หลากหลายประเด็นเรื่องอาหารของคนเป็นโรคไตเรื้อรัง
กราบเรียนคุณหมอสันต์
ผมเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 4 เคยเป็นนิ่วแล้วทำช็อคเวฟไปแล้ว เป็นเก้าท์ด้วย รบกวนถามเรื่องอาหาร ว่าเป็นนิ่วแล้วจะต้องทานอย่างไรจึงจะไม่เป็นนิ่วอีก จะทานหวานบ้างได้ไหม หมอห้ามทานถั่วและนัทเพราะกลัวฟอสเฟตสูง ต้องงดถั่วตลอดไปเลยใช่ไหม ถ้าห้ามทานถั่ว ทานเต้าหู้ได้หรือเปล่า และในภาพรวมผมควรทานอาหารอย่างไร
ขอบพระคุณคุณหมอครับ
……………………………………
ตอบครับ
ประมาณยี่สิบปีที่ผ่านมานี้โรคหลายโรคเช่นโรคเอดส์ลดจำนวนลงไปมาก บางโรคเท่าเดิม แต่โรคหนึ่งที่เพิ่มขึ้นเร็วน่าตกใจคือโรคไตเรื้อรัง (CKD) เร็วมากจนเพื่อนของผมที่ทำธุรกิจนำเข้าเครื่องล้างไตเข้ามาขายเซ็งลี้ฮ้ออู้ฟู่ไปเลย และเร็วมากจนคนที่ทำมาหาเลี้ยงชีพทางด้านนี้เรียกเครื่องล้างไตว่าเครื่องเอทีเอ็ม. ตอนนี้ในอเมริกาเขาประมาณว่าคนเดินถนนทุกๆ 8 คนจะเป็นโรคไตเรื้อรังเสีย 1 คน สามในสี่ของผู้ป่วยยังไม่รู้ว่าไตของตัวเองกำลังจะเจ๊งแล้ว คนไทยก็คงเป็นโรคนี้มากไม่แพ้กัน คนหนึ่งที่เอาตัวรอดมาได้หวุดหวิดไม่ใช่ใครที่ไหนไกล ก็คือตัวหมอสันต์นี่เอง เรื่องนี้ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเพราะเป็นความลับส่วนบุคคล แต่วันนี้ขอเล่าตรงนี้เสียเลย คือนานหลายปีมาแล้วตอนอายุห้าสิบปลายๆเมื่อผมเริ่มหันมาสนใจสุขภาพตัวเองก็เริ่มตรวจสุขภาพประจำปี ตัวชี้วัดตัวหนึ่งที่ผมแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นก็คือตัวชี้วัดการทำงานของไต (GFR) ซึ่งต่ำอยู่ที่ 61 ซีซี/นาที ใกล้จวนแจจะถูกหมายหัวว่าเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่สามอยู่แล้ว (GFR ต่ำกว่า 60 ถือว่าเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3) ผมเห็นแล้วแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเพราะกลัวความจริง แต่พยาบาลผู้ช่วยของผมเธอหวังดีเอานิ้วชี้จิ้มไปที่ใบรายงานผลให้ดูว่า
“อาจารย์คะ GFR ของอาจารย์ไม่ต่ำไปหน่อยหรือคะ”
ผมทำไก๋ตอบไปทั้งๆที่ใจฝ่อว่า
“ไม่เป็นไรหรอก ผมคงอดน้ำนานไปหน่อย ไว้ครั้งหน้าค่อยตามดูใหม่”
นับตั้งแต่นั้นมาปีแล้วปีเล่าผมก็แอบลุ้นการทำงานของไตของตัวเอง เพราะวัยชราระดับหมอสันต์แล้วเป็นธรรมดาที่ไตจะเสื่อมลงไปปีละประมาณ 5 ซีซี. ผมก็ลุ้นแค่ว่าอย่าให้มันเสื่อมเร็วกว่านี้จนต้องมาล้างไตกันเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้ตายก็แล้วกัน ลุ้นไปๆไปก็ค่อยๆหายใจโล่งขึ้นๆทุกปี เพราะการทำงานของไตของผมดีขึ้นเรื่อยๆ จนเจาะครั้งหลังไม่กี่วันมานี้ขึ้นมาอยู่ที่ 78 ซีซี.แล้ว ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ทำตัวอะไรดีเป็นพิเศษเลยนอกเหนือไปจากการใช้ชีวิตในแนวทางปกติของผม คือ (1) กินอาหารมีผักผลไม้ถั่วและนัทแยะๆ (2) ขยันออกกำลังกาย (3) นั่งสมาธิไม่ให้เครียดหรือไม่ให้บ้า และ (4) พบปะส้ังสรรค์เฮฮากับคนอื่นบ้างนานๆครั้ง ผมทำแค่นี้แหละ ไตมันก็ค่อยๆดีขึ้นของมันเอง
เอาละ คราวนี้มาตอบจดหมายของคุณ
1. ถามว่าเคยเป็นนิ่วด้วย จะกินอาหารอย่างไรไม่ให้นิ่วกลับมาเป็นอีก ผมตอบคุณด้วยงานวิจัยที่ดีชิ้นหนึ่งนะ [1] ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารนิวอิงแลนด์ ในงานวิจัยนี้เขาสุ่มตัวอย่างเอาผู้ป่วยที่เคยเป็นนิ่วในไตแบบคุณนี้มา 120 คน เอามาทดลองกินอาหารสองแบบเปรียบเทียบกัน คือกลุ่มหนึ่งกินอาหารที่มีเนื้อสัตว์ในระดับปกติแต่มีแคลเซียมต่ำ อีกกลุ่มหนึ่งกินอาหารที่มีระดับแคลเซียมปกติแต่ให้ลดโปรตีนจากเนื้อสัตว์ลงเหลือไม่เกินวันละ 52 กรัม ลดเกลือเหลือวันละไม่เกินวันละ 50 มิลลิโมล ผมเรียกกลุ่มหลังนี้ว่ากลุ่มเนื้อน้อยเค็มน้อยก็แล้วกัน แล้วตามดูไป 5 ปีว่าใครจะเกิดนิ่วซ้ำมากกว่ากัน พบว่ากลุ่มที่กินอาหารเนื้อน้อยเค็มน้อยเกิดนิ่วซ้ำน้อยกว่ากลุ่มกินอาหารแคลเซียมต่ำ 49% (12 คนกับ 23 คน) และมีผลึกอ็อกซาเลทออกมาในปัสสาวะน้อยกว่า ดังนั้นจึงสรุปว่าอาหารสำหรับคนเป็นนิ่วในไตที่จะช่วยป้องกันการกลับเป็นนิ่วซ้ำคืออาหารเนื้อสัตว์น้อยและเค็มน้อย
2. ถามว่าคนเป็นโรคไตเรื้อรังจะกินของหวานบ้านได้ไหม ตอบว่าได้นะมันได้อยู่เพราะตำรวจที่ไหนจะไปจับคุณละครับ แต่ว่ามีงานวิจัยอยู่งานหนึ่ง [2] เขาให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังกินอาหารสองแบบเปรียบเทียบกัน ระหว่างอาหารปกติ กับอาหารที่จำกัดน้ำตาล (low fructose diet) นานอย่างละ 6 สัปดาห์ หมายความว่ากินแบบหนึ่งครบหกสัปดาห์แล้วก็ไปกินอีกแบบหนึ่ง พบว่าช่วงที่กินอาหารจำกัดน้ำตาลผู้ป่วยจะมีความดันเลือดลดลงและตัวชี้วัดการอักเสบในร่างกาย (hsCRP) ลดลง พอกลับไปกินอาหารปกติ ทั้งความดันและตัวชี้วัดการอักเสบก็กลับสูงขึ้นเหมือนเดิม ดังนั้นผมแนะนำโดยอาศัยงานวิจัยนี้ว่าคุณเป็นโรคไตเรื้อรัง อยู่ห่างๆน้ำตาลหรือของหวานๆไว้ดีกว่าครับ นอกจากนี้คุณเป็นเก้าท์อยู่ด้วย ยิ่งไม่ควรกินของหวานใหญ่ เพราะงานวิจัยแบบตามดูกลุ่มคน (cohort) [3] พบว่าการดื่มเครื่องดื่มใส่น้ำตาลเพิ่มทำให้ความเสี่ยงของการเป็นเก้าท์มากขึ้น
3. ถามว่าหมอห้ามกินถั่วเพราะฟอสฟอรัสจะสูงต้องงดถั่วไปเลยใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่ครับ คนเป็นโรคไตเรื้อรังกินถั่วได้ ความกลัวโปรตีนจากพืชโดยเฉพาะถั่วในหมู่แพทย์ที่รักษาผู้ป่วยโรคไตมาจากความกลัวการคั่งของฟอสฟอรัส (P) หรือฟอสเฟตในร่างกายผู้ป่วยนั้นเป็นความกลัวดั้งเดิมที่ไม่มีรากฐานอยู่บนการคาดเดาว่าในเมื่อถั่วและนัทเป็นอาหารที่มีฟอสเฟตสูง กินเข้าไปแล้วก็คงจะไปทำให้ฟอสเฟตในร่างกายสูงด้วย ซึ่งไม่ใช่หลักฐานวิทยาศาสตร์ระดับที่จะเชื่อถือและเอามาใช้ในคนได้จริงๆ ของจริงคือได้มีงานวิจัยในคนที่จะตอบคำถามนี้ได้แล้ว งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสารคลินิกสมาคมโรคไตอเมริกัน [3] ซึ่งพิสูจน์ได้ด้วยวิธีแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม ยกแรกให้กินคนละแบบคือกลุ่มหนึ่งกินโปรตีนจากสัตว์อีกกลุ่มหนึ่งกินโปรตีนจากพืช แล้วยกที่สองไขว้กัน (cross over) คือต่างกลุ่มต่างย้ายไปกินของกลุ่มตรงข้าม สรุปได้ผลว่าในน้ำหนักโปรตีนที่เท่ากัน ในช่วงที่คนกินโปรตีนจากพืชเป็นหลัก จะมีระดับฟอสเฟตในเลือดและในปัสสาวะต่ำกว่าในช่วงที่คนๆนั้นกินโปรตีนจากสัตว์เป็นหลัก ทั้งนี้คาดว่าเป็นเพราะโปรตีนจากพืชอยู่ในรูปของไฟเตท (phytate) ซึ่งดูดซึมสู่ร่างกายมนุษย์ได้น้อย ความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ได้จากห้องปฏิบัติการก็คือหากวิเคราะห์สัดส่วนฟอสเฟตต่อโปรตีนในอาหารโปรตีนจากสัตว์เทียบกับอาหารธัญพืชแล้ว อาหารธัญพืชมีสัดส่วนฟอสเฟตต่อโปรตีนต่ำกว่าโปรตีนจากสัตว์ ดังนั้น ตามหลักฐานทั้งสองอย่างนี้ อาหารโปรตีนจากพืชกลับจะดีกว่าโปรตีนจากสัตว์ในแง่ที่ลดการคั่งของฟอสเฟตได้ดีกว่าเสียอีก