Latest

สมัครใจตาย

เรียน คุณหมอที่เคารพ
คุณหมอเห็นด้วยกับทำการุณยฆาตไหมคะ
ตามข่าวนี้ ดร.กูดดัลชาวออสเตรเลีย อายุ 104 ปีลาลูกหลานแล้วไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อให้หมอที่นั่นช่วยให้ตัวเองตาย เพราะกฎหมายสวิตเซอร์แลนด์อนุญาตให้ผู้มีสติสัมปชัญญะและมีความปรารถนาแน่วแน่ระยะหนึ่งว่าต้องการจบชีวิตตนเอง สามารถร้องขอการตายแบบสมัครใจโดยได้รับความช่วยเหลือได้

………………………………………….

ตอบครับ

     ถามว่าหมอสันต์เห็นด้วยกับการสมัครใจจ้างให้หมอทำให้ตัวเองตายไหม ตอบว่าไม่เห็นด้วยเลยครับเพราะมันขัดกับหลักวิชาแพทย์ที่ห้ามไม่ให้หมอทำร้ายคนไข้..จบข่าว

     แม้มองจากมุมของศาสนาก็ไม่เข้าท่าด้วยประการทั้งปวง อย่างศาสนาพุทธนี้สอนให้ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มันมีตามที่มันเป็น โดยไม่ไปพยายามแทรกแซงให้เป็นอย่างที่เราคิดอยากให้มันเป็น

     ส่วนศาสนาคริสต์นั้นถือว่าชีวิตเป็นของที่ประเจ้าประทานมา ตัวคุณเองท่านก็อุตส่าห์สร้างขึ้นมาจากซี่โครงบุญมา..เอ๊ย ไม่ใช่ ซี่โครงของอาดัม เมื่อชีวิตเป็นของดีที่พระเจ้าให้คุณมาแล้วคุณเอาสิทธิอะไรหรือเอากฎหมายฉบับไหนไปทำลายทิ้งง่ายๆเสียอย่างนั้น

     แล้วพูดก็พูดเถอะ คุณอย่าเที่ยวไปคิดมากไม่เข้าเรื่อง คุณไม่ต้องวอรี่ เมื่อแก่ตัวแล้วถ้าคุณอยากตายก็แค่นั่งสมาธิิิอดข้าวอดน้ำไม่กี่วันคุณก็ได้ตายสมใจแล้ว เพราะเมืิองไทยนี้มีกฎหมาย (มาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550) ที่เมื่อคุณเขียนใส่กระดาษและเซ็นชื่อไว้ว่าเวลาคุณจะตายห้ามใครมายุ่งก็จะไม่มีหมอหรือพยาบาลคนไหนไปหวังดีให้วิญญาณของคุณหงุดหงิด

     คุณถามคำถามไร้สาระแบบนี้มาบ้างก็ดีเหมือนกัน วันนี้เราคุยเรื่องไร้สาระสักวัน ผมหมายถึงเรื่องความตายนี่แหละ ผมมีนักเรียนรุ่นพี่คนหนึ่งเป็นศิลปินใหญ่ที่เอ่ยชื่อปุ๊บท่านต้องรู้จักปั๊บ ท่านเป็นคนขี้โม้ มีชื่อเสียงมากระดับโลก แต่คำขี้โม้กึ่งตลกของท่านอาจจะยิ่งกว่าความมีชื่อเสียงของท่านเสียอีก ท่านเคยพูดกับผมว่าสิงห์โตเป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ปรากฎกายทีไรก็น่าเกรงขามพวกสัตว์ใหญ่น้อยอื่นๆกลัวหัวหด เวลาสิงห์โตจะตาย มันจะหลบเข้าไปนอนนิ่งอยู่ในถ้ำของมันเงียบเชียบไม่ยอมสุงสิงกับสัตว์อื่นใด ต่อมาตัวท่านป่วยหนัก ท่านประกาศห้ามไม่ให้ใครเข้าห้องคนป่วยนอกจากลูกเมียและหมอ พวกน้องๆต่างพากันหงุดหงิดว่าทำไมพี่เขาเป็นอย่างนี้เพราะทุกคนที่สนิทกันก็ล้วนเป็นห่วงอยากไปเยี่ยมไปปลอบโยน แต่ผมไม่พูดอะไรสักคำ เพราะผมเข้าใจมาก่อนหน้านั้นแล้วว่าพี่เขาถือว่าตัวเองยิ่งใหญ่อย่างสิงห์โต และเวลาจะตายก็ต้องการตายอย่างสิงห์โต คือตายคนเดียวไม่ต้องการให้ใครมาสมเพทเวทนาให้เสียความยิ่งใหญ่

     ครูทางจิตวิญญาณของผมคนหนึ่ง (ไม่ใช่คนไทย) เล่าให้ฟังถึงการตายของงู ปกติโดยเราจะไม่เคยเห็นงูเที่ยวตายเรี่ยราดดอก นอกเสียจากว่ามันจะถูกรถทับหรือถูกตีตาย ครูท่านนี้ช่วงหนึ่งของชีวิตท่านเคยอยู่ในป่าหลายปี ท่านเล่าว่างูก่อนที่มันจะตายราวยี่สิบวันมันจะเลื้อยไปนอนหรือขดนั่งนิ่งอยู่ในที่เงียบๆที่เป็นไพรเวซี่ส่วนตัวของมัน ไม่ออกหาอาหารไม่กินอะไร แล้วมันก็ตายอยู่ที่ตรงนั้น ครูเล่าว่าครูเคยเอางูเห่าที่นั่งขดรอความตายอยู่ออกมาจากตรงที่มันเตรียมตัวตาย เอามาป้อนน้ำป้อนอาหาร ปรากฎว่ามันไม่ยอมรับอาหารหรือน้ำเลย แล้วพอท่านปล่อยมันไป มันก็เลื้อยกลับไปขดนั่งอยู่ในที่ที่มันเตรียมจะตายอีก แล้วมันก็ตายเงียบๆอยู่ตรงนั้น

     นี่แสดงว่าแม้แต่สัตว์เลื้อยคลานยังรู้เลยว่าในการมีชีวิตอยู่นี้เมื่อไหร่ที่ร่างกายนี้สมควรแก่เวลาต้องจากกันไปแล้ว แล้วก็เตรียมตัวไป แล้วก็ไปอย่างสงบเย็น หรือไปอย่าง gracefully คนเราซึ่งเป็นสัตว์สูงกว่าก็ย่อมจะต้องมีความสามารถอันนี้อยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติแน่นอน เพียงแต่ว่าเราไปติดอยู่ในกรงของความคิดที่เราสร้างขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จึงต้องดิ้นรนไปตามแต่ความคิดนั้นจะพาไป และความคิดก็จะบอกเราเพียงแต่ว่าให้หนีความตาย หนี หนี หนีให้สุดฤทธิ์

     ช่วงนี้เป็นหน้าฝน แมลงและสัตว์เลื้อยคลานสาละพัดชนิดพากันแวะเวียนมาเยี่ยมที่บ้านบนเขาที่มวกเหล็ก ตัวกระสุนพระอินทร์ที่พอตกใจแล้วจะขดนิ่งกลายเป็นลูกแก้วสวยงามกลมดิกได้พากันกลับมาเดินตามสนามหญ้าคึกคัก เมื่อวานนี้มีหมอรุ่นน้องมาเยี่ยม ผมจึงชวนเธอถ่ายทำคลิปวิดิโอไว้สอนคนไข้เรื่องการกินอาหารมังสะวิรัติแบบกินกันทั้งครอบครัวเพราะเธอเองกินมังสะวิรัติกันทั้งบ้าน ขณะกำลังถ่ายทำ ลูกชายฝรั่ง (สามีเธอเป็นฝรั่ง) ซึ่งกำลังซน ไปคว้าได้ตัวกิ้งกือยักษ์ยาวประมาณหนึ่งคืบ เมื่อคว้าได้ก็มีความตื่นเต้นยินดีรีบวิ่งเอามาขอเข้ากล้องวิดิโอเพื่อโชว์ด้วย ทำเอากองถ่ายวงแตกต้องสั่งคัทเทปกันชั่วคราว

     ที่พูดถึงแมลงนี่คือผมตั้งใจจะพูดถึงกว่าง หมายถึงแมลงสีน้ำตาลที่มีขนาดประมาณหัวแม่เท้า มีเขาโง้งไว้สู้กันและชอบทำเสียงซู่ ซู่ เช้านี้เมื่อผมเดินออกมาที่ระเบียงเห็นกว่างตัวหนึ่งกำลังนอนหงายเอาเท้าชี้ฟ้าดิ้นกระแด่วๆส่งเสียงซื่อ ซื่อ เบาๆอยู่ ผมนึกว่ามันเสียหลักหงายท้องแล้วไม่มีปัญญาพลิกกลับเป็นคว่ำ จึงช่วยมันโดยจับที่เขาโง้งของมันแล้วพลิกตัวมันให้คว่ำลง พอมันคว่ำลงได้มันก็คลานไปสักไม่กี่ก้าว แล้วมันก็ค่อยๆพยายามหงายท้องตัวเองอีกจนสำเร็จ และทำท่าดิ้นกระแด่วๆเหมือนเดิม ผมเพ่งพินิจดูเห็นว่ามันน่าจะเป็นกว่างที่แก่พอสมควรเพราะทั้งตัวใหญ่ยาว ปีกมีรอยผุกร่อนแสดงว่าผ่านชีวิตมาโชกโชน เขามันก็ยาวโง้งแบบเหลือเฟือเลย ผมนึกถึงคำบอกเล่าของครูเรื่องการตายของงู จึงทดลองจับกว่างตัวนี้ขึ้นมา นำมันไปวางบนพื้นหญ้าแฉะๆเพื่อให้มันเคลื่อนไหวสะดวก มันก็คลานไปคลานมาสักครู่จนไปพบลานหินเล็กๆเข้า คราวนี้มันเอาอีกแล้ว มันค่อยๆพยุงตัวเองให้หงายท้องเอาตีนชี้ฟ้ากระแด่วๆอีกแล้ว เออ..ตามใจเอ็ง ผมจึงทิ้งมันไว้อย่างนั้น กะว่าอีกชั่วโมงจะกลับมาดู แต่ว่าพอไปทำอย่างอื่นยุ่งๆก็ลืมมันไป ตกค่ำนึกขึ้นได้จึงเดินไปเอาไฟฉายส่องดู มันยังอยู่ที่เดิม และตายนิ่งสนิทไปแล้วเรียบร้อย แสดงว่าท่านอนหงายตีนชี้ฟ้านี้คงจะเป็นท่ามาตรฐานการตายโดยสมัครใจของกว่าง 

     สัตว์มีธรรมชาติยอมรับความตายว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเกิดมามีชีวิต แต่คนดูเหมือนจะสูญเสียธรรมชาติอันนี้ไปเสียแล้ว กลายเป็นมีธรรมชาติกลัวตายแทน เมื่อกลัวตาย ชีวิตทั้งชีวิตก็กลัวไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะความกลัวตายนี้เป็นแม่ของความกลัวทั้งหลาย เพื่อจะสยบความกลัว คนเราก็ดิ้นรนไล่สยบความเปลี่ยนแปลงนอกตัวทุกอย่างไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต้องการให้ทุกอย่างนิ่งๆไว้ ทำทุกอย่างเพื่อให้มีความมั่นใจว่าตัวเองมีอำนาจควบคุมบังคับ แม้กระทั่งหากต้องฆ่าฟันกันเองหรือทำสงครามเพื่อดำรงความมั่นใจว่าตัวเองคุมสิ่งภายนอกตัวได้ มนุษย์เราก็จะทำ

    มาคิดอีกที จะว่าคนเราเอาแต่หลับหูหลับตากลัวและหนีความตายไปเสียทั้งหมดทุกชาติทุกภาษาก็ไม่ใช่ บางวัฒนธรรมที่เขาโอบรับความตายอย่างเปิดเผยและเป็นธรรมดาก็มี เมื่อหลายวันก่อนมีแฟนบล็อกท่านหนึ่งพาเพื่อนมาทานอาหารที่เวลเนสวีแคร์นี่ ผมได้มีโอกาสนั่งคุยกับเธอหลายนาที เธอเล่าว่าเธอไปแสวงบุญที่อินเดียมา ได้ไปชมเมืองพาราณสี ซึ่งเป็นเมืองที่นำเสนอความตายให้นักท่องเที่ยวไปชมอย่างลุ่นๆโจ๋งครึ่ม โต้งๆ ไม่กระมิดกระเมี้ยนแม้แต่น้อย รายละเอียดโลจิสติกของสินค้าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวชนิดนี้ก็คือคนแก่ที่รู้ว่าตัวเองใกล้จะตายแน่แล้วก็จะรบเร้าให้ลูกหลานพามารอตายที่นี่เพราะเชื่อกันว่าตายที่นี่จะได้หลุดพ้น (โมกษะ) ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ก่อนออกจากหมู่บ้านก็มีพิธีส่งกันตามธรรมเนียม บ้างต้องรอนแรมกันมาหลายร้อยกิโลเมตรกว่าจะมาถึง  มาถึงก็มีโรงแรมที่เตรียมไว้ให้คนไปนอนรอตายด้วย ฝรั่งเรียกโรงแรมนี้ว่าโรงแรมหลุดพ้น (Hotel Salvation) ความจริงชื่อนี้เป็นชื่อหนังดังที่เล่าเรื่องการมาตายที่โรงแรมนี้ เมื่อตายแล้วก็เผากันที่ริมฝั่งน้ำ เผากันเป็นล่ำเป็นสัน วันละมากเกินร้อยศพเรียงรายควันโขมง ไหม้หมดบ้างไม่หมดบ้างสุดแต่กำลังทรัพย์ที่จะซื้อฟืน เพราะฟืนต้องชั่งกิโลขาย ที่เป็นคนรวยก็ได้เผาจนเป็นขี้เถ้า ที่เป็นคนจนก็เผาแค่เกรียมๆแบบอึ่งอ่างย่าง แล้วทั้งหมดนั้นก็ปล่อยลอยลงน้ำไป ผมฟังแค่เรื่องเล่าก็ซาบซึ้งจินตนาการออกโดยไม่ต้องดิ้นรนขวานขวายไปดูเองเลย อามิตตาภะ..พุทธะ

     กลับมาประเด็นที่ว่าเมื่อกลัวตายก็พาลกลัวไปหมดทุกอย่าง การไม่กลัวตายจึงเป็นเรื่องสำคัญ ครูทางจิตวิญญาณของผมอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศษสอนว่า การขยันตามดูประสบการณ์จริงของตัวเองไป จนรู้ด้วยประสบการณ์จริงด้วยตัวเองว่าจิตสำนึกรับรู้หรือ consciousness ของเรานี้ มันไม่ได้เป็นอะไรที่แยกส่วนออกมาเป็นของเราคนเดียวเดี่ยวโดด คือไม่ใช่ separated identity แต่มันเป็นสิ่งหนึ่งเดียวที่จิตสำนึกรับรู้ของทุกๆชีวิตในจักรวาลนี้ล้วนก่อกำเนิดมาจากที่นั่น และเมื่อร่างกายนี้ตายไปแล้ว จิตสำนึกรับรู้นี้ยังคงดำรงอยู่ในสถานะที่เป็นสิ่งหนึ่งเดียวที่เป็นต้นกำเนิดของทุกอย่างอยู่เหมือนเดิมนั้นโดยไม่ได้ตายไปพร้อมกับร่างกายเรา ครูบอกว่าการตระหนักรู้ความจริงที่ว่าความตายของร่างกายไม่ใช่ความตายของจิตสำนึกรับรู้นี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่จะทำให้คนเลิกกลัวตาย และเมื่อนั้นความกลัวเล็กกลัวน้อยอื่นๆก็พลอยสลายไป

     แต่ผู้มาเรียน spiritual retreat กับผมท่านหนึ่งบอกผมว่าเธอได้ทำสมาธิจนอยู่ในฌานนิ่งดีแล้ว จนร่างกายหายไปแล้วเหลือแต่ความรู้ตัว ณ ตรงนั้นลองขยับตัวก็ขยับไม่ได้เพราะร่างกายไม่มี คือเห็นด้วยตัวเองชัดๆเชิงประจักษ์ตระหนักรู้แน่นอนแล้วว่าแม้ร่างกายไม่มีแต่ความรู้ตัวนี้ยังดำรงอยู่ได้ ทั้งๆที่เห็นอย่างนี้แล้ว ตระหนักรู้อย่างนี้แล้ว แต่ต่อมาพอออกจากสมาธิ มาอยู่ในชีวิตประจำวัน เจอสิ่งน่ากลัว ความกลัวก็กลับมาอีก เออ..แล้วจะทำไงดีละ

    นั่นเป็นตัวอย่างความแรงของความจำที่เราเก็บไว้แต่อดีต ความกลัวนั้นเป็นความจำและความเชื่อที่ถูกเก็บไว้ซ้ำซาก ความกลัวก็คือความเชื่อว่าสิ่งร้ายๆจะเกิดขึ้นกับเรา แล้วความเชื่อนี้ผมพูดถึงบ่อยๆว่ามันเป็นอะไรที่แรง จะเป็นรองก็แต่ความสนใจ (attention) เท่านั้นที่แรงเสียยิ่งกว่า ดังนั้นพอออกจากสมาธิ ความจำนี้ก็จะถูกชงขึ้นมานำเสนอโดยอัตโนมัติิ เนื่องจากมันแรง มันก็เลยชนะความตระหนักรู้ที่ได้มาขณะทำสมาธิ

     ลองวิธีของผมไหมละครับ ในประสบการณ์ชีวิตจริงของผมเอง การเอาชนะความกลัว ไม่ว่าจะกลัวตายหรือกลัวอะไร ผมทำด้วยการขยันเข้าไปอยู่ในความกลัวหรือเข้าไปรับรู้ความกลัวนั้นทันทีเดี๋ยวนั้น ณ ที่เกิดเหตุ ผมไม่ได้หมายถึงการดูความคิดที่ทำให้เรากลัวนะ การจะเข้าไปดูความรู้สึกกลัวเราต้องวางความคิดก่อนแหงๆอยู่แล้วไม่งั้นเราจะเอาความสนใจ (attention) ที่ไหนไปดูความกลัวละถูกไหมในเมื่อความสนใจได้ไปจมอยู่ที่ในความคิดเสียแล้ว ดังนั้นยังไงเสียเราก็จำเป็นต้องวางความคิดลงก่อน การรับรู้ความกลัวนี้ผมหมายถึงการเอาความสนใจไปดูความเป็นไปในร่างกาย (body feeling) ดูร่างกายของเราขณะที่กำลังกลัว เพราะความกลัวก็เหมือนความรู้สึกอื่นๆตรงที่มันมีสองขา ขาหนึ่งอยู่ในใจ อีกขาหนึ่งเป็นอาการของร่างกาย เมื่อความกลัวเกิดขึ้นมา ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ให้ทิ้งความคิดมาดูว่าใจมันตื่นตระหนกแว้บ..บ…บ แล้วเต้นตั๊ก ตั๊ก ตั๊ก อย่างไร ขนมันลุกชูชันเย็นสันหลังวาบอย่างไร มือมันเย็นเฉียบอย่างไร ปักหลักดูอยู่ที่หน้าอกหรือลิ้นปี่ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของร่างกายก็ได้ เพราะความกลัวเป็นจิต จิตเป็นไฟฟ้า ไฟฟ้าทั้งหมดจะวิ่งตามเส้นประสาทเข้าไปสู่ไขสันหลังก่อนที่จะไปสมอง ไขสันหลังมันยาวเหยียดและประมาณว่าตรงกลางของมันอยู่ที่หน้าอกหรือลิ้นปี่ ทั้งหมดนี่เป็นการดูคลื่นการสั่นสะเทือน (vibration) หรือความรู้สึกสะดุ้งสะเทือนไหว วิบๆ หวิวๆ เหมือนพยับแดด ไม่มีภาษาใดๆมาเกี่ยวข้อง เสียงก็เป็นแค่เสียงเหมือนเสียงโอมที่ไม่มีความหมายให้ตีความ ภาพก็เป็นแค่ภาพอย่าไปตีความหรือตั้งชื่อ คลื่นก็เป็นคลื่น สะดุ้งก็เป็นสะดุ้ง ขนลุกก็เป็นขนลุก เย็นเป็นเย็น วาบเป็นวาบ ไม่มีการตีความ ไม่มีศัพท์แสงใดอธิบายถึงมันได้ ถ้าจะพูดให้งงกับภาษามากขึ้นอีกหน่อยเขาเรียกว่าดูเวทนา (feeling) บนร่างกาย ดูไปสักพักก็จะพบว่าแล้วทุกอย่างที่กระพือขึ้นมาเป็นความกลัวนั้น พักเดียวมันก็จะสงบลงเหมือนเดิมเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น มีความกลัวอีกก็วางความคิดแล้วดูความกลัวอีก ทำอย่างนี้ไป สนุกดีมาก แล้วความกลัวมันก็จะหมดไปจนไม่มีอะไรเหลือให้ดูเอง

     มีประเด็นอยู่นิดเดียวว่าการจะทำอย่างนี้ได้จะต้องมีสมาธิดีระดับหนึ่ง คือระดับพอที่จะวางความคิดไปปักหลักรออยู่ที่ความรู้ตัวซึ่งเป็นความว่างๆได้ อย่างน้อยก็ชั่วครั้งชั่วคราว หากลองทำแล้วความคิดเฮโลเข้ามากวนตลอดเวลาแสดงว่าสมาธิยังไม่ดีถึงขนาด ต้องถอยกลับไปฝึกสมาธิตามขั้นตอนปกติใหม่สุดแล้วแต่ใครจะถนัดวิธีไหน อย่างที่ผมถนัดก็คือหันเหความสนใจออกจากความคิดมาดูความรู้สึกซู่ซ่าทั่วร่างกาย ผ่อนคลายร่างกาย แล้วจอดความสนใจไว้ในความว่างใหม่ แป๊บเดียว พอสมาธิดีขึ้น ก็ค่อยมาหัดดูเวทนาของร่างกายเมื่อเกิดความกลัวอีก ผมทำอย่างนี้จนเดี๋ยวนี้ความขี้กลัวต่างๆหายไป 99% นอกจากขี้กลัวแล้ว ขี้อื่นๆเช่นขี้หงุดหงิด ขี้โมโห ก็หายไปได้ด้วยวิธีเดียวกันนี้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์