Latest

บทสนทนาระหว่างพักดื่มกาแฟใน Spiritual Retreat

ถาม
     อาจารย์พูดให้ชัดและสั้นได้ไหมครับว่า ความรู้ตัวคืออะไร

ตอบ
     อะไรที่ฟังเสียงผมอยู่ ณ ขณะนี้ นั่นแหละคือความรู้ตัว

     ผมตอบคำถามคุณไหม สั้นเกินไปใช่ไหม ผมขยายความว่ามันไม่ใช่ร่างกายของคุณ เพราะทุกคนในห้องนี้มีร่างกายอยู่ในห้องนี้ แต่ทุกคนไม่ได้ฟังเสียงของผมทุกคน มันไม่ใช่ความคิดของคุณ เพราะความคิดของคุณเกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระจากเสียงของผม เมื่อมันไม่ใช่ร่างกายของคุณ ไม่ใช่ความคิดของคุณ คุณเหลืออะไรอยู่ละ นั่นแหละคือความรู้ตัว มันเป็นผู้สังเกตจากข้างนอก จากจักรวาล

     ความรู้ตัวคือความสนใจที่จุ่มหรือแช่อยู่ในความว่างหรือความเงียบอันไม่มีขอบเขต เป็นอิสระต่อร่างกาย เป็นอิสระต่อความคิดที่ถักทอขึ้นมาจากความเป็นบุคคลของคุณ คนมักจะคิดว่าใครหรืออะไรก็ตามที่รับรู้ ฟัง เห็น คิด ถูกจำกัดอยู่ภายในตัวตนหรือร่างกายและความคิดนี้ ที่มีชีวิตอยู่แค่ระยะสั้นๆ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด แบบที่เขาเรียกว่าเป็นอวิชชานั่นแหละ

ถาม 
     หนึ่งคนก็มีหนึ่งความรู้ตัว ใช่ไหมครับ

ตอบ
     ไม่ใช่ครับ โน (No) โนอย่างเด็ดขาด คนทั่วไปเชื่อว่าความรู้ตัวเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวของแต่ละคน ของใครของมัน แล้วก็ตายไปพร้อมกับร่างกายนี้ แต่ไม่มีหลักฐานอะไรพิสูจน์ความเชื่ออย่างนี้ว่าเป็นจริงได้เลย มนุษย์จึงคาใจสงสัยอยู่ และตราบใดที่ไม่มีอะไรพิสูจน์ตรงนี้ได้ สำนึกว่าชีวิตขาดอะไรไป (sense of lack) ก็จะไม่หายไปไหน ความรู้สึกอยากจะแสวงหาจะยังมีอยู่ในใจผู้คน จะว่ามันเป็นเป้าหมายร่วมของมนุษย์ชาติก็ได้มั้ง ว่าจะต้องเสาะหาคำตอบนี้ให้ได้ เมื่อหาไม่พบ ชีวิตก็จะยังไม่พบความสงบสุข นี่เป็นประเด็นสำคัญนะ

ถาม
     เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าความรู้ตัวเป็นจักรวาลครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างนอกร่างกายเรา และยั่งยืนสถาพรกว่าร่างกายด้วย

ตอบ
     ก็เรียนรู้จากประสบการณ์ในความจริงสิ (experience reality) ในประเด็นที่ว่าความรู้ตัวกับร่างกายนี้อันไหนถาวรอันไหนไม่ถาวร คุณเช็คประสบการณ์ของคุณก็ได้ ตั้งแต่จำความได้ เป็นเด็ก แล้วมาจนเป็นสาว แต่งงาน เป็นแม่คน จนเป็นยาย ร่างกายของคุณนี้เปลี่ยนแปลงเรื่อยมาใช่ไหม ตอนเป็นเด็กกับตอนเป็นสาวก็เป็นคนละร่างกายแล้ว น้ำหนักต่างกันตั้งสามสี่เท่า แต่ความรู้ตัวของคุณยังเป็นอันเดิมนะ คุณก็ยังรู้สึกว่าคุณก็เป็นคุณคนเดิมอยู่นี่แหละ แค่นี้คุณก็ตอบได้แล้วว่าอะไรถาวร อะไรไม่ถาวร

     ที่ว่าความรู้ตัวนี้ครอบคลุมและประกอบเป็นสิ่งภายนอกร่างกายเราทั้งหมดด้วยนี้จริงหรือเปล่า ผมถามคุณหน่อยว่าคุณเคยมีประสบการณ์อะไรในชีวิตที่ความรู้ตัวไม่ได้อยู่ที่นั่นบ้าง หรือไม่ได้เป็นส่วนประกอบของประสบการณ์นั้นบ้าง มีไหม ลองยกตัวอย่างให้ผมฟังหน่อยสิ ไม่มี้ ทุกประสบการณ์มีความรู้ตัวอยู่ที่นั่นด้วยประสบการณ์จึงจะเกิดขึ้นได้ หากไม่มีความรู้ตัวเสียอย่าง อย่าว่าแต่ประสบการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้นเลย มันจะไม่ดำรงอยู่ด้วยซ้ำ เพราะผู้รับรู้ว่ามันดำรงอยู่คือความรู้ตัว สรุปว่าในทุกเหตุการณ์มีผู้สังเกตคือความรู้ตัว กับสิ่งที่ถูกสังเกตคือเป้าที่ถูกรู้ ไม่ว่าเป้านั้นจะเป็นความคิด อารมณ์ หรืออะไรก็ตาม ประเด็นคือฟากของผู้ถูกสังเกตนั้นมันชัวร์อยู่แล้วว่ามันไม่เที่ยง ไม่ถาวร แต่ความรู้ัตัวอันเดิมยังอยู่เรื่อยมานะ ดังนั้นผมจึงพูดว่าโลกทั้งโลกที่ปรากฎต่อเรานี้มีสิ่งที่เป็นของจริงที่เที่ยงแท้อยู่อันเดียว คือความรู้ตัว อย่างอื่นเป็นของที่ไม่ถาวรหมด

ถาม
     ถ้าชีวิตหนูทุกวันนี้สุขสบายดีแล้ว รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ไม่มีความหมายอะไรใช่ไหมคะ

ตอบ
     คุณมาที่นี่ทำไมละครับ บางคนเขามาเพราะป่วยเป็นมะเร็งแล้วเป็นทุกข์จึงมา บางคนเขาเสียเงินในตลาดหุ้นไปมากแล้วเป็นทุกข์จึงมา บางคนทะเลาะกับลูกกับภรรยาจึงมา ส่วนคุณสุขสบายดี คุณมาทำไมละครับ

ถาม
     หนูมาเพราะหนูคาใจอยู่นิดหนึ่งว่าชีวิตมันมีแค่เนี้ยะเองหรือ แต่หนูก็ยังตะหงิดอยู่ว่าจะรู้ตัวไปทำไม

ตอบ
     นั่นไง คุณมาเพราะความรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไป คุณมีสำนึกว่าขาด มี sense of lack ชีวิตนี้มันไม่เต็มอิ่ม มันไม่ fulfill คุณจึงมีความอยากค้นหา ซึ่งทำให้คุณอยู่ไม่สุข การแสวงหาเป็นแรงดันจากสัญชาติญาณ ตราบใดที่คำตอบนี้ไม่เคลียร์ การแสวงหาก็ไม่มีสิ้นสุด

     ประเด็นคือเมื่อใดก็ตามที่เราตระหนักว่าความรู้ตัวนี้คือจักรวาลที่ไม่ตาย เมื่อนั้นเราก็ผ่อนคลาย ไม่ต้องรีบ ไม่กลัวตาย เมื่อจักรวาลไม่ตายเราซึ่งเป็นความรู้ตัวหรือเป็นจักรวาลนี้เองจะรีบไปไหน เมื่อปลดความกลัวตาย ความกลัวกระจอกอื่นๆทั้งปวงก็จะหายไปด้วย เมื่อเข้าใจธรรมชาติของความรู้ตัว ความอยากค้นหาก็หมดไป เมื่อไม่มีความกลัวและไม่มีอะไรต้องค้นหาอีกแล้ว เพราะคุณพบแล้ว ชีวิตก็เป็นเรื่องที่ต้องเฉลิมฉลองกันทุกวันแล้ว ทุกวันมันจะอิ่มเอิบเติมเต็ม 99% 

ถาม
     แล้วจะรู้ได้อย่างไรละครับว่าเราตระหนักรู้ธรรมชาติของความรู้ัตัวแล้ว ตื่นแล้ว หลุดพ้นแล้ว

ตอบ
     คุณอาศัยตัวชี้วัดสองตัวนะ ถ้า
     (1) เมื่อใดก็ตามที่คุณเบิกบานมากขึ้นๆ ทุกวันคุณตื่นขึ้นมาพบกับความสุขที่ประดังเข้ามาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
     (2) ความคิดปรุงแต่งที่ถักทอจากความเป็นบุคคลของคุณลดน้อยลงๆ
     นั่นคุณมาถูกทางแล้ว แต่มันไม่มีจุด cut point ดอกว่าเมื่อไหร่เรียกว่าหลุดพ้น เพราะการจะรู้ตัวนั้นคุณไม่ได้เดินทางไปไหน แค่คุณถอยกลับไปเป็นอย่างที่คุณเป็นอยู่แล้วตลอดมาแต่คุณอาจเพิกเฉยไป มันจึงไม่มีเสียงประทัดหรือแสงดอกไม้ไฟใดๆเป็นสัญญลักษณ์ว่าคุณหลุดพ้นแล้วดอก..ไม่มี

     แต่อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือจุดที่เราตระหนักรู้ว่าเดิมที่เราคิดว่าเราเป็นความรู้ตัวซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของเราเองนี้ แท้จริงแล้วเราเป็นความรู้ตัวซึ่งเป็นของสากลใช้ร่วมกัน คือเป็นเสมือนสายตาของพระเจ้าที่มองออกไปยังผลงานสร้างสรรค์ของพระเจ้าเอง นี่เป็นจุดเปลี่ยนเพราะมันเป็นการเปิดเผยต่อเราว่าเราเป็นอะไรที่สงบเย็นเป็นนิรันดร และเป็นการเปิดเผยว่าสิ่งที่เราค้นหามานานนั้น..พบแล้ว

ถาม
     อาจารย์เชื่อเรื่องพระเจ้าด้วยหรือ

ตอบ
     อ้าว ผมเป็นคริสเตียนนะ แต่คำว่าพระเจ้าในที่นี้ผมหมายถึงความว่างหรือความเงียบที่ดำรงอยู่ก่อนที่จักรวาลนี้จะเกิดและเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดจักรวาลนี้ คุณจะเรียกมันว่าพระเจ้า เต๋า ปรมาตมัน สุญญตา จิตเดิมแท้ หรือนิพพาน ได้ทั้งนั้น ผมถือว่าเป็นอันเดียวกันทั้งนั้น 

ถาม
     คุณหมอพูดถึงการเฉลิมฉลอง..ไม่เข้าใจ

ตอบ
     ผมหมายถึงว่าชีวิตทุกวันนี้ที่มันหัวเราะไม่ออกเพราะมันอยู่ในความกลัว เพราะเราไปปักใจเชื่อว่าชีวิตนี้คือร่างกายและความเป็นบุคคลซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเพียงผลจากการถักทอขึ้นมาของความคิด เราจึงกลัวความสั้นและความไม่แน่นอนของร่างกายที่จะแตกดับไปเสียเมื่อไหร่ก็ได้ การตื่นรู้ธรรมชาติของความรู้ตัวว่าเป็นคนละอันกับร่างกายและความคิด เป็นการปลดความกลัวตายนี้เสีย ความเปลี่ยนแปลงใดๆในชีวิตที่จะเกิดขึ้นก็จะนำมาแต่ความกระตือรือล้นอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กทารกที่ชีวิตมีแต่การเรียนรู้เพลิดเพลินโดยไม่กลัวอะไร นี่มันเป็นการปลดแอก มันเป็นเรื่องที่วิเศษถึงขั้นต้องเฉลิมฉลองกันแล้วไม่ใช่หรือ จากวันที่ตื่นรู้แล้วนี้ไปชีวิตก็จะมีแต่ความสุข ซึ่งความสุขนี้ก็คือการที่จิตสำนึกรับรู้เอ็นจอยตัวเอง เอ็นจอยสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา ผ่านความรัก ความสวยงาม ความเข้าใจ การแชร์ การค้นพบ การหัวเราะ

ถาม
     แล้วถ้าร่างกายนี้ตายไป จะรู้ได้อย่างไรว่าความรู้ตัวจะยังอยู่

ตอบ
     คุณก็สอบสวนเอาจากประสบการณ์จริงของคุณสิ ถามเอาก็ได้ ถามความรู้ตัวว่าเมื่อร่างกายนี้ตายไปแล้วเขาจะตายไปด้วยหรือเปล่า สมมุติว่าคุณถามแล้ว คำตอบคือเงียบ คือความรู้ตัวไม่ตอบ แล้วคุณจะไปทึกทักเอาว่าความรู้ตัวมันจะตายไปกับร่างกายนี้ได้อย่างไร เพราะความรู้ตัวเองไม่ได้พูดอะไรสักคำ คุณเองก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดในเรื่องนี้สักชิ้น ดังนั้น คุณต้องไม่ทึกทักเอาเองว่าความรู้ตัวจะตายไปพร้อมกับร่างกายคุณ คุณจะต้องเปิดใจยอมรับความเป็นไปได้ทั้งสองแบบไว้ก่อน จนกว่าคุณจะมีหลักฐานเชิงประจักษ์คุณจึงค่อยสรุป แค่คุณเปิดใจให้กับความเป็นไปได้นี่ก็เป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่สำหรับคุณแล้ว ส่วนหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ผมพูดถึงนั้น วันหนึ่งมันจะปรากฎต่อคุณเองเมื่อคุณได้ถอยออกมาจากความคิดที่ถักทอจากความเป็นบุคคลของคุณได้มากถึงระดับหนึ่งแล้ว ถึงตอนนั้นคุณกับผมค่อยมาคุยกันเรื่องนี้ใหม่

     อนึ่ง เมื่อผมพูดถึงความรู้ตัว ผมไม่ได้หมายถึงความรู้ตัวที่เป็นสมบัติของตัวผมเองนะ ย้ำว่าความรู้ตัวไม่ได้เป็นของผม ทั้งจักรวาลนี้มีความรู้ตัวอันเดียว ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เราแชร์คือมนุษย์ทั้งมวลและหมูหมากาไก่ล้วนแชร์กันหมด ในความรู้ตัวไม่มีคอนเซ็พท์เรื่องสิทธิความเป็นเจ้าของ คอนเซ็พท์เรื่องความเป็นเจ้าของเป็นความคิด ความรู้ตัวก็คือความรู้ตัว ไม่ใช่ความคิด ผมสนทนากับคุณที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่จากสิ่งที่ผมรับรู้จดจำมา ผมไม่ได้ตอบคำถาม ผมฟังคำถาม แล้วผมก็ฟังคำตอบ

ถาม
     อะไรเป็นปัจจัยให้การแสวงหาประสบความสำเร็จ

ตอบ
     ผมให้ปัจจัยเดียว คือความจริงใจ หรือความสุดจิดสุดใจของคุณที่จะไปสู่ความหลุดพ้น คุณไม่ได้สนใจแบบงานอดิเรก แต่คุณมุ่งมั่นจริงจัง พร้อมที่จะทิ้งหรือเลิกทุกอย่างที่หากทำแล้วจะทำให้คุณหลุดพ้น นี่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เวลาไม่สำคัญ ถ้าคุณยังทำงานอยู่ เวลาที่เหลือจากการทำงานปกติก็เหลือแหล่แล้ว ขอเพียงความจริงใจ

ถาม
     เราจะแชร์ความรู้ตัวระหว่างกันได้อย่างไร อย่างระหว่างหนูกับอาจารย์

ตอบ
     เพียงแค่นกส่งเสียงร้องและผมฟังเป็นเพลงสบายใจเฉิบ นี่ก็เป็นการแชร์กันแล้วระหว่างนกกับผม ประสบการณ์เกี่ยวกับความรู้ตัวไม่มีอะไรให้จับต้องได้ มันเป็น non phenomenon ไม่มีชื่อ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีเวลา แต่ก็ไม่ใช่ความว่างเปล่า มันมีอะไรที่อบร่ำอยู่ในบรรยากาศนั้น เรียกง่ายๆว่า grace เช่น ความรักความเมตตา ความสวยงาม อารมณ์ขัน ความสุข มันแผ่สร้านขึ้นมาแบบไม่เกี่ยวกับเงื่อนไขท้องถิ่นคือร่างกายและความคิดของเรา เรารู้ได้ด้วยตัวเอง มันเป็น self evidence คนหนึ่งถ่ายทอดมันออกมาอีกคนหนึ่งรับมันเข้าไปนั่นคือการแชร์ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณแล้ว เหมือนคุณมาที่นี่คุณไม่ได้เรียนจากเล็คเชอร์หรือนั่งสมาธิในห้องอย่างเดียว แต่สนามหญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ เสียงนก เสียงไก่ บ้านโกรฟเฮ้าส์ อาหาร และเพื่อนคุย นี่เป็นส่วนใหญ่ที่คุณใช้เรียน

     แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ผมต้องออกตัวก่อนนะ ผมไม่ใช่ครูที่จะถ่ายทอดด้วยวิธีมานั่งใกล้กันในความเงียบแล้วถ่ายทอดอะไรไปมาหากัน ผมไม่ทำตัวเป็นครูอย่างนั้นเด็ดขาด อันที่จริงผมไม่ทำตัวเป็นครูแบบไหนๆทั้งสิ้นด้วย ผมนั่งบนพื้นเสมอกับคนอื่นๆ ผมเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น คุณมีอะไรคุณถามผมได้ ผมเห็นประเด็นอะไรผมแนะนำคุณได้ ส่วนการเดินทางไปในถนนของชีวิตเป็นเรื่องของคุณโดยที่ผมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

   ปล. เพื่อให้ผู้ที่ล้นจากแค้มป์รีทรีตทางจิตวิญญาณรุ่นที่ 4 ได้มีโอกาสเข้ารีทรีตก่อนที่อากาศจะร้อนขึ้น ผมได้เปิด  แค้มป์รีทรีตทางจิตวิญญาณรุ่นที่ 5 (Spiritual Retreat 5) ขึ้นในวันที่ 26-29 มีค. 61 รับไม่เกิน 15 คน เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ยังมีที่เหลืออยู่สองสามที่ ท่านที่สนใจและจัดเวลาทันก็เชิญได้นะครับ (ในเดือนเมย.และพค.จะไม่มีรีทรีตนี้)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์