Latest

รับจ้างแก้ผ้า

   วันนี้ผมต้องสะสางบัญชี ไม่มีเวลาตอบจดหมาย พอดีคุ้ยไฟล์บัญชีคุ้ยไปคุ้ยมาเจอไฟล์บันทึกเก่าไฟล์หนึ่งเขียนไว้สมัยน้ำท่วมใหญ่ พศ. 2554 อ่านแล้วก็ขำดี เลยเอามาให้ท่านผู้อ่านอ่านเล่นแก้ขัด

……………………………………….

      สภาพหน้านิคมอุตสาหกรรมนวนครปั่นป่วนวุ่นวายจ๊อกแจ๊กจอแจและติดขัดสุดบรรยาย เพราะกระบวนการอพยพผู้คนหนีด่านนวนครแตกกำลังขึ้นถึงพีคพอดี เรามากันห้าคน มีตัวผม พยาบาลอ๋อ พยาบาลตู่ และน้องการตลาดอีกสอง ภารกิจหลักครั้งนี้คือ “สำรวจและรายงาน” เพราะโรงพยาบาลต้องการข้อมูลไปวางแผน แต่ไหนๆก็มาแล้วเราก็กะกันว่าจะให้บริการไปด้วยเท่าที่จะให้ได้ ผมนัดมาพบกับทีมของคุณบิณฑ์ซึ่งมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยทางน้ำราวสิบคนพร้อมเรือท้องแบนสองลำและถุงสิ่งของจำเป็นสำหรับยังชีพอีกราวหนึ่งร้อยถุง พวกเราทิ้งรถตู้ของโรงพยาบาลไปขึ้นรถหกล้อสูงของมูลนิธิร่วมกตัญญู แล้วลุยน้ำไป ตลอดทางมีชาวบ้านโบกขอให้รถหยุดเพื่อขอถุงยังชีพแต่รถไม่กล้าหยุด น้องกู้ภัยเล่าว่าเคยถูกรุมทึ้งของจนเอาไปไม่ถึงปลายทางมาแล้ว เราลุยน้ำผ่านศูนย์ราชการอยุธยาไปจนถึงริมน้ำเจ้าพระยาใกล้สถานีรถไฟซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่รถยนต์หกล้อยกสูงจะเข้ามาได้ จากนั้นก็ลากเอาเรือท้องแบนจากรถลงน้ำ ก่อนขึ้นเรือมีนักข่าวทีวีสปริงนิวส์สองคนขอติดเรือไปด้วย เราแล่นเรือต่อไปพักใหญ่ก็เลี้ยวเข้าถนนซอยแคบผ่านหน้าบ้านคน ถึงจุดนี้เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องลงลากจูงเรืองเพราะชาวบ้านใช้เชือกกั้นกันเรือไว้เป็นระยะๆ ตลอดทางมีเสียงร้องทักจากผู้คนที่นั่งอยู่ระเบียงบ้านชั้นบนบ้าง หน้าต่างชั้นบนบ้าง สลับกับเสียงคุยกันเองของน้องกู้ภัยซึ่งต้องตะโกนโต้เสียงน้ำไหล

     “เฮ้ย อย่าเข้าไปไกล้ทางนั้น อาจมีไฟรั่ว” แล้วก็มีเสียงตอบว่า

     “ไฟรั่วผมไม่กลัว กลัวแต่ไฟดูด” อีกคนที่แช่น้ำอยู่ถามลูกพี่ที่อยู่บนเรือว่า

     “ตายในหน้าที่ได้กี่ขั้น” ลูกพี่ตอบว่า

     “เอาไปเลยเจ็ดขั้น แถมอีกสามรอบ” ผมสงสัยจึงถามว่าหมายความว่าอย่างไร คนเป็นลูกพี่ตอบว่า

     “ก็บันไดขึ้นเมนเจ็ดขั้นไงครับหมอ ก่อนขึ้นก็วนซ้ายรอบเมนก่อนสามรอบ”

       เนื่องจากน้ำเพิ่งท่วมได้ไม่นาน จึงใสสะอาด เด็กๆว่ายน้ำเล่นสนุกสนานกันอยู่ทั่วไป บ้างก็ว่ายเข้ามาขอเสื้อชูชีพแบบที่พวกเราใส่บ้าง น้องกู้ภัยคนหนึ่งถามว่าจะเอาไปทำไม ก็ได้รับคำตอบว่า

     “เอาไว้เล่นน้ำครับ” 

     บางบ้านมีคนป่วยมีแผลขอให้เราแวะดู เราก็แวะดูและทำแผลให้ ทำให้การชักจูงเรือยากขึ้นไปอีก ในที่สุดเราก็มาถึงจุดที่จะเดินเครื่องเรือได้ เราวิ่งเรือไปตามถนน มองเห็นหลังคารถยนต์ที่จอดเรียงรายหนีน้ำอยู่บนเกาะกลางถนนเป็นทิวแถว แม้แต่รถทหารก็ยังมาจมน้ำที่นี่และถูกจอดทิ้งไว้  ร้านค้าจมค่อนชั้นล่าง มองเห็นป้ายบอกธุรกิจเพียงบางส่วน ซึ่งบางป้ายก็ชวนให้ฉงน เช่นป้ายหนึ่งเขียนตัวโตว่า

     “รับจ้างแก้ผ้า..”  เมื่ออ่านบรรทัดล่างที่จมน้ำอยู่บางส่วนจึงเข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของธุรกิจ เพราะเขียนว่า

     “เปลี่ยนซิป ตัดขา..”

     เราวิ่งเรือผ่านเขตโบราณสถาน ซึ่ง ณ วันนี้มีแต่เจดีย์โผล่พ้นน้ำที่นี่ที่นั่น ขณะที่เรือต้องคอยหลบสันของกำแพงวัดบ้าง กำแพงเมืองบ้าง ป้ายบอกสถานที่บ้าง ซึ่งปริ่มๆอยู่ใต้น้ำและคอยฟัดใบพัดของเรือให้เสียหาย บางตอนลัดเลาะผ่านต้นไม้หนาแน่นคล้ายๆเรือวิ่งอยู่ในป่าชายเลน บางตอนน้ำเชี่ยวจนต้องดับเครื่องยกหางเรือขึ้นแล้ววิ่งแบบเรือพายโต้คลื่นแทน คลื่นแรงเสียจนเรือเอียงข้างเกือบล่ม แต่บางตอนก็วิ่งได้ราบเรียบจนผมอดลอบชมความงามของเมืองอยุธยายามที่มีเจดีย์เสียดพ้นน้ำและเงาเจดีย์ระยิบระยับในน้ำไม่ได้ เสียงน้องกู้ภัยคนหนึ่งพูดวิทยุแล้วหันมาตะโกนแข่งเสียงเรือหางพูดกับพลพรรคบนเรือว่า

     “ข่าวดีโว้ย.. เขาจับจระเข้ได้แล้วสามตัว”

     เรือวิ่งมาถึงซอยแคบที่ต้องผ่านบ้านที่มีคนอยู่อีกแล้ว คราวนี้จะเป็นที่อยู่อาศัยออกแนวสลัมหนาแน่น ชาวบ้านเลื่อนพื้นบ้านหนีน้ำขึ้นไปเกือบชิดหลังคา บางบ้านก็ขึ้นไปอยู่บนหลังคาเลยจริงๆ น้องกู้ภัยคนหนึ่งเปรยกับลูกพี่ว่า

     “พี่..เดี๋ยวนี้ไม่มีคนดีศรีอยุธยาอีกต่อไปแล้วนะ” ลูกพี่เผลอถามว่า

     “ทำไมวะ” จึงได้รับคำตอบว่า

     “ก็พวกเขาหันมากินบนเรือนขี้บนหลังคากันหมด”

     คราวนี้เราวิ่งเลียบกำแพงวัดซึ่งโผล่แค่สันกำแพงให้เห็น หมาพากันวิ่งอยู่บนสันกำแพง และถ่ายมูลไว้บนสันกำแพงเป็นอันมากส่งกลิ่นคลุ้งไปหมด พอพ้นย่านดงขี้หมาบนกำแพงไปก็เป็นย่านเด็กเล่นน้ำ พวกเขาร้องตะโกนให้เราเหลียวกลับไปดูเมื่อเรือวิ่งผ่านไป แล้วก็โชว์ฟอร์มปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้เหนือกำแพง แล้วกระโดดตีลังกาลงมาในน้ำตูมตามสนุกสนาน พนักงานร่วมกตัญญูคนหนึ่งวิจารณ์ว่า

    “เด็กพวกนี้มันไม่รู้จักคันขาหนีบบ้างรึไงนะ ผมละคันขาหนีบจนต้องใส่แต่ยีน เพราะใส่กางเกงในไม่ได้เลย” อีกคนหนึ่งว่า

     “อย่างนี้เอ็งไปรัสเซียไม่ได้นะ” อีกคนสงสัย

     “ทำไมละ” แล้วก็ได้รับคำตอบว่า

     “ก็มันจี้เอากางเกงยีนกันในลิฟท์เลย ให้ถอดกันตรงนั้นเลย แล้วเอ็งไม่ใส่ลิงเอ็งจะเหลืออะไรละ”

     ในที่สุดหลังจากใช้เวลาเดินทางน้ำประมาณสองชั่วโมง เราก็มาถึงจุดหมายแรก เป็นเหมือนเกาะกลางน้ำซึ่งพวกช้างราว 90 เชือกทั้งช้างเด็กช้างแก่ถูกพาหนีน้ำมาอยู่ที่นี่ มีเต้นท์ของบรรดาควาญช้างและครอบครัว บวกกับชาวบ้านที่หนีน้ำจากที่ใกล้เคียง นับรวมได้ราว 250 คน บรรดาเต้นท์วางระเกะระกะ ภายในเต้นท์พวกควาญช้างอยู่กันบนผืนดินที่ชื้นแฉะปนขี้ช้าง แทบทุกคนมีแผลที่เท้า มีอาหารช้างซึ่งถูกขนมาจากภายนอกมากมายก่อนที่เกาะนี้จะถูกตัดขาดด้วยน้ำ อาหารเหลือจนเน่าส่งกลิ่นตลบไปทั่ว  ทำให้ที่นี่ช้างมีอาหารเหลือเฟือ จนผมเองเมื่อยามหิวก็ได้อาศัยกินกล้วยของช้างนั่นแหละครับ

     เรารีบจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขนาดย่อมบนกองขี้ช้างแห้ง ผมบอกให้คุณบิณฑ์ไปตะโกนระดมให้ควาญช้างทุกคนไม่ว่ามีแผลหรือไม่มีแผลมารับการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันบาดทะยัก พวกเขาหลายสิบคนมาเข้าแถวรอฉีดวัคซีนกันเป็นระเบียบ เราฉีดวัคซีน ทำแผล ตรวจคนไข้ มีคนเป็นแผลแบบไฟลามทุ่งหลายคน คนหนึ่งเป็นเด็กเล็กอายุหกเดือนเป็นโรค “หำโอ้ด” (ไส้เลื่อน)

     ขณะที่ทีมเรารักษาคนไข้ ทางด้านคุณบิณฑ์ก็จัดแถวชาวบ้านแจกถุงยังชีพ พอหมดคนไข้ผมรีบใช้เวลาที่พอมีเดินสำรวจลู่ทางที่จะจัดตั้งโรงพยาบาลสนามกลางน้ำท่วมตามที่ได้รับมอบหมายจากประธานบริษัท แต่ก็ต้องส่ายหัวด๊อกแด๊กเพราะท่าทางจะลำบาก ไฟฟ้าไม่มีนั้นยังพอทำเนา เพราะพวกนายช่างของเราคงปั่นไฟเอาได้ แต่น้ำสะอาดไม่มีนี่สิ แล้วการเดินทางที่เสี่ยงอีกละ การจะทำโรงพยาบาลมันคงยากเอาการ สำรวจเสร็จแล้วก็ตามหาพลพรรคเพื่อขึ้นเรือต่อไปยังเป้าหมายที่สองต่อ มองหาพยาบาลอ๋อ หมายถึงพยาบาลชื่ออ๋อ ไปไหนนะ อ้อ..แอบหนีไปเล่นกับลูกช้างอยู่โน่น

     เราออกเรือเพื่อไปยังเป้าหมายที่สอง คือวัดขนอนใต้ ซึ่งได้ข่าวว่ามีคนแก่ร่วมสามสิบคนติดค้างอยู่บนศาลา เรือของเราเสียเวลาแวะตามบ้านคนที่ร้องขอให้หมอแวะเข้าไปดู บ้านหนึ่งถูกงูเหลือมกัดเป็นแผล คุณลุงผู้โดนกัดยังแก้ต่างให้งูเหลือมว่า

     “งูเหลือมมันไม่ตั้งใจจะกัดผมดอก มันตั้งใจจะขึ้นมากินแมว”

     บ้านหนึ่งมีเด็กเป็นโรคมือเท้าปาก (hand foot mouth) อีกบ้านหนึ่งมีคุณยายอายุเก้าสิบกว่าเดินไม่ได้ ซึ่งพอขึ้นไปดูก็พบว่าไม่ได้เป็นโรคอะไร แต่เดินไม่ได้เพราะไม่ได้เดินมาเดือนหนึ่งแล้วเนื่องจากน้ำท่วม ผมให้คุณบิณฑ์ช่วยผมจับปีกคนละข้างพาคุณยายเดินทำกายภาพบำบัดสักพักใหญ่ก็เริ่มเดินได้

     กว่าจะออกเรือพ้นหมู่บ้านได้ก็เริ่มมืดสลัว กัปตันเรือกับพวกใช้ไฟฉายวับๆแวมๆแล้วพาเราหลงทาง ผมเห็นท่าไม่ดีจึงส่งซิกให้คุณบิณฑ์ว่าเราเปลี่ยนแผนกลับเลยดีกว่า คุณบิณฑ์พยักหน้า แล้วคณะเราก็หันหัวเรือกลับ ผ่านมาทางกำแพงวัดเดิม แต่คราวนี้ อยู่ๆ ในความมืดที่มีแสงไฟฉายมัวๆ กัปตันก็เล่นมุข ทำคันเร่งเครื่องเรือค้าง เรือจึงวิ่งรี่เข้าชนกำแพงวัดดังโป๊กยักษ์จุหนึ่งลิตร ข้าวของบนเรือกระเจิง ผมเผลอคลำหาสายกระตุกเสื้อชูชีพแบบบนเครื่องบินเพราะทำใจว่าเรือคงแตกและล่มแล้วจริงแท้แน่นอน แต่..ปรากฏว่าไม่แฮะ เรือนี้ทำจากเหล็ก รับประกัน ไม่ลอก ไม่ดำ และไม่แตก ดีจริงๆ พาพวกเรารอดมาได้ ส่วนกำแพงวัดนั้น ขอโทษ.. คงจะต้องรบกวนกรมศิลปากรมาว่ากันหลังน้ำลดเอาเองเถอะนะครับ ตัวผมและคณะ แหะ..แหะ ขอไปก่อนละครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์