Latest

ผมรู้ทฤษฏีรู้หลักชีวิตหมดแล้ว..แต่กลัว

สวัสดีปีใหม่ครับคุณหมอ
ผมอายุ 45 ปี เป็นมะเร็งปอดระยะที่สี่ ได้ผ่าตัดปอดออกไปข้างหนึ่ง แต่มะเร็งแพร่กระจายไปกระดูกหลายจุด ขณะนี้กำลังใช้เคมีบำบัดอยู่ ผมพยายามออกกำลังกายและกินอาหารในแบบที่คุณหมอแนะนำทางยูทูป ผมมีปัญหาปรึกษาคุณหมอดังนี้

1. การแพร่กระจายของมะเร็งที่ไปที่กระดูกนั้น ต้องไปเจาะดูเอ็นไซม์ของกระดูก (Alk) ไหม ต้องตรวจบ่อยแค่ไหน ทุกสามเดือนพอไหม

2. คุณหมอสันต์ครับ ผมรู้ทฤษฏีรู้หลักชีวิตทั้งหมดที่คุณหมอพูดและตอบคำถามบ่อยๆ แต่ผมสารภาพกับคุณหมอว่าผมกลัวการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป กลัวสูญเสียทุกอย่างที่บ่งบอกความเป็นตัวผมที่ผมสู้อุตส่าห์ก่อร่างสร้างตัวและศึกษาอบรมมา ผมพูดได้เต็มปากว่าผมเป็นคนดี มีความสุขและพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีซึ่งก็ได้มาโดยสุจริตทั้งสิ้น ผมรู้ทฤษฎีว่าทุกอย่างไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง แต่ผมกลัว ผมควรทำอย่างไรกับความกลัวนี้ครับ

…………………………………

ตอบครับ

     ในเวลาที่จำกัดเพราะมันดึกแล้วนี้ ผมตอบคำถามเดียวนะ คือคำถามเจาะลึกเรื่องความกลัวสูญเสียทุกอย่างที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเองไป ตอบว่า “ทุกอย่าง” ที่คุณหมายถึงนั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเท่ๆของคุณ คุณวุฒิสูงๆ ความรู้ดีๆที่สะสมมา ความคิดดีๆ เมียของเราที่สวย ลูกของเราที่น่ารัก ความรับผิดชอบต่อสังคมและครอบครัวอย่างดีที่คุณเฝ้าทำมา ความฝันอันบรรเจิดที่จะสร้างสรรค์โน่นนี่นั่น ทั้งหมดนั้นแหละคือสิ่งที่เรียกรวมๆว่า “อัตตา” หรือ “อีโก้” มันเป็นเพียงความคิดนะ และมันจะต้องดับสูญไปอย่างแน่นอนไม่เมื่อใดก็เมื่อหนึ่ง เพราะชื่อว่าความคิดแล้ว ย่อมมีธรรมชาติเป็นเพียงลม เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วก็ต้องดับไป แต่ความไม่ลึกซึ้งในชีวิตอาจทำให้เราเผลอเอาความคิดส่วนที่ถูกเก็บไว้เป็นความจำกลับขึ้นมาปรุงหรือมาคิดต่อยอดเป็นตุเป็นตุซ้ำซากอีก ภาษาบ้านๆเรียกว่าเกิดความยึดติด (attachment) แต่นั่นก็เป็นความคิดอีกนะแหละ ทั้งหมดนั้นล้วนต้องดับสิ้นไปอย่างไม่ต้องสงสัย เรียกว่าแน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้ง

     แต่ว่าคุณกลัวเหลือเกินที่จะเสียมันไป ผมถามคุณหน่อยสิว่าทุกคืนที่คุณเข้านอนคุณกลัวที่จะสูญเสียสิ่งที่เรียกว่า “อัตตา” นี้ไปไหม ไม่เลยใช่ไหม อ้าว..ทำไมละ ตอนคุณเข้านอนคุณก็สูญเสียสิ่งเหล่านี้ไปเหมือนกัน มันไม่เคยตามคุณไปถึงตอนที่คุณหลับลึกหรอก ทำไมคุณไม่กลัวสูญเสียละ ทุกคืนคุณรอเวลาที่จะได้เข้านอนเสียอีก เพราะมันเป็นความโปร่งโล่งที่จะได้วางสิ่งเหล่านี้ลงอย่างน้อยก็ขณะที่่คุณหลับใช่ไหมละ แต่คุณไม่กลัว เพราะประสบการณ์สอนคุณว่าการนอนหลับไม่ได้ทำให้อัตตาของคุณหายไปไหน พอคุณตื่นขึ้นมา มันก็ยังอยู่กันพร้อมหน้า แต่ความตายมันไม่เหมือนการนอนหลับตรงที่มันไปแล้วไปเลย คุณได้ลงทุนลงแรงไปมากเหลือเกินกว่าจะสร้างความเป็นคุณขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ จึงรับไม่ได้ที่อยู่ๆทั้งหมดนี้จะหายไปดื้อๆ

     ผมจะชี้ให้คุณเห็นอย่างหนึ่งนะ ชีวิตนี้ประกอบด้วยร่างกาย (body) ความคิด (thought) และความรู้ตัว (consciousness หรือ awareness) แขนอันทรงอิทธิพลของความรู้ตัวก็คือความสนใจ (attention) ในการใช้ชีวิตเรามักจะปล่อยให้ความสนใจเข้าไปขลุกอยู่ในความคิดเสียจนเราซึ่งเป็นความรู้ตัวเผลอสำคัญผิดไปว่าเราเป็นความคิด แทนที่จะเห็นตามความเป็นจริงว่าความคิดก็ดี ความรู้สึกก็ดี เป็นแขกที่มาเยี่ยมเราเป็นครั้งคราวแล้วจากไป ทิ้งเราไว้อยู่กับธรรมชาติของตัวเราคือความรู้ตัวนี้ซึ่งมีธรรมชาติสงบเย็น แต่นี่เรากลับไปเผลอยึดถือเป็นตุเป็นตะว่าเราคือความคิดเหล่านั้น พอความคิดเหล่าน้้นจะมีอันเป็นไปเราก็รับไม่ได้เพราะเราได้ลงทุนลงแรงไปมากเหลือเกินกับสิ่งที่เราคิดว่าคือความเป็นเรา นี่ตูข้ากำลังจะตาย กำลังจะถูกลบชื่อออกจากสาระบบของจักรวาลนี้แล้ว นี่เป็นตัวอย่างคลาสสิกของความเข้าใจผิดที่ว่าตูข้านี้เป็นอะไรที่แยกส่วนออกมาจากสิ่งอื่น ส่วนนี้คือตัวข้า ส่วนอื่นไม่ใช่ตัวข้า เข้าใจผิดว่าตัวตนของเรานี้ (self) เป็นตัวตนที่ไม่เกี่ยวกับคนอื่นสิ่งอื่น (separated self) ความเข้าใจผิดนี้นำมาสู่สิ่งเลวๆในชีวิตสองอย่าง คือ
   
     (1) ความกลัว (fear) ว่าตัวตนแยกส่วนนี้จะมลายหายไปขณะที่สิ่งอื่นคนอื่นเขายังอยู่กัน

     (2) ความอยาก (desire) ได้อะไรมาเพิ่มขึ้นไม่รู้จบเพื่อให้ตัวตนที่แยกส่วนออกมาจากสิ่งอื่นนี้มันสมบูรณ์เสียที เพราะความที่มันแยกส่วนออกมา มันจึงไม่เคยสมบูรณ์

     ในกรณีของคุณสิ่งที่โดดเด่นอยู่คือความกลัว ทางแก้ปัญหามีวิธีเดียวคือคุณต้องรู้ว่าจริงๆแล้วตัวคุณเองเป็นอะไร หรือตัวคุณเองเป็นใคร ผมไม่ได้หมายความว่าให้คุณท่องจำหรือลงมติเห็นด้วยกับผมว่าคุณคือความรู้ตัวไม่ใช่ร่างกายหรือความคิด แต่ผมหมายถึงให้คุณลงไปมีประสบการณ์ตรงกับความรู้ตัว คือคุณรู้ตัวอยู่ว่าคุณกำลังสังเกตความคิดของคุณ สังเกตจนเห็นว่าประสบการณ์การเป็นผู้สังเกตความคิดนี้ไม่เคยหนีจากคุณไปไหนเลย มันอยู่กับคุณตลอด จริงๆแล้วประสบการณ์กับการเป็นผู้สังเกตนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน ทำอย่างนี้ได้ก็เรียกว่าเป็นการรู้ความรู้ตัว (aware of awareness) ที่เดี๋ยวนี้ทีละขณะ ทีละขณะ การรู้ความคิดและความรู้สึกใดๆอยู่ที่เดี๋ยวนี้นี่แหละคือความเป็นคุณที่แท้จริง มันเป็นสิ่งที่มั่นคงเที่ยงแท้แน่นอน อยู่ที่นี่ตลอด ไม่เคยไปไหน แล้วมันไม่เป็นของใครด้วยนะ ไม่ใช่ของคุณด้วย เพราะคุณที่เป็นเจ้าของอะไรได้นั้นคืออัตตาซึ่งเป็นแค่ความคิด แต่ความรู้ตัวไม่ใช่ความคิดหรือคอนเซ็พท์ใดๆ รวมทั้งคอนเซ็พท์เรื่องใครเป็นเจ้าของอะไรมันก็ไม่เกี่ยวด้วยทั้งนั้น มันเป็นแค่ความตื่นรู้ที่สงบเย็นเป็นนิรันดร

     ดังนั้นเพื่อที่จะรักษาโรคกลัวของคุณ ให้คุณถามตัวเองก่อน เมื่อคุณพูดว่า “ผมกลัว” คุณหมายถึงผมไหน ผมที่เป็นความคิด หรือผมที่เป็นความรู้ตัวซึ่งสังเกตเห็นทุกความคิดทุกความรู้สึกอยู่ทีละขณะ ถ้าคุณเป็นผมคนแรก คุณก็ทุกข์ ถ้าคุณเป็นผมคนหลัง คุณก็สงบเย็น วิธีรักษามีแค่นี้ ลองทำดู

     เวลาคุณลองทำ คุณไม่ต้องไปพะวงขับไล่ความกลัว แค่ถอยความสนใจจากความคิดทั้งหลายรวมทั้งจากความกลัวด้วย มาอยู่กับความรู้ตัว มีประสบการณ์กับการรู้การสังเกตความคิดและความรู้สึกต่างๆอย่างไม่ว่างเว้นหยุดหย่อน ไม่ใช่รู้อย่างผู้สังเกตอยู่ห่างๆนะ แต่รู้อย่างอาบรดและเป็นตัวประสบการณ์นั้นเอง แต่ความรู้ตัวจะไม่ถูกแปดเปื้อนโดยประสบการณ์นั้น ความรู้ตัวยังคงแคแรคเตอร์ที่เป็นความตื่นรู้และสงบเย็นตลอดกาล ประสบการณ์ซ้ำซากอย่างนี้จะก่อให้เกิดความจำใหม่ๆขึ้นในใจ ไม่ใช่ความจำเกี่ยวกับอดีต แต่เป็นความจำความลึกซึ้งของประสบการณ์ในฐานะความรู้ตัว ว่าผมเป็นผู้สังเกตรับรู้อยู่ที่นี่ ไม่เคยไปไหน ไม่มีอะไรมาทำร้ายได้ ไม่มีเกิด ไม่มีตาย ประสบการณ์เกี่ยวกับความคิดก็ดี ร่างกายก็ดี ล้วนผ่านเข้ามาสู่การสังเกตแล้วก็ผ่านออกไป แต่ผมยังอยู่ อยู่ที่นี่ตลอดกาล อย่างสงบเย็น ความจำอย่างนี้จะกลายเป็นความไว้วางใจ (trust) ว่าชีวิตนี้เป็นความสงบเย็นตลอดกาล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็สงบเย็น ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่กลัวตายด้วย เพราะความตายของความคิดก็ดี ความตายของร่างกายก็ดี ก็เป็นเพียงประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาสู่การสังเกตรับรู้ของความรู้ตัว แล้วก็จะผ่านออกไป เหมือนเช่นการหลับหนึ่งครั้งเท่านั้น

     ลองทำดูนะ ถ้าทำแล้วติดขัดเพราะความคิดมันใหญ่เกินจนไปวางมันไม่ลง ให้หาโอกาสมาเข้า Spiritual Retreat
   
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์