Latest

การจุ่มแช่อยู่ในเซ็กซ์..เซ็กซ์.. เซ็กซ์

สวัสดีครับหมอสันต์
ผมมีปัญหาที่รู้สึกว่าค่อนข้างน่าอายครับ ไม่กล้าปรึกษาใครเลย คือผมคบกับแฟนมาเกือบ1ปี เรายังวัยรุ่นทั้งคู่ อายุยี่สิบต้นๆ แน่นอนครับว่าระหว่างคบกัน มันต้องมีเรื่องอย่างว่าครับ แต่ตอน 6 เดือนแรก ผมไม่มีอะไรกับเขาเลยนะครับ เขาบอกยังไม่พร้อม เร็วไป อยากรู้จักนิสัยใจคอให้มากกว่านี้ก่อน ผมก็okครับ ผมgentlemanพอ เธอคนนี้ถูกสเปคผมหมดครับ  ทีนี้ปัญหาเริ่มมีหลังจากมีเรื่องอย่างว่าแล้วเนี่ยหละครับ พอมันมีครั้งแรก ก็ต้องมีอีกเรื่อยๆๆ ผมพูดตรงๆว่ามีความสุขมากครับ ถ้าได้เจอกันทีไรแล้วบรรยากาศได้ผมมีอารมณ์ตลอด แรกๆเธอก็ยอมผมครับ เป็นอย่างนี้ไปอีกประมาณ 3เดือนครับ(แต่ใน3เดือนนี้ ไม่ได้มีทุกวันนะครับ เหนื่อยเกิน55) หลังจากนั้นเธอเริ่มเปลี่ยน ไม่ยอมมาเจอผมง่ายๆบอกว่าติดธุระบ้าง ไปกับเพื่อนกับครอบครัวบ้าง ทำตัวไม่ว่างทั้งที่ก่อนหน้านั่นถึงจะยุ่งแต่เธอก็หาเวลามาเจอผมได้  เช่นเดิมครับผมก็พยายามเข้าใจ ปากบอกเข้าใจแต่ฮอร์โมนมันพลุ่งพล่านครับ มีวันนึงเธอมาที่ห้องผม ผมก็… ตามประสาผู้ชายอะครับ เข้าไปกอด เธอก็เอามือผมออก แล้วอยู่ๆก็บอกว่าแค่มาหาเฉยๆ ถ้าจะต้องมีอย่างว่าจะไม่มาหาอีกแล้ว เธอบอกไม่อยากมีอะไรแบบนี้ รู้สึกว่ามันไม่ควร เธอรักพ่อรักแม่ …..ช็อคสิครับ มันไม่ควรแล้วก่อนหน้านี้ยอมผมทำไม อยู่ๆจะกลับไปโหมดใสๆ คือถ้าจะเป็นแบบนี้จะมาคบผม ทำให้ผมรักทำไม  แต่ผมยังรักเค้าอยู่ เลยยอมไม่มีอะไรด้วยครับผ่านไปอีกเดือนกว่า(นานมากในตอนนั้น) ผมพยายามทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ไม่แตะเนื้อต้องตัว อย่างมากแค่จับมือ ผมเริ่มอึดอัดละครับ คือผมพยายามเข้าใจเค้านะ คิดว่ามันคงบ่อยไป เธออาจรู้สึกยอมผมง่ายไปก็ได้ แต่ผมยังวัยรุ่น ฮอร์โมนผมมันไม่เข้าใจ พุ่งพล่านมากเวลาอยู่ใกล้กัน  หมอว่าแบบนี้มันผิดที่ผมมีอารมณ์บ่อยไปหรือเขาไม่ควรมาคบผมตั้งแต่แรกครับ
ตอนนี้ผ่านมาอีกเกือบเดือน รวมแล้วจะ2เดือนอยู่ละ คิดดูครับผมยอมนานขนาดนี้ คือถ้าผมอยู่เป็นโสด ผมไม่มีเรื่องแบบนี้เป็นปีๆอยู่ได้สบายครับ แต่พอมีแฟนมันก็คิดถึง โหยหาต้องการเป็นธรรมดา ไม่ใช่เด็กใสๆละครับ แต่เธอก็ยังรักผมอยู่ แต่ไม่ยอมมี…. มาสักพักแล้ว  ผมอึดอัดกับความสัมพันธ์แบบนี้ครับผมควรคุยกับแฟนตรงๆไหมครับ
แล้วถ้าคุยแล้วเขายังยืนยันเหมือนเดิม ผมควรทำไงดี เลิกเลยมั้ยครับ เห้ออ ตอนหมอเป็นวัยรุ่นหมอจัดการตัวเองยังไงครับ แล้วหมอว่าเป็นเพราะผมอยากบ่อยไปไหมครับ คือพอคบกันความสัมพันธ์แบบแฟน ผมต้องมีอะครับ ทีแรกก็ไปกันได้ อยู่ๆมาหักโหมดเป็นใสๆ ผมเซ็งเลยครับ

……………………………………

ตอบครับ

     1. ถามว่าแฟนของคุณคบกัน กำลังมีเซ็กซ์กันหนุกๆได้ไม่กี่เดือนแล้วเธอก็หยุดกึก เธอทำอย่างนี้ทำไม ทำกับคุณได้อย่างไร เพราะก่อนหน้านั้นคุณก็อยู่ของคุณดีๆ ไม่มีเซ็กซ์ก็ไม่ตาย แต่มาทำอย่างนี้คุณอยู่ต่อไปโดยไม่มีเซ็กซ์ไม่ได้แล้ว ตอบว่า เธอก็เหมือนคุณซึ่งถูกสัญชาติญาณขับดันให้เสาะหาเซ็กซ์ เมื่อได้มีเซ็กซ์แล้ว เธอต่างจากคุณตรงที่เธอเรียนรู้แล้วสรุปได้แล้วว่ามันคืออะไรแค่ไหนแล้วเธอเดินหน้ากับชีวิตของเธอต่อไปโดยไม่หมกมุ่นจุ่มแช่อยู่แค่นี้ ส่วนคุณนั้นพอได้มีเซ็กซ์แล้วคุณหมกมุ่นจุ่มแช่ไปไหนไม่รอด โหยหาแต่เซ็กซ์ เซ็กซ์ เซ็กซ์ เท่านั้น

     2. ถามว่าการที่แฟนคุณหายหน้าไป หลบเลี่ยงไม่ยอมมาพบมาหา หมายความว่าอย่างไร โธ่ พ่อหนุ่ม เอ๋ย ทำไมอายุตั้งยี่สิบกว่าแล้วยังช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน ก็หมายความว่าเธอกำลังจะถีบ..บคุณทิ้งนะสิครับ

     3. ถามว่าเธอกลับมาหา แต่พอคุณดี๊ด๊าจะมีเซ็กซ์ด้วยเธอสะบัดปฏิเสธ หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่าเธอกลับมาเพราะเธอยังรักคุณที่เป็นคนดีในสายตาของเธออยู่ แต่ขณะเดียวกันก็มาเพื่อชั่งน้ำหนักว่าคุณยังหมกมุ่นอยู่ในบ่วงของเซ็กซ์จนถอนตัวไม่ขึ้นอยู่หรือไม่ ถ้าคุณยังจมอยู่ตรงนั้น เธอจะได้ตัดใจถีบคุณทิ้งไปอย่างไม่อาลัยใยดีเสียที เพื่อให้ชีวิตของเธอไม่ถูกคุณลากมาจมปลักเซ็กซ์ไม่รู้จบนี้ด้วย

     4. ถามว่าคุณกำลังเสี้ยนและโหยหา แฟนก็ไม่ยอม จะทำอย่างไรดี เลิกกับเธอไปหาใหม่เสียดีไหม ตอบว่าคุณต้องประเมินตัวเองแล้วเลือกทางใดทางหนึ่งในสองทาง คือ

     ทางเลือกที่หนึ่ง ถ้าประเมินว่าความร้อนรนในเรื่องเซ็กซ์นี้มันสุดทรงพลังและคุณต้องศิโรราบมอบชีวิตของคุณให้มัน แนะนำว่าให้คุณบอกเลิกกับเธอไปตรงๆ ว่า

     “..การคบกันนี้ผมต้องการมีเซ็กซ์ เมื่อคุณไม่อยากหมกมุ่นกับเซ็กซ์ผมเข้าใจคุณ แต่ผมทนไม่ไหว เราก็แค่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็พอนะ ผมจะได้ไปคบผู้หญิงคนใหม่ที่เขามีความต้องการมีเซ็กซ์ เซ็กซ์ เซ็กซ์ เช่นเดียวกับผม”

     แล้วคุณก็ไปเสาะหาผู้หญิงคนใหม่ จะให้ดีก่อนจะเริ่มความสัมพันธ์ใหม่คุณคุยกับคนใหม่ให้จะแจ้งว่า
   
     “มิชชั่นในชีวิตของผมคือเซ็กซ์ เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง โอเค้.?”

     ถ้าไม่พูดกันเสียก่อนอย่างนี้คุณก็จะเจอปัญหาแบบเดิมอีก กรณีคุณหาผู้หญิงในสะเป๊คนี้ไม่ได้ ถ้าเป็นสมัยผมหนุ่มๆผมจะแนะนำให้คุณอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในหมู่บ้านแม้วบนดอยลึกๆที่ไหนสักแห่ง เพราะผู้ชายแม้วสมัยโน้นเขามีพันธกิจหลักคือเอาไว้ทำพันธ์อย่างเดียว ไม่ต้องทำอย่างอื่นเลย แค่นั่งสูบฝิ่นรอพวกเมียๆกลับมาจากทำไร่จะได้ทำการสืบพันธ์ตามหน้าที่ แต่สมัยนี้เขาพัฒนาแล้ว คำแนะนำนี้คงใช้ไม่ได้แล้วละครับ

     ทางเลือกที่สอง ถ้าประเมินว่าชีวิตนี้น่าจะดำเนินไปแบบกลางๆพอดีๆไม่ปล่อยตัวปล่อยใจหมกมุ่นกับอะไรมากเกินไป ผมแนะนำว่าให้คุณลืมเรื่องแฟนของคุณไปก่อน แล้วมาฟังเทศน์ของหมอสันต์ดังต่อไปนี้ แอ่น..แอ้น..แอ๊น..น

     ประเด็นที่ 1. เรื่องสัญชาติญาณ ชีวิตของคนเรานี้ดำเนินไปด้วยแรงผลักดันของสัญชาติญาณ ซึ่งสัญชาติญาณที่ติดมาตั้งแต่เกิดของคนเรานี้มีอย่างน้อยสามอย่างเหมือนกันหมดแต่บางอย่างมากบางอย่างน้อยต่างกันไปในแต่ละคน คือ

     1. สัญชาติญาณที่จะแสวงหาอาหาร เมื่อใดก็ตามที่ “หิว” เราต้องดิ้นรน เมื่อได้กินแล้วธรรมชาติก็ให้ความอิ่มซึ่งน่ารื่นรมย์เป็นการตอบแทน เผอิญพัฒนาการของเผ่าพันธ์เราสมัยที่เราอยู่ป่ามันผ่านช่วงยาวนานที่อาหารหายาก ร่างกายมีแนวโน้มจะขาดแคลอรี่ซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ความพยายามจะดั้นด้นค้นหาอาหารอุดมแคลอรี่อันได้แก่อาหารที่มีรส “หวาน” ซึ่งบ่งชี้ถึงคาร์โบไฮเดรต และรส “มัน” ซึ่งบ่งชี้ถึงไขมัน อันเป็นที่มาของแคลอรี่ตามธรรมชาติจึงฝังแน่นอยู่ในยีนหรือก้นบึ้งของจิตสำนึกรับรู้ คนอ้วนที่คิดจะลดอาหารรสหวานรสมันจึงต้องเจอด่านสัญชาติญาณอันนี้ก่อน ถ้าฝ่าข้ามไปไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะผอม

     2. สัญชาติญาณที่จะแสวงหาเซ็กซ์ เมื่อใดก็ตามที่ “เสี้ยน” เราก็ต้องดิ้นรน เมื่อสำเร็จกิจเราได้ออร์แกสซั่มซึ่งเป็นความรู้สึกชื่นมื่นเป็นการตอบแทนความอุตสาหะที่เรายอมดั้นด้นค้นหา คนที่จุ่มแช่อยู่แต่ในเซ็กซ์ เซ็กซ์ เซ็กซ์ ก็คือคนที่ไม่สามารถฝ่าข้ามด่านสัญชาติญาณอันนี้ไปได้ ก็ต้องเวียนว่ายจมแช่อยู่ตรงนี้ตลอดไปไม่ว่าอีกกี่ชาติจึงจะข้ามพ้น

     3.  สัญชาติญาณที่จะแสวงหาความหลุดพ้นไปจากกรงความคิดของตัวเอง เมื่อพ้นด่านการเสพย์ติดอาหารและด่านการเสพย์ติดเซ็กซ์มาแล้ว คนเราจะมาเจอด่านหินด่านสุดท้ายของสัญชาติญาณ คือการเสพย์ติดความคิดของตัวเอง หมายถึงความคิดที่ตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าความเป็นบุคคลของเรานี้เป็นของจริงและจีรัง แต่ความคิดเองนั่นแหละที่กลายเป็นตัวทิ่มแทงให้ตัวเองเป็นทุกข์และบีบคั้นให้คนเราต้องดิ้นรนหาทางหลุดพ้นออกไปจากกรงความคิดของตัวเอง สิ่งที่ใกล้มือที่สุดที่จะทำให้คนเราพ้นไปจากความคิดของเราเองได้ในทันทีก็คือยาเสพย์ติด สมัยที่ผมเป็นแพทย์ฝึกหัด ประมาณปีพ.ศ. 2523 ผมได้มีโอกาสหมุนเวียนไปรพ.รักษาผู้ติดยา ได้รักษาผู้ป่วยติดเฮโรอีนรายหนึ่งซึ่งมีแฟนสวยมาก วันหนึ่งผมพูดกับเขาว่าผมไม่เข้าใจทำไมเขาซึ่งมีแฟนสวยขนาดนี้ไม่ไปมีความสุขกับแฟน จะมาหมกมุ่นอยู่กับเฮโรอีนทำไม เขาตอบผมว่ามันให้อะไรที่มากกว่าเซ็กซ์จะให้ได้ คือมันให้การหลุดพ้นจากความคิดใดๆไปพักใหญ่ และยังถามผมว่าคุณหมออยากจะลองดูไหม

     ย้อนหลังไปก่อนหน้านั้น สมัยที่ผมยังเรียนอยู่ที่แม่โจ้ ประมาณ พ.ศ. 2513 ก็คือประมาณเกือบห้าสิบปีมาแล้ว มีครูใหม่คนหนึ่งเพิ่งเรียนจบเข้ามาเป็นครู ครูคนนี้มีความพิเศษคือเมื่อจบปริญญาตรีที่ม.เกษตรบางเขนแล้วท่านได้ไปเรียนเมืองนอกที่อเมริกาซึ่งเป็นยุคที่พวกฮิปปี้เดินขบวนต่อต้านสงครามเวียดนาม ครูคนนี้เล่าให้ผมฟังว่าที่เมืองซานฟรานซิสโกมีร้านรับจ้างพาให้บรรลุนิพพานในราคา 60 เหรียญ วิธีการก็คือเมื่อจ่ายเงินแล้วเขาก็จะพาไปหลังร้านแล้วฉีดยาแอลเอสดี.ให้ แล้วก็ได้บรรลุนิพพานจริงๆ คือมันพาใจให้หลุดพ้นไปจากความคิดไปสู่ความว่างเปล่าอันพิศดารกว้างใหญ่และสุโขชื่นมื่นมาก มากกว่าการมีออร์แกสซั่มเสียอีก แต่ว่าแค่สองชั่วโมงนะ พอหมดฤทธิ์ยา ความคิดก็กลับมาครอบหัวเราเหมือนเดิม หิ หิ

     สัญชาติญาณออกฤทธิ์ในลักษณะเป็นความคิดที่ถูกโยนขึ้นมาในหัว มันถูกโยนขึ้นมาจากหน่วยความจำซึ่งเก็บสะสมเรื่องราวประสบการณ์จากอดีตอันไกลโพ้น มันโยนขึ้นมาซ้ำๆซากๆ การจะมีชีวิตอย่างเป็นอิสระจากความคิดนี้ มันจะต้องเข้าใจกลไกที่ความคิดเหล่านี้มันออกฤทธิ์ ซึ่งมีผู้สรุปกลไกนี้ไว้อย่างย่นย่อและแยบยลไว้แล้ว คนรุ่นหลังก็เพียงแค่ทำความเข้าใจกลไกอันนี้แล้วทดลองนำมันไปปฏิบัติกับชีวิตจริงเท่านั้นเอง คนที่สรุปไว้ได้เจ๋งที่สุดก็คือพระพุทธเจ้าของเรานี่แหละ กลไกที่ท่านสรุปไว้นี้ในภาษาบาลีเรียกว่า “ปฏิจจะสมุปบาท” แต่ผมจะไม่คุยกับคุณในภาษาบาลีดอกนะ เราจะคุยกันในภาษาธรรมดาๆที่เด็กๆอย่างคุณเข้าใจได้ ส่วนเมื่อเข้าใจแล้วคุณจะลองเอาไปปฏิบัติหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของคุณ

     ประเด็นที่ 2. กลไกการออกฤทธิ์ของความคิด ก่อนอื่นเรามาเริ่มต้นด้วยความรู้ของผู้คนก่อนนะ คนส่วนใหญ่ไม่ว่าชาติภาษาหรือศาสนาไหนจะรู้ทั้งนั้นแหละว่าสรรพสิ่งในชีวิตของเรานี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ล้วนแล้วแต่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ถ้าเผลอไปคิดยึดถือว่ามันจีรังยั่งยืนก็จะเป็นทุกข์ และความเป็นบุคคลของเรานี้จริงๆแล้วมันไม่มี มันเป็นเรื่องที่ถูกสมมุติขึ้นมาทั้งนั้น ชาวพุทธเรียกคอนเซ็พท์นี้ว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ทุกคนรู้จักคอนเซ็พท์นี้ดี เด็กชันประถมที่เริ่มเรียนวิชาศาสนาก็รู้ แต่รู้แบบเอามาใช้ประโยชน์อะไรกับชีวิตจริงไม่ได้ หรือจะพูดว่ารู้แต่ “เพิกเฉย” ก็ได้

     ทุกอย่างมันเริ่มต้นด้วยการเพิกเฉยต่อความเป็นจริงของชีวิต (ignorance – อวิชชา) บนบรรยากาศของการเพิกเฉยต่อความจริงหรือการไม่รู้เท่าทันนี้ ทำให้ความคิดปรุงแต่ง (thought – สังขาร) ถูกก่อตัวขึ้นในใจของเรา จะก่อตัวขึ้นใหม่ๆหมาดๆหรือจะถูกโยนขึ้นมาจากความจำในอดีตก็ได้ทั้งนั้น ความคิดนี้เป็นพลังงานซึ่งเราจับต้องมองเห็นไม่ได้ แต่ว่ามีอยู่จริง

     เมื่อความคิดก่อตัวขึ้น กลไกการรับรู้ความคิดของใจเรานั้นเป็นไปแบบฉับไวอย่างสายฟ้าแลบ แต่พระพุทธเจ้าได้วิเคราะห์แยกแยะให้เห็นอย่างแยบยลว่ามันเป็นการเกิดแบบการประชุมแห่งเหตุ หมายความว่ามีเหตุหลายอย่างมามีขึ้นพร้อมกัน อุปมาเหมือนไฟเกิดขึ้นเพราะมีฟืน มีความร้อน และมีออกซิเจนซึ่งเป็นปัจจัยเกื้อหนุนมามีพร้อมกัน การรับรู้ความคิดของใจเราก็เช่นกัน มันอาศัยปัจจัยเกื้อหนุนสามอย่างมามีพร้อมกันดังนี้ คือ

     1. จิตสำนึกรับรู้ (consciousness – วิญญาณ) คือพลังงานที่เป็นความตื่นและความสามารถรับรู้ ที่ดำรงอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่ามันมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันมีอยู่ก่อนแล้ว

     2. กลไกการแปลงพลังงานสิ่งเร้าให้เป็นภาษาและรูปภาพ (names and forms – นามรูป) ตรงนี้อาจเข้าใจยากนิดหน่อย คุณค่อยๆฟังนะ คือสรรพสิ่งที่เป็นสิ่งเร้าเข้ามาสู่การรับรู้ของใจเรานี้มันมาในรูปของพลังงานหรือคลื่นของการสั่นสะเทือน (vibration – ปรมัตถ์สัจจะ) ตั้งแต่เกิดมาเราค่อยๆเรียนรู้ที่จะแปลงคลื่นเหล่านี้ให้มาอยู่ในรูปของภาษาและรูปภาพ (names and forms – สมมุติสัจจะ) จนกลไกการแปลงคลื่นเป็นภาษาและรูปภาพนี้เป็นกลไกอัตโนมัติไปแล้ว กลไกอันนี้เป็นปัจจัยที่จะต้องมี การรับรู้ความคิดจึงจะเกิดขึ้นได้

     3. อวัยวะรับรู้สิ่งเร้า (sense organs – อายตนะ) หมายถึงชิ้นส่วนของร่างกายที่ทำหน้าที่รับสัญญาณสิ่งเร้า อันได้แก่ตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง และใจ สิ่งเร้าที่รับเข้ามาไม่ว่าทางไหนจะถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปตามเส้นประสาทของร่างกาย เข้าสู่ระบบประสาทอัตโนมัติและสมอง

     เมื่อมีทั้งสามปัจจัยนี้พร้อมอยู่แล้ว ความคิดจึงจะถูกรับรู้ได้ โมเมนต์ที่ความคิดถูกรับรู้ (contact – ผัสสะ) เป็นการกระแทกปัง..ง เข้าที่ร่างกายและที่ใจพร้อมๆกัน ศูนย์รวมของการกระแทกนี้ผมเดาเอาจากประสบการณ์ของผมเองว่าอยู่ที่ตรงกลางหน้าอกนี่แหละ

     ทันทีที่สัญญาณสิ่งเร้าที่ถูกแปลงเป็นชื่อหรือรูปภาพเรียบร้อยแล้วได้กระแทกปังเข้ามาแล้ว จะเกิดความรู้สึกเบื้องต้น (feeling – เวทนา) ขึ้นบนร่างกายทันที ซึ่งมันเป็นได้สองแบบ คือถ้าเป็นความรู้สึกที่ไม่ดี เช่นคุณป้าปากร้ายข้างบ้านร้องด่าคุณแว้ด แว้ด มันจะเป็นความแน่นอึดอัดร้อนรุ่มแผ่สร้านจากกลางหน้าอกขึ้นไปข้างบน หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ผิวหนังร้อนผ่าว ลำคอแน่นอึดอัด สมองทึบตื้อ

     อีกแบบหนึ่งคือเป็นความรู้สึกที่ดี อย่างคุณได้ยินเสียงแฟนคุณทางโทรศัพท์นี่จะเกิดความรู้สึกที่ดี มันจะเย็นหรืออุ่นวาบจากหน้าอกลงไปข้างล่าง ความรู้สึกทางเพศนี่ก็มาแบบความรู้สึกที่ดี มันจะอุ่นวาบลงไปเช่นกัน แต่มันไม่จบแค่นั้น คือมันไปถึงอวัยวะเพศ แล้วไปเคาะ น็อค น็อค น็อค ที่อวัยวะเพศ บางทีมันก็ทำให้มีเมือกหลั่งออกมาจากอวัยวะเพศของคุณ

     กลไกการเกิดความรู้สึกขั้นต้นขึ้นนี้ส่วนใหญ่มันเป็นกลไกบนร่างกาย มันมาเร็วแบบสายฟ้าแลบ แต่หากคุณตามทัน คุณเอาความสนใจของคุณกระเด้งตัวออกมาเป็นผู้สังเกตเฝ้าดูมัน เฝ้าดูหัวใจที่เต้นเร็วพับ พับ พับ เฝ้าดูการหายใจที่หอบฟืดฟาด ฟืดฟาด เฝ้าดูอาการร้อนผ่าว แน่น อึดอัด เฝ้าดูความวูบวาบ เฝ้าดูอาการที่เกิดกับอวัยวะเพศ แล้วคุณก็จะเห็นว่ามันเกิดขึ้นชั่วครู่แล้วก็จะแผ่วหายไปของมันเอง

     แต่ถ้าคุณตามไม่ทัน ความรู้สึกบนร่างกายไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ดีก็ดี ที่ไม่ดีก็ดี มันจะชักใยให้เกิดความคิดต่อยอดในรูปแบบของความอยาก (craving – ตัณหา)  ตามมาทันที สิ่งเร้าที่ไม่ดีก็อยากหนี สิ่งเร้าที่ดีก็อยากได้ สิ่งเร้าที่ก่อความรู้สึกเซ็กซี่ก็ทำให้คุณอยากมีเซ็กซ์ ความอยากนี้เป็นความคิิด ซึ่งเมื่อคุณปล่อยมาถึงขั้นนี้แล้ว มันเกิดขึ้นแล้ว คุณก็ลำบากแล้วละครับ ความคิดมันจะต่อยอดบนความคิดไปเป็นจินตนาการที่ถูกกำกับโดยความยึดมั่นถือมั่น (attachment – อุปาทาน) ซึ่งจะพาคุณตรงดิ่งโลดแล่นไป (becoming – ภพ) อย่างไร้การควบคุม ไปแบบที่เรียกว่าถูก “มนต์ดลใจ” หรือถูก “กรรมบันดาล” นั่นแหละ มันจะพาคุณไปก่อกำเนิด (birth – ชาติ) เป็นความคิดอันใหม่ เพื่อที่จะไปตั้งต้นวงจรการเข้ารกเข้าพงครั้งใหม่แบบซ้ำร่องกับวงจรเดิมอีกครั้งๆๆๆอย่างไม่รู้จบรู้สิ้น

     ดังนั้นการจะปลดแอกตัวเองออกมาจากความคิดจินตนาการที่กำกับโดยความคิดยึดมั่นถือมั่นของตัวเองได้สำเร็จ คุณต้องฝึกรับมือให้ทันในโมเมนต์ที่ความคิดถูกรับรู้หรือลงกระแทกที่กลางหน้าอกแล้วกระจายเป็นอาการต่างๆบนร่างกาย ถ้าทันตรงนั้นทุกอย่างก็ง่าย เพราะแค่เฝ้าดูมันก็จบ ถ้าช้าไปกว่านั้นแม้ว่าจะยังพอตามไปแก้ได้อยู่ แต่ว่าก็ยากขึ้น ยากขึ้น หลายๆยากรวมกันกลายเป็น ยากส์ ส์..ส์

     ถ้าคุณสนใจก็ทดลองเอาไปปฏิบัติดูนะ แต่ถ้าคุณไม่สนใจก็..จบข่าว

     ปล. สำหรับท่านผู้อ่านที่แก่ธรรมะ อาจจะหงุดหงิดว่าทำไมหมอสันต์อธิบายวงจรปฏิจจสมุปบาทเพี้ยนไปจากที่นักปราชญ์เขียนอธิบายไว้ในคัมภีร์อภิธรรมปิฎก แม้แต่พวกฝรั่งมังค่าก็ไม่เห็นมีใครเขาอธิบายเพี้ยนไปไกลถึงขนาดนี้ หิ หิ ขออำไพนะ หมอสันต์ก็เพี้ยนๆของแกเงี้ยแหละ และไม่ได้มีเจตนาจะเหยียบตาปลาท่านผู้แก่ธรรมะท่านใด เจตนาเพียงแค่พยายามจะให้เด็กรุ่นหนุ่มสาวมองเห็นทางออกจากปัญหาระดับมืดแปดด้านของพวกเขา ซึ่งผมมองไม่เห็นวิธีอื่นที่จะชี้แสงสว่างให้ได้นอกจากการอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างไรก็ตาม หมอสันต์อธิบายเพี้ยนหรือไม่เพี้ยน ถูกหรือไม่ถูก นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าถึงได้ด้วยการมีประสบการณ์กับความจริง (experience reality) เท่านั้น  วิธีที่จะเข้าถึงคำสอนโดยทางอื่นไม่มี  อีกประการหนึ่ง คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกคำ ทุกบท ทุกตอน เป็นบทสนทนา พูดง่ายๆว่าพระพุทธเจ้าสนทนากับคนนั้นว่าอย่างนั้น สนทนากับคนนี้ว่าอย่างนี้ แล้วคนรุ่นหลังจำมาเขียนเป็นตัวหนังสือ คำอธิบายคำสอนยิ่งเป็นเรื่องที่ทำโดยคนรุ่นหลังจากนั้นมาอีก จึงย่อมจะต้องมีเพี้ยนไปเพี้ยนมาตามประสบการณ์และกึ๋นของผู้อธิบายว่าใครจะมองภาพใหญ่และภาพเล็กได้ขาดหรือไม่ขาด ซึ่งก็เป็นธรรมดาและไม่สำคัญ สำคัญที่การลงมือทดลองมีประสบการณ์กับความจริงด้วยตนเองเท่านั้น 

     นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์