Latest

กลุ่มอาการแสบร้อนในปาก (Burning Mouth Syndrome)

เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ
     ไม่ได้เขียนเมลล์หาคุณหมอนานแล้ว ตั้งแต่หลายเดือนก่อนที่หนูไปเข้าแคมป์ คุณหมอและคุณหมอสมวงศ์สบายดีนะคะ ติดตามบทความคุณหมออยู่ตลอดค่ะ ไม่คิดว่าตัวเองจะมีเรื่องอะไรให้ต้องเขียนมาปรึกษา เพราะตั้งแต่กลับจาก TLM ก็พยายามทำตัวเป็นเด็กดี 555 พยายามดูแลตัวเอง จนน้ำตาลลง ไขมันลง น้ำหนักตัวลง จนถึงมา GHBY และ PBWF ก็ว่าทำตัวดีอยู่ทั้งเรื่องอาหารการกิน และการออกกำลังกายอย่างที่คุณหมอบอกมา ผลเลือดที่ตรวจเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว
FBS 93 mg/dl, HBA1C 5.8
Cholesterol 208, Triglyceride 38, HDL 58, LDL 106
SGPT/SGPT: 24/30
BMI: 23.65
BP: 110-120/70-80
จนล่าสุดนี่อดรนทนไม่ได้เนื่องด้วยปัญหาที่ว่าข้างบนมันหมดไป แต่มีปัญหาใหม่ เริ่มด้วยปัญหาเรื่องรอบเดือนที่มาทีแบบพายุเข้า เขื่อนแตกค่ะ (มาประจำตรงทุกเดือน แต่ปริมาณมากผิดปกติ) จนต้องหาหมอทานยาให้เลือดออกน้อยลง (หมอนรีเวชให้ทานยา Transamine 1*3 ในช่วง 1-2 วันแรกของการมีรอบเดือน หนูว่าคงจะได้ขาวสวยขึ้นด้วยแน่ ๆ เลย เพราะหมอนรีเวชบอกว่าคลินิกความงามเค้าใช้ยาตัวนี้ในการรักษาฝ้า 555) และเนื่องจากปกติมีปัญหาซีดเป็นระยะ ๆ แต่ก็ยังบริจาคเลือดได้อยู่นะคะ ก็ทานยาบำรุงเลือดไป ต่อมาเจอว่ามี endometrial polyps หลายเลย น่าจะส่วนที่ทำให้เกิดปัญหารอบเดือนที่มาเยอะ เพิ่งเอาออกไปเมื่อ 2 เดือนก่อน ผลชิ้นเนื้อไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ปัจจุบันก็ยังมีปัญหาเรื่องรอบเดือนมาเยอะมากอยู่เหมือนเดิม หมอว่ายังไม่ต้องทำอะไร คงเป็นเรื่องของฮอร์โมนละ ทำใจไปพลาง ๆ เอ้ย ทาน Transamine ไปพลาง ๆ อย่างที่ว่า นอกจากนี้ก็มีปัญหาเพิ่ม เรื่องแสบ ๆ ร้อน ๆ ในปาก ลิ้น เพดานปาก เริ่มเป็นตอนจัดฟันแบบใส Invisalign เมื่อหลายเดือนก่อน หมอฟันก็ดูให้ ก็ว่าไม่ได้มีรอยโรคอะไรเลย ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะมีตัว Invisalign ทำให้ลิ้นไปเลยเจ็บ แต่ตอนนี้ถอดออกแล้ว ใส่แต่ retainer ตอนนอนอย่างเดียว ปรากฏว่ายังมีปัญหาแสบร้อนในช่องปากอยู่เหมือนเดิมค่ะ
สรุป ตอนนี้มียาที่ทานประจำคือ Ferrous fumarate 1*2 และ Transamine 1*3 ทานตอนมีรอบเดือน 1-2 วันแรก ปัญหาจากประจำเดือนมาเยอะเกิ้น (แต่ถ้าไม่ลำบากมากจริง ๆ ก็จะไม่ค่อยทานอย่างมากก็ทานเช้าเย็น แค่วันแรกค่ะ) และปัญหาเรื่องแสบร้อนในปากซึ่งรู้สึกว่ากวนใจมาก ๆ แต่กลางคืนก็นอนหลับได้ปกติ ทานอาหารได้ปกติ ตอนตื่นมาจะไม่ค่อยรู้สึกแสบเท่าไหร่ แต่มันจะเพิ่มมากขึ้นระหว่างวัน บริเวณลิ้น ทั้งลิ้นด้านบน บางทีก็เพดานปาก บางทีก็รวมริมฝีปากด้านใน ไม่ได้เจ็บแสบมากขึ้นเวลาทานอาหารหรือ เวลาอะไรไปโดนนะคะ สีของลิ้นตัวเองก็ว่ามันปกติดี ไม่มีลวดลาย หรือรอยโรคอะไร รวมระยะเวลาน่าจะ 3-4 เดือนแล้วนับตั้งแต่ตอนที่เริ่มเป็น จะว่าขาดวิตะมินบีก็ไม่น่าใช่ เพราะไม่ได้ทานมังสวิรัติ ยังทานอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผักเป็นหลัก น้ำก็ดื่มตลอดค่ะ จะว่าเพราะทานของร้อนแล้วลวกลิ้น หรือร้อนในก็ไม่น่าใช่ค่ะ เพราะเคยเป็นก็ไม่ใช่อาการแบบนี้ จะว่าเพราะซีดก็ไม่น่าใช่ ล่าสุดก็เพิ่งบริจาคเลือด (20 พค 61; Hb 14.5) นึกย้อนดูว่าเราเปลี่ยนอะไรใหม่มั้ยทั้งลิปสติก ลิปมัน ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรใหม่ที่จะทำให้เกิดอาการแพ้ หรืออักเสบได้เลยค่ะ ก่อนหน้าก็ไม่ได้มีประวัติแพ้อะไรง่าย ๆ ค่ะ (ยกเว้นแพ้ใจตัวเองเวลาเห็นเค้าขายทุเรียน ^_^) หลังจากพยายามหาข้อมูลจากอากู๋แล้ว ไปเจอกลุ่มอาการแสบร้อนในช่องปาก ดูแล้วอาการเหมือนกันเลยค่ะ ถ้าไม่ใช่โรคติดเชื้อหรือมะเร็ง เค้าว่าอาการนี้มันหาสาเหตุฟันธงไม่ได้ชัดเจนว่าเกิดจากอะไรแน่ อาจจะ menopause หรือขาดวิตะมิน หรืออาจเป็นเพราะเส้นประสาทที่มาที่ลิ้นอาจจะมีปัญหา รวม ๆ แล้วก็เลยเดาเอาค่ะว่าตัวเราคงจะใกล้ menopause กระมัง 555 (ปัจจุบันก็ปีที่ 48 ละคะ) ก็นึกอยู่จะไปหาหมอค่ะ เอาให้แน่ว่าไม่ใช่โรคติดเชื้อหรือมะเร็งแน่ แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าควรจะไปหาหมอของแผนกไหนดี ENT หรือ neuro หรือ endocrine  เลยเขียนมาถามคุณหมอก่อนดีกว่า หนูส่งรูปลิ้นวัว เอ้ยไม่ใช่ลิ้นหนูมาให้ดูด้วย คุณหมอมีคำแนะนำอย่างไรบ้างคะ นอกจากทำใจ
ขอบคุณล่วงหน้านะคะคุณหมอ

…………………………………………………..

ตอบครับ

     คุณสืบค้นจากอินเตอร์เน็ทและวินิจฉัยมาเรียบร้อยแล้วว่าคุณเป็นกลุ่มอาการแสบร้อนในปาก ( burning mouth syndrome) เมื่อคุณวินิจฉัยแล้ว ก็แล้ว ผมจะถือเอาคำวินิจฉัยตามคุณ และจะไม่เก็บค่าวิชาชีพจากคุณในส่วนของการวินิจฉัย จะเก็บเฉพาะในส่วนของการรักษาเท่านั้น โอเค้

     พูดถึงการเชื่ออินเตอร์เน็ทมากกว่าเชื่อหมอจริง ขอนอกเรื่องหน่อยนะ เรื่องแบบนี้มันจะมีมากขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว เพราะการพัฒนาสมองเทียม (artificial intelligence – AI) ทุกวันนี้มันไปเร็วมาก ในวงการแพทย์เองมีหมออยู่ไม่สุขจำนวนหนึ่งได้พยายามทำวิจัยการเอาสมองเทียมมาใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งแน่นอนว่าวันข้างหน้าจะทำให้เพื่อนแพทย์ด้วยกันจำนวนมากตกงานหากไม่ยอมเปลี่ยนบทบาทของตัวเองไป ไม่กี่วันมานี้วารสาร Annals of Oncology ได้ตีพิมพ์ผลวิจัยการสร้างสมองเทียมขึ้นมาแข่งกับหมอโรคผิวหนัง งานวิจัยนี้เป็นผลงานร่วมของหมอและนักคอมพิวเตอร์ในเยอรมัน สหรัฐ และฝรั่งเศส ได้ทำวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบแบบตั้งเป็นสองค่าย ค่ายหนึ่งคือหมอผิวหนังระดับเต้ยนานาชาติจำนวน 58 คน อีกค่ายหนึ่งคือสมองเทียม ให้ทั้งสองค่ายดูผื่นผิวหนังหูดไฝที่อาจเป็นมะเร็งผิวหนัง (malignant melanoma) จำนวน 100,000 ราย แล้วให้ทำการวินิจฉัยแข่งกัน คำเฉลยสุดท้ายก็คือผลการตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยา ผลการแข่งขันปรากฎว่าค่ายสมองเทียมวินิจฉัยได้เก่งกว่าทั้งในแง่ความไว (sensitivity วินิจฉัยว่าเป็นโรคได้แม่นกว่า) และความจำเพาะเจาะจง (specificity วินิจฉัยว่าไม่เป็นโรคได้แม่นกว่า) ผ่าง ผ่าง ผ่าง หมอจริงแพ้เจ้าสมองเทียม มันเสียหายไหมละพี่น้อง

     เพราะว่าเจ้าสมองเทียมนี้โครงสร้างพื้นฐานของมันผูกโยงไว้คล้ายสมองเด็ก ยิ่งให้มันรับรู้ข้อมูลมีประสบการณ์มากมันก็ยิ่งเรียนรู้จดจำมาก ยิ่งไปกว่านั้นมันยังใช้ความสามารถขยายอายตนะที่เครื่องมือแพทย์ทุกชิ้นทำได้มันทำได้หมด อย่างเช่นมันดูผื่นผิวหนัง มันจะขยายภาพให้ใหญ่ขึ้นกี่ร้อยเท่าก็ได้ มันจะสร้างภาพสามมิติขึ้นมาแทนภาพสองมิติก็ได้ สองประการนี้เป็นความเด่นของมัน เหลืออยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่สมองเทียมสู้สมองจริงไม่ได้ คือถ้าอยู่ในภาวะที่ปลอดความคิดสมองจริงสามารถดาวน์โหลดความรู้ในจักรวาลนี้มาใช้ได้ในรูปของปัญญาญาณ (intuition) แต่สมองเทียมมันทำแบบนี้ไม่เป็น ต้องอาศัยแต่ประสบการณ์ของมันเองเท่านั้น แต่ไม่แน่นะ ทุกวันนี้เอะอะอะไรคนก็เอาความรู้ไปเก็บไว้บนก้อนเมฆ (cloud) ต่อไปในอนาคตความรู้ที่ทุกคนพากันเอาไปเก็บไว้บนก้อนเมฆนั้นก็จะกลายเป็นปัญญาญาณของสมองเทียม คราวนี้ก็ไม่รู้ใครจะเป็นหมู่ใครจะเป็นจ่าแล้วละครับ พี่น้องเอ๋ย ถึงตอนนั้นหมอสันต์ตายไปเรียบร้อยแล้ว ลูกหลานของหมอสันต์ที่จะต้องอยู่ภายใต้การปกครองกดขี่ของสมองเทียม ปู่สันต์จะสอนวิธีปลดแอกไว้ให้ล่วงหน้านะ ว่าปัญญาญาณที่จิตมนุษย์ดาวน์โหลดลงมาใช้ได้นั้นมันเป็นศักยภาพที่กว้างไกลไพศาลไม่มีขอบเขตจำกัดพ้นจากมิติของความเป็นมนุษย์ไปอยู่ในมิติความเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนที่ละเอียดอ่อนที่แปลงร่างผันตัวเองได้ทุกรูปแบบ แต่ปัญญาญาณที่สมองเทียมดาวน์โหลดลงมาจากก้อนเมฆนั้นมันจำกัดอยู่แค่ประสบการณ์ผ่านอายตนะของมนุษย์ขี้เหม็นในโลกนี้เท่านั้น ตรงนี้แหละหลานเอ๋ยที่เจ้าจะปลดแอกจากสมองเทียมที่มาปกครองกดขี่เจ้าได้ คือเจ้าต้องหัดวางความคิด ดาวน์โหลดปัญญาญาณมานำทางชีวิตของเจ้า เจ้าจึงจะเอาชนะสมองเทียมได้

     เอ..นี่เราคุยกันเรื่องอะไรอยู่ ทำไมถึงมาลงที่นิยายวิทยาศาสตร์ได้เนี่ย อ้อ นึกออกแล้ว กลุ่มอาการแสบร้อนในปาก แม้ว่าคุณจะได้วินิจฉัยไปแล้ว แต่เพื่อให้ท่านผู้อ่านตามทัน ผมขอพูดถึงเกณฑ์วินิจฉัยกลุ่มอาการแสบร้อนในปากก่อนนะว่า คือภาวะที่อยู่ดีๆไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยลิ้นก็เกิดอาการร้อน แสบ เจ็บ การรับรสเพี้ยนหรือเสียไป บางครั้งก็ลามไปถึงเยื่อบุในช่องปากและริมฝีปากด้วย เป็นทั้งสองซีก (ซ้ายขวา) ของปากและลิ้น เป็นอยู่นานหลายเดือน ถ้ากินหรือดื่มอาการจะน้อยลง ถ้าปสด. (ประสาทแด๊กซ์) อาการจะมากขึ้น และถ้าอยู่ในระหว่างเลือดจะไปลมจะมา (PMS) นั่นแหละ ของคู่กันเลย

     เอาละคราวนี้มาตอบคำถาม คุณถามว่าหมอสันต์มีคำแนะนำอะไรในเชิงการรักษาที่นอกเหนือไปจากการให้ทำใจไหม ตอบว่า

     “..ไม่มี”

     จบข่าว กลับบ้านใครบ้านมันได้

     คำตอบข้างต้นนั้นสำหรับการวินิจฉัยกลุ่มอาการแสบร้อนในปากแบบปฐมภูมิ (primary burning mouth syndrome – คือแบบหาสาเหตุใดๆไม่พบ) ซึ่งเป็นกรณีของคุณ แต่สำหรับท่านผู้อ่านทั่วไป บางครั้งกลุ่มอาการแสบร้อนในปากมันเป็นเพียงอาการของโรคอื่น เรียกว่าเป็นแบบทุติยภูมิ ( secondary) ซึ่งถ้าแก้ไขโรคนั้นหายอาการก็จะหายไปได้ โรคเหล่านั้นได้แก่ โลหิตจาง, มีเชื้อราในปาก (Candidiasis), กรดไหลย้อน (GERD), เบาหวาน, ขาดวิตามิน (B1, B2, B6, B12, โฟเลท, เหล็ก), ไฮโปไทรอยด์, ร่างกายขาดน้ำ (dehydration), เครียดกังวล, หายใจทางปากมากไปเพราะจมูกตัน, ติดเชื้อในปาก, ใช้ยาอมบ้วนปากที่เข้าแอลกอฮอล, ปากอักเสบแบบร้อนใน (aphthous), ปากแพ้จากการสัมผัส (เช่นวัสดุดัดฟัน เคี้ยวหมาก เคี้ยวใบยา), เป็นผลข้างเคียงของยารักษาโรค เช่นยาลดความดัน ยารักษาโรคจิตโรคประสาท ยาแก้แพ้กลุ่มต้านโคลิเนอร์จิก ยาเคมีบำบัด เป็นต้น ซึ่งก็ต้องไล่หาว่ามีโรคหรือยาเหล่านี้อยู่หรือเปล่า ถ้ามีก็รักษาเสียหรือเลิกยาเสีย

     ถามว่าจะไปหาหมออะไรดี ตอบว่าก็ไปตั้งต้นที่หมอทั่วไป เพื่อคัดกรองโรคทั่วไปเช่นเจาะเลือดประเมินรูปร่างของเม็ดเลือด ส่งเลือดตรวจ homocysteine เพื่อประเมินภาวะขาดวิตามินบี.12 ส่งเลือดตรวจ ferritin เพื่อประเมินระดับเหล็กในร่างกาย, ส่งเลือดตรวจ TSH และ FT4 เพื่อประเมินการทำงานของต่อมไทรอยด์ เอายาที่กินอยู่ประจำทั้งหมดให้หมอเขาดูว่ามีตัวไหนที่จะก่อเรื่องได้บ้าง
     จบจากหมอทั่วไปแล้วหากยังหาอะไรไม่เจอก็ไปหาหมอหูคอจมูก (ENT) เพื่อวินิจฉัยแยกโรคในช่องปากออกไปก่อน
     ถ้ายังไม่เจออะไรอีกก็ไปหาหมอประสาทวิทยา (neurologist) เพื่อวินิจฉัยแยกโรคของปลายประสาทซึ่งในปากและลิ้นนี้มีประสาทสมองมาเลี้ยงหลายเส้น ให้เขาตรวจไปทีละเส้น
   
     หากตรวจแล้วยังไม่พบอะไร และคุณยังเป็นทุกข์อยู่ ก็ไปหาจิตแพทย์

     ถามว่าถ้าเป็นตัวหมอสันต์เองปากเจ่อ..เอ๊ยไม่ใช่ ปากปวดแสบปวดร้อนเสียเองจะทำอย่างไร ตอบว่าผมเคยตอบคำถามหนึ่งไปไม่นานมานี้เรื่องปวดประจำเดือนแบบสุดๆ (http://visitdrsant.blogspot.com/2018/05/blog-post_24.html) นั่นแหละคำแนะนำของผมสำหรับการรับมือกับอาการทางร่างกายทุกอย่าง ใช้ได้แบบรูดมหาราช ครอบจักรวาล ถ้าคุณแน่จริงให้คุณลองทำตามนั้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. H A Haenssle, C Fink, R Schneiderbauer, F Toberer, T Buhl, A Blum, A Kalloo, A Ben Hadj Hassen, L Thomas, A Enk, L Uhlmann. Man against machine: diagnostic performance of a deep learning convolutional neural network for dermoscopic melanoma recognition in comparison to 58 dermatologists. Annals of Oncology, 2018; DOI: 10.1093/annonc/mdy166
2. Feller L, Fourie J, Bouckaert M, Khammissa RAG, Ballyram R, Lemmer J. Burning Mouth Syndrome: Aetiopathogenesis and Principles of Management. Pain Res Manag. 2017. 2017:1926269.
3. Coculescu EC, Radu A, Coculescu BI. Burning mouth syndrome: a review on diagnosis and treatment. J Med Life. 2014 Oct-Dec. 7 (4):512-5.
4. Tait RC, Ferguson M, Herndon CM. Chronic Orofacial Pain: Burning Mouth Syndrome and Other Neuropathic Disorders. J Pain Manag Med. 2017 Mar. 3 (1):PreMedline Identifier: 28638895