาเห็นกุฎีจีนทำให้ได้ความรู้ใหม่ว่าแม้จะเป็นคนไทย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป

แล้วเราก็มาถึงบ้านหลังสุดท้ายริมน้ำเจ้าพระยา เป็นบ้านไม้สองชั้น

ขนาดใหญ่ทำด้วยไม้สักทองสลักเสลาทั้งหลัง เห็นปุ๊บผมถึงบางอ้อเลย เพราะว่าหลายปีมาแล้วเพื่อนคนหนึ่งเคยเอารูปบ้านนี้มาให้ดู และเล่าว่าบ้านนี้เป็นของครูเก่าของคุณพ่อ (ของเพื่อน) ซึ่งตอนนี้อายุแปดสิบกว่าแล้วและลำบาก คุณพ่ออยากช่วยเหลือครูแต่ก็ไม่สันทัด เห็นหมอสันต์เป็นคนชอบซ่อมบ้านเก่าเอามาทำนั่นทำนี่จึงชักชวนให้ไปดูเผื่อว่าจะหาทางทำอะไรให้ทุกคนได้ประโยชน์ ผมเห็นรูปแล้วรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นทรัพย์ที่สูงค่าอย่างยิ่ง จึงถามเพื่อนว่าแล้วคุณครูท่านยังสติสตังดีอยู่หรือเลอะเลือนจำอะไรไม่ได้แล้ว เพื่อนหายไปหลายวันแล้วกลับมาบอกว่าคุณพ่อไปเยี่ยมครูแล้วพบว่าท่านเริ่มจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว ผมจึงบอกเพื่อนว่าอย่าให้ผมไปยุ่งกับท่านเลย เดี๋ยวคนเขาจะนินทาว่าหมอสันต์หลอกเอาทรัพย์ของคนแก่ที่เลอะหลงแล้วมาหากิน หลังจากคุยกันได้ไม่นานคุณครูท่านก็เสียชีวิต หลายปีผ่านมาจนถึงวันนี้จึงได้มาเห็นว่าบ้านหลังนี้ทรุดโทรมลงไปกว่าภาพที่เห็นแต่เดิมมาก และดูเหมือนจะกลายเป็นที่อยู่ของคนจรจัดเข้าไปตั้งรกรากกางมุ้งหุงต้ม ผมแอบกังวลนิดๆว่าถ้าเผลอไม่ดับไฟให้ดีจะเป็นแบบโบสถ์ซางตาครู้ซสมัยที่ยังเป็นโบสถ์ไม้หรือเปล่าเนี่ย คิดแล้วก็ได้สติเตือนตัวเองว่าอย่าเที่ยวคิดเรื่องอะไรเปะปะไร้สาระ สนใจเรื่องของตัวเองให้ดีก่อนเหอะ ตัวหมอสันต์กับบ้านหลังนี้ รู้เหรอ ว่าใครจะไปก่อนก้ัน เออ..เออ จริง..จริง ไม่คิดละ จบดีกว่า

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์