Latest

บุโรพุทโธ (Borobudur) กับคอนเซ็พท์ที่คนโบราณต้องการสื่อ

     ผมอยู่ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย วันนี้เสร็จภาระกิจจากการสอนการบรรยายแล้ว มีอิสระเสรีที่จะไปไหนได้ฟรีหนึ่งวัน เรานั่งแท็กซี่ออกจากโรงแรมเวสทินที่ตำบลนุสาดัว ไปขึ้นเครื่องบินที่ในเมืองเดนปาซาร์ ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงก็ไปถึงเมืองย็อกยาการ์ต้า (Yogyakarta) แล้วเช่ารถส่วนตัวแบบมีคนขับให้เขาขับไปอีกชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงสถานที่แห่งนี้ โบโรบูดัวร์ (Borobudur) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “บุโรพุทโธ”

     ที่นี่เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ที่กว้างใหญ่มาก โดยในอุทยานนี้มีสิ่งน่าสนใจที่สุดอย่างเดียว คือวัดบุโรพุทโธนี่แหละ วัดนี้สร้างมาตั้งแต่ประมาณค.ศ. 800 เป็นวัดพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดและเก่าที่สุดในโลกก็ว่าได้กระมัง เพราะวัดอื่นเก่ากว่านี้ส่วนใหญ่ถูกทำลายราบไม่เหลือซากไปซะนานแล้ว แม้วัดนี้ขนาดสร้างด้วยหินลาวาจากภูเขาไฟอันได้ชื่อว่าแข็งแรงทนทานแล้วก็ยังมิวายทรุดโทรมเอียงกะเท่เร่ ขอบคุณพวกฝรั่งมังค่าชอบซุกซนค้นหาและมีนิสัยน่ารักที่มาเห็นแล้วฟื้นฟูบูรณะวัดนี้ขึ้นมาใหม่จนดีอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ผมจะไม่เจาะลึกรายละเอียดเรื่องการฟื้นฟูวัดซึ่งเป็นความละเอียดลึกซึ้งทางวิศวกรรมทั้งวิศวกรรมชลประทานและวิศวกรรมแผนดินไหว แต่จะพูดถึงวัดนี้ในประเด็นเดียว คือคนโบราณต้องการจะสื่ออะไรให้คนรุ่นหลังรู้ผ่านการสร้างวัดนี้ ความที่วัดนี้มันใหญ่มากและสูงเทียบได้กับภูเขาหนึ่งลูก จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะถ่ายรูปแชะเดียวให้ท่านดูแล้วเข้าใจทั้งหมด ผมจึงต้องอาศัยยืมภาพถ่ายทางอากาศที่ใครก็ไม่รู้ถ่ายไว้มาลงประกอบแทน

     ตามศิลาจารึกของวัดนี้ จักรวาลแห่งจิตสำนึกรับรู้ (consciousness) ของคนเรานี้แบ่งออกเป็นสามระดับความลึก ซึ่งทับซ้อนกันอยู่ วัดนี้สร้างขึ้นเพื่อสื่อให้เข้าใจคอนเซ็พท์อันนี้ เมื่อเราก้าวขึ้นภูเขาแห่งนี้เราจะเข้าไปสู่วงนอกสุดซึ่งเรียกว่า

กามาธาตุ..คนป่วยท่ามกลางการดูแลของญาติมิตรและหมอ

     “กามาธาตุ (Kamadhatu)”  อันหมายถึงจิตสำนึกรับรู้ภายใต้ความคิดปรุงแต่งอันถูกชักนำให้เกิดขึ้นโดยความอยาก ซึ่งยิ่งไม่รู้เท่าทันยิ่งเร่าร้อนรุนแรง ในชั้นนี้เป็นการเดินวนรอบตีนเขาเป็นระยะทางที่ยาวมากจนผมกะไม่ถูก ข้างทางเดินประกอบด้วยการเรียงหินสลักเป็นเรื่องราวของวิถีชีวิตปุถุชนธรรมดาทั่วไป และอีกข้างหนึ่งเป็นเรื่องเล่าว่าในการเวียนว่ายตายเกิดของพระสิทธัตถะนั้นท่านผ่านประสบการณ์การเป็นอะไรมาบ้างทั้งเคยเป็นนกเคยเป็นกระต่าย เป็นต้น  หินลาวานี้แข็งและทนดีมาก ผ่านไปพันกว่าปีรอยสลักยังคมชัด ใบหน้าผู้คนยังแสดงสีหน้ายิ้มแย้มและทุกข์โศกได้อย่างน่าทึ่ง หินนี้มีสีธรรมชาติเป็นสีดำ แต่มีบางก้อนเป็นสีเหลืองอ่อนสลับ ไกด์เล่าว่าเพราะสมัยที่กล้องถ่ายรูปออกมาใหม่ๆมันถ่ายได้แต่ภาพขาวดำ ถ่ายออกมาทั้งวัดดำปื๊ดไปหมดมองอะไรไม่ออก พวกชาวดัทช์อยากจะได้รูปสวยๆจึงไปเอารากไม้สีเหลืองมาฝนให้หินเป็นสี สีนั้นแทรกเข้าไปในรูหินและอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่ของหินสลักเล่าเรื่องพวกนี้ในการซ่อมแซมได้ฝังกลบเข้าไปเพื่อเสริมฐานภูเขาให้ใหญ่พอเพื่อจะรองรับแผ่นดินไหวได้ โดยที่ทุกภาพสลักที่ถูกฝังกลบไว้มีภาพถ่ายเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่นี่ด้วย จากวงนอกสุดเราเดินขึ้นไปสู่วงที่สอง วงนี้จารึกเรียกว่า

รูปธาตุ ห้าชั้น พระพุทธรูปอยู่ในซุ้มบนฐานเล่าเรื่องราว

     “รูปธาตุ (Rupadhat)” อันหมายถึงจิตสำนึกรับรู้ที่ได้พัฒนามาจนสามารถละทิ้งความคิดอันผูกโยงกับคอนเซ็พท์ของเวลาคืออดีตอนาคต มาโฟกัสอยู่กับปัจจุบันผ่านการรับรู้ของอยาตนะโดยไม่ก่อเป็นความคิดใหม่ได้แล้ว อย่างไรก็ตามการรับรู้สิ่งต่างๆ ณ ที่นี่เดี๋ยวนี้นั้นยังเป็นการรับรู้ผ่านการแปลเป็นสมมุติบัญญัติอันได้แก่ชื่อและรูปร่าง (names and forms) และต้องอาศัยอายตนะอันได้แก่ตาหูจมูกลิ้นผิวหนังและใจเป็นเครื่องมือในการรับรู้และสนองตอบ การเดินในชั้นของรูปธาตุนี้เป็นการเดินขึ้นพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัสที่ซ้อนกันลดหลั่นสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป รวมห้าชั้น แต่ละชั้นสามารถเดินวนรอบ ผนังแต่ละชั้นส่วนบนเป็นพระพุทธรูปตั้งอยู่ในซุ้ม

ตื่นจากบรรทม เห็นพวกนางสนมทิ้งนมต้มเรี่ยราดไม่ดูไม่แล

ส่วนล่างเป็นภาพสลักหินแสดงเรื่องราวชีวิตของพระสิทธัตถะ เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดพุทธในนิกายมหายาน เรื่องราวจึงจับความกันตั้งแต่บนสวรรค์โน่นทีเดียว ผมเลือกถ่ายรูปสลักเหล่านี้มาให้ดูรูปเดียว เป็นตอนที่พระสิทธัตถะตื่นขึ้นมากลางดึกเห็นพวกนางสนมนอนหลับทิ้งนมต้มเรี่ยราดไม่ดูไม่แล ท่านที่ไม่ชอบรูปนี้ก็โปรดอภัย แต่หมอสันต์ชอบ หิ หิ จากห้าชั้นของรูปธาตุแล้วเราเดินต่อขึ้นไปถึงชั้นในยิ่งขึ้นและสูงยิ่งขึ้น นั้นคือชั้นของ

     “อรูปธาตุ (Arupadhatu)” ขึ้นมาถึงตรงนี้แล้ว จารึกภาษาสันสกฤตเล่าว่าหมายถึงพัฒนาการของจิตสำนึกรับรู้ที่มาถึงขั้นสามารถรับรู้สิ่งที่มีอยู่ตามที่มันเป็นโดยไม่ผ่านการแปลเป็นสมมุติบัญญัติหรือชื่อและภาพอีกต่อไป

รูปธาตุ แม้จะหลุดพ้นจากความคิดแล้ว แต่ตัว “ผู้รู้” ยังอยู่

ผมเดาสุ่มเอาว่าเป็นการรับรู้สิ่งภายนอกที่ผ่านเข้ามาสู่จิตสำนึกรับรู้ในรูปของพลังงาน ซึ่งแสดงเป็นสัญญลักษณ์ให้เห็นเป็นสถูปเจดีย์ที่ฉลุเป็นรูๆ มองผ่านรูเข้าไปข้างในจะเห็นพระพุทธรูปนั่งอยู่ตรงกลางเจดีย์ เจดีย์แบบนี้มีแยะ ผมได้นับ ถ้าไม่ถึงร้อยก็น่าจะเกือบๆ ผมเดาเอาว่าพระพุทธรูปที่นั่งอยู่ในเจดีย์นั้นน่าจะหมายถึงแม้จะพ้นจากสมมุติบัญญัติมาแล้ว แต่ตัว “ผู้รู้” นั้นยังอยู่ ยังแยกเป็นสองระหว่างผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรับรู้ ในชั้นของอรูปธาตุนี้เป็นฟลอร์ที่มีฐานเป็นวงกลม ซ้อนกันขึ้นไปเป็นสามชั้นย่อย ถ้าสังเกตให้ดีรูฉลุที่เกิดจากการเรียงหินแต่ละชั้นก็ไม่เหมือนกัน ชั้นนอกหรือชั้นล่างจะเรียงหินให้เห็นรูฉลุเป็นรูปขนมเปียกปูน ซึ่งมีความเสถียรน้อยกว่าชั้นในหรือชั้นบน ซึ่งเรียงหินแบบล็อคกันให้เห็นรูฉลุเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งมีความเสถียรมากกว่า คงจะตั้งใจให้หมายถึงว่าในชั้นของปรมัตถ์สัจจะเองนี้ก็ยังมีหลายระดับความลึกหรือความเสถียร ที่ยังตื้นอยู่ก็ยังไม่เสถียร ยังหล่นร่วงผล็อยกลับลงมาสู่ชั้นรูปธาตุได้

     คราวนี้เราเดินขึ้นไปอีก

เมื่อผ่านย่านอรูปธาตุทั้งสามชั้นไปได้ ก็ถึงชั้นบนสุดคือสุญญตา

ไปถึงชั้นในสุดของอรูปธาตุ เป็นเจดีย์สถูปใหญ่ตั้งอยู่ยอดกลางภูเขา ข้างในกลวงโบ๋เป็นความว่างไม่มีอะไรเลย ซึ่งผมเข้าใจว่าสื่อถึงนิพพานหรือสุญญตา ซึ่งเป็นระดับจิตสำนึกรับรู้ที่ระหว่างผู้รู้และสิ่งที่ถูกรับรู้กลายเป็นอันเดียวกัน หมายถึงว่าเมื่อวางความคิดได้หมดจดและพ้นไปจากอายตนะใดๆแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความเงียบหรือความว่างซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับตัวผู้รู้นั่นเอง ตัวสถูปใหญ่ซึ่งสื่อถึงนิพพานนี้มีฐานแปดชั้น ซึ่งเดาเอาว่าคงจะหมายถึงมรรคแปด

     ทั้งหมดนี้คือสาระที่ผมอยากจะเล่าในเวลาที่มีอยู่นิดหน่อยขณะรอรถมาพาไปสนามบิน ยังพอมีเวลาอีกสองสามนาที ขอเล่าเรื่องไร้สาระบ้าง ขาไปบุโรพุทโธ เราแวะดื่มกาแฟขี้ชมด ในไร่ที่อ้างว่าเป็นต้นกำเนิดของกาแฟขี้ชะมดที่เผยแพร่ไปทั่วโลกทุกวันนี้ เรานั่งดื่มกาแฟในบ้านซึ่งสะอาดสะอ้าน

หน้าบ้านตากกาแฟขี้ชะมดไว้ในถาดไม้ไผ่เต็มไปหมด

หน้าบ้านวางถาดตากกาแฟเต็มไปหมด หลังบ้านเลี้ยงชะมดเชื่องๆไว้ให้ดูด้วย มันกำลังนอนหลับอุตุเพราะมันเป็นสัตว์จำพวกลิง (แต่หน้าตาเหมือนสุนัข) ที่ชอบนอนกลางวัน วิธีผลิตกาแฟแบบนี้ก็คือปลูกกาแฟไว้ในป่า แล้วปล่อยให้พวกชะมดป่าเข้ามากิน กินแล้วมันก็ขี้ทิ้ง แล้วชาวไร่ก็ไปเก็บกาแฟเหล่านั้นมาตากแล้วบดคั่วขายเป็นกาแฟขี้ชะมด กลิ่นและรสโอเค เมื่อดื่มแล้วก็รู้สึกตาสว่างดี

     ได้เวลารถเขามารับไปสนามบินแล้ว ไปก่อนละครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ 

หลังบ้านเลี้ยงชะมดเชื่องไว้ตัวหนึ่ง กำลังนอนหลับอุตุ