Latest

คุณเปลี่ยนอดีตได้นะ โดยการเปลี่ยนตัวเองที่่ปัจจุบัน

กราบเรียนคุณหมอสันต์
    หนูมีความทุกข์กับอดีตที่เปลี่ยนมันไม่ได้ หนูถูก … ของหนูเองทำร้าย หนูขอไม่พูดถึงว่าที่ผ่านมามันทุกข์อย่างไร ตอนนี้หนูแต่งงานมีลูกแล้ว แต่ว่าหนูก็ยังทุกข์กับอดีต หนูรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ผ่านไปแล้ว แต่การที่มันเกิดขึ้นแล้วนั่นแหละทำให้มันเป็นปัญหาต่อหนู เพราะมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว คนที่รู้เห็นเขาก็รู้เห็นไปแล้ว ถ้าเป็นเรื่องในอนาคตหนูยังพอหาทางป้องกันหลบเลี่ยงได้ แต่นี่มัันเป็นอดีตที่เกิดขึ้นแล้ว หนูเปลี่ยนมันไม่ได้ ถ้าหนูย้อนเวลาไปเปลี่ยนมันได้ ชีวิตหนูก็คงจะออกจากความทุกข์นี้ได้ คุณหมอช่วยหนูด้วย มิฉะนั้นอนาคตหนูคงจะต้องจมปลักความทุกข์นี้ตลอดไป และคุณหมออย่าลงชื่อหนูนะคะ
(ชื่อ) …………….
(โทรศัพท์)………

……………………………..

ตอบครับ

     อดีตมีอยู่สองอย่างนะ อดีตอย่างที่หนึ่ง คืออด่ีตที่สายตาของคนอื่นมองเราหรือพิพากษาเราว่าเราเคยเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ ในส่วนนี้คุณอย่าไปพยายามแก้ไขเลย เพราะการดำเนินชีวิตของคนเรานี้หากจะมีชีวิตเพื่อแก้ไขสายตาที่คนอื่นมองเราจากร้ายให้กลายเป็นดีนั้น..อย่าหวังว่าจะสำเร็จและจะเสียชาติเกิดเปล่าๆ หมอสันต์แนะนำว่าใครเขาจะมองว่าเราเป็นอย่างไรนั้นช่างเขา หรือพูดแบบบ้านๆก็คืือ..ช่างมัน

     อดีตอย่างที่สอง ก็คือการที่คุณพิพากษาตัวคุณเอง ภาษาหมอเรียกว่าความรู้สึกผิด (guilty feeling) อันนี้มันเป็นความคิดลบที่คุณต้องเรียนรู้ที่จะวางมันลง ไม่งั้นคุณบ้าได้นะ ที่คนเขาเป็นบ้าๆกันอยู่เนี่ย มีไม่น้อยที่บ้าเพราะความคิดแบบนี้

     ก่อนที่จะไปพูดถึงการวางความคิดลบ ขอผมพูดเพ้อเจ้อซึ่งคุณจะเข้าใจไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรนะ แต่ขอผมพูดหน่อยเหอะ เพราะหมอสันต์นี้ไม่รู้เป็นอะไร พอแก่แล้วก็อยากพูดแต่อะไรที่เข้าใจยากๆ รู้ทั้งรู้ว่าคนอ่านจะโวยวายว่าหมอสันต์เขียนอะไรอ่านไม่รู้เรืื่อง แต่ก็ขอหน่อยนะ

    เรื่องแรกก็คืือ “เวลา (time)” มันเป็นสิ่งที่เราสมมุติขึ้นมา แท้ที่จริงเวลาก็คือความรู้ัตัวหรือจิตสำนึกรับรู้ของเรานั่นเองซึ่งมีธรรมชาติเป็นเดี๋ยวนี้ที่ดำรงอยู่ต่อเนื่องอย่างเป็นนิรันดร แต่พอมันถูกกรองหรือปั้นแต่งด้วยความคิด (thought) มันก็กลายเป็นคอนเซ็พท์แบบว่าหั่นประสบการณ์เป็นท่อนๆแล้วเอามาวางต่อกัน เพื่อให้ความคิดสามารถรับรู้จดจำและจัดลำดับก่อนหลังได้ นั่นเป็นที่มาของเวลา คือปั้นการรับรู้ของเราให้มาอยู่ในรูปของเส้นตรงที่สมมุติเอาว่าลากจากอดีตไปยังอนาคต

     เช่นเดียวกัน “ช่องว่าง (space)” ก็คือความรู้ตัวหรือจิตสำนึกรับรู้อีกนั่นแหละ คือความรู้ตัวนี้เป็นทั้งช่องว่างเป็นทั้งเวลา ในแง่ของการเป็นช่องว่าง ความรู้ัตัวมีธรรมชาติเป็นความว่างกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต แต่พอมันถูกกรองหรือปั้นแต่งด้วยการเห็นและการได้ยิน (perception) มันก็กลายเป็นมิติหรืือคอนเซ็พท์กว้างยาวสูงและรูปทรงต่างๆเพื่อให้ความคิดรับรู้จดจำได้

     แต่ผมแนะนำคุณว่าคุณใช้ประโยชน์จากมันได้แต่อย่าไปเชื่อคอนเซ็พท์ที่ว่าเวลาเป็นเส้นตรงลากจากอดีตไปอนาคตแล้วประสบการณ์ทะยอยเกิดบนเส้นตรงนี้ ผมสอนให้คุณหัดมองเหตุการณ์ในชีวิตเสียใหม่ยังงี้นะ มองเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ว่าเป็นความเป็นไปได้ (probability) เสมือนจุดที่กระจายอยู่บนกระดาษ ไม่ใช่จุดที่เรียงเป็นเส้นตรง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่คุณเรียกว่าอดีต หรืออนาคต ก็เป็นจุดที่ดำรงอยู่บนแผ่นกระดาษนี้เรียบร้อยแล้ว ณ เดี๋ยวนี้ แต่เฉพาะจุดที่คุณเลือกเอามาแต่ละเดี๋ยวนี้เท่านั้นที่จะกลายเป็นประสบการณ์จริงของคุณ ใจของคุณไปเอาเหตุการณ์ที่มีอยู่แล้วบนหน้ากระดาษมาปะติดปะต่อกัน เอาจุดนั้นมาต่อกับจุดนี้ ให้มันเป็นเส้นตรงที่คุณเรียกว่าเวลา นี่เป็นการมองประสบการณ์ชีวิตเป็นเชิงเส้น (linear perspective)  แต่ในความเป็นจริงจิตสำนีึกรับรู้เพียงแค่ย้าย (shift) ไปตามความจริงอันโน้นทีอันนี้ทีทำให้เกิดประสบการณ์ที่เสมือนมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงมีก่อนมีหลัง อุปมาเหมือนเมื่อเอาแสงส่องไปตามภาพต่างๆบนแผ่นฟิลม์ซึ่งเป็นภาพนิ่งแต่ก็มีผลทำให้เกิดเป็นภาพยนตร์ที่เคลื่อนไหวในลักษณะอันนี้เกิดก่อนอันนั้นเกิดหลังขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับจะส่องที่ภาพใหนก่อนภาพไหนหลัง ทั้งๆที่ในความเป็นจริงภาพทุกภาพก็มีอยู่บนแผ่นฟิลม์นิ่งๆพร้อมหน้ากันอยู่ ณ เดี๋ยวนั้นแล้ว

     สิ่งที่คุณเรียกว่าอดีตก็ดี อนาคตก็ดี มันล้วนเป็น “ความคิด” ที่คุณคิดขึ้นที่เดี๋ยวนี้ เพราะประสบการณ์ของคนเรานี้เกิดได้เฉพาะเดี๋ยวนี้เท่านั้น จะไปเกิดเวลาอื่นไม่ได้ เพราะการคิดต้องอาศัยความรู้ตัว หมายความว่าทุกความคิดมีแขนของความรู้ตัวที่เรียกว่า “ความสนใจ (attention)” เป็นส่วนประกอบหลัก เราจะคิดได้ก็เฉพาะที่เดี๋ยวนี้เท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นในหัวเราเดี๋ยวนี้เป็นเพราะเราคิดขึ้นที่เดี๋ยวนี้ จะไปคิดที่เมื่อวานนี้หรือไปคิดที่วันพรุ่งนี้แล้วให้เรื่องมาเกิดในหัวเราเดี๋ยวนี้นั้นเป็นไปไม่ได้

    อะไรจะเกิดขึ้นที่เดี๋ยวนี้บ้างขึ้นอยู่กับคุณจะเลือกจุดไหนบนหน้ากระดาษมาเป็นเดี๋ยวนี้ของคุณ เหมือนแผ่นสไลด์ที่วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะรอให้ครูเลือกว่าจะหยิบแผ่นไหนมาฉายขึ้นจอ สไลด์ทุกแผ่นล้วนเป็นความจริงที่เสนอหน้ามาพร้อมๆกัน (parallel reality) คุณเลือกความจริงอันไหนที่คุณชอบก็ได้ ทุก “อ็อพชั่น” เป็นความจริงทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกหยิบความจริงอันไหนมาเป็นประสบการณ์ของคุณ การเลือกก็คือการย้ายจากการหยิบสไลด์แผ่นนี้ไปหยิบแผ่นโน้น (reality shifting) เท่านั้นเอง ดังนั้น คุณเปลี่ยนตัวเองไปเป็นคนใหม่ที่มีความคิดแบบใหม่ได้ทุกเสี้ยววินาที โดยเปลี่ยนที่เดี๋ยวนี้ เมื่อใดก็ตามที่คุณเปลี่ยนตัวเองเป็นอีกคนหนึ่งที่เดี๋ยวนี้ อดีตของคุณก็จะเปลี่ยนไปด้วย อนาคตของคุณก็จะเปลี่ยนไปด้วย เพราะทั้งอดีตและอนาคตก็อย่างที่ผมบอกแล้วนั่นแหละว่ามันก็คือความคิดที่คิดขึ้นที่เดี๋ยวนี้ แม้คนติดยาเสพย์ติดก็ทิ้งความอยากยาได้ถ้าเขาเปลี่ยนตัวเองเป็นอีกคนหนึ่งทีี่เดี๋ยวนี้ได้ เพราะเมื่อเขาเปลี่ยนตัวเองเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ยุ่งกับยาเสพย์ติดคิดอีกแบบคือแบบไม่เกี่ยวกับยาเสพย์ติด อดีตที่เขาติดยามาก็ไม่มีความหมาย เมื่อความคิดเปลี่ยน ร่างกายซึ่งติดยาอยูุ่ก็เปลี่ยนตาม ที่เคยลงแดงก็กลายเป็นไม่ลงแดง นั่นหมายความว่าเขาเปลี่ยนอดีตของเขาได้ ย้ำ..อดีต เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้นะ เมื่อเปลี่ยนตัวเองเปลี่ยนความคิดที่เดี๋ยวนี้แล้วอดีตก็จะเปลี่ยนไป เพราะอดีตก็คือความคิดที่มองไปจากปัจจุบัน

     ประเด็นสำคัญคือคุณต้อง “เลือก” ที่จะเป็นคนแบบไหนคิดแบบไหน ถ้าคุณไม่เลือก ใครจะเป็นคนเลือกแทนคุณรู้ไหม ก็จิตใต้สำนึกอันได้แก่ความจำเก่าๆหรือความรู้สึกผิดเดิมๆของคุณนั่นแแหละจะเป็นผู้เลือกแทนคุณ สิ่งที่ถูกเลือก จะเป็นความจริงใหม่หรือประสบการณ์ใหม่ที่ถูกดูดเข้ามาหาคุณ คุณคงได้ยินคำพูดที่ว่าเกลียดอะไรกลัวอะไร ก็จะได้เจอแต่สิ่งนั้นอยู่ร่ำไป กลไกมันเป็นอย่างนี้นี่แหละ คือคุณปล่อยให้ความกลัวเป็นผู้เลือกประสบการณ์ที่เดี๋ยวนี้แทนตัวคุณเอง

     พูดถึงอนาคต การเปลี่ยนตัวเราเองที่ปัจจุบันนั่นแหละที่เป็นตัวกำหนดอนาคตโดยไม่ต้องไปเสียเวลากังวลหรืือหวาดกลัวล่วงหน้า เพราะอนาคตก็คือความคิดที่คิดออกไปจากปัจจุบัน หากคุณกลัวอนาคต แสดงว่าคุณปล่อยให้ความกลัวเป็นผู้ใช้เดี๋ยวนี้แทนคุณ คือเลือกที่จะคิดกลัวอนาคตแทนที่จะเลือกใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน คนที่รู้วิธีอยู่กับปััจจุบัน ไม่มีเสียดายอดีต ไม่มีกลัวอนาคต แต่ใช้ชีวิตแบบการเล่นละคร ณ เดี๋ยวนี้อย่างสนุกสนาน โดยพร้อมที่จะเลิกเล่นเมื่อไหร่ก็ได้ ตัวอย่างการใช้ชีวิตแบบนี้คุณแอบเรียนรู้ได้จากเด็กตัวเล็กๆหรือจากลูกของคุณก็ได้ สมัยผมเป็นเด็ก ผมกับเพื่อนๆชอบไปดูหนังโรงบ้านนอกแบบดูฟรีเพราะน้าเขยเป็นสายหนัง ในตำบลเล็กๆที่ไฟฟ้าทั้งตลาดมาจากเครื่องปันไฟเล็กๆเก่าๆเครื่องเดียว กำลังดูหนังสนุกๆไปได้ครึ่งเรื่องไฟฟ้าก็ดับพรึบ แล้วไฟฟ้าที่นั่นสมัยนั้นถ้าดับต้องซ่อมกันเป็นวันๆอย่าว่าแต่จะซ่อมกันเป็นชั่วโมงเลย พอไฟดับ หนังขาด พวกเราเด็กๆก็ อ้าว..ว ไฟดับเสียแล้ว ไปเถอะ พวกเราไปเล่นซ่อนหากันดีกว่า คือพวกเราเด็กๆไม่มีมาอาลัยอาวรณ์กับหนังครึ่งหลังที่เหลือเลย มีแต่ว่าจะใช้เดี๋ยวนั้นอย่างไรให้มันสนุก ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของคุณก็ให้คุณใช้มันแบบเดียวกัน ให้คุณเรียนรู้ที่จะยอมรับและยอมแพ้ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว และพอใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ ณ เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี ไม่ต้องเสาะหาของใหม่ที่ยังไม่มี ไม่ต้องผลักไสของเก่าที่มีอยู่ แล้วคุณจะเอ็นจอยชีวิต เมื่อถึงคราวจะตายก็ตายได้ง่ายๆเพราะไม่มีอะไรเหลือที่ยังเสาะหาไม่พบ ไม่มีอะไรค้างที่ยังทิ้งไม่สำเร็จ

     คุณกับผมไม่ได้ต่างกันเลยนะในแง่ของการมีสิทธิที่จะเลือกเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ที่เดี๋ยวนี้ทุกเดี๋ยวนี้หรือทุกเสี้ยววินาที เปลี่ยนได้ทันทีชั่วดีดนิ้วมือเป๊าะเดียว เพราะคุณกับผมต่างก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนคุณเป็นแมวเสียเมื่อไหร่ สำคัญที่คุณจะใช้สิทธิที่เกิดมาเป็นคนของคุณนี้หรือเปล่าเท่านั้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์