Latest

ความคิดนี้มันเคลื่อนไหวไปอย่างไร ทำไมคนจึงมาจมปลักอยู่ตรงนี้

คุณหมอคะ
   
     หนูกำลังจมอยู่ในความเสียใจและรู้สึกผิด ใครๆก็บอกว่าปล่อยวางความคิดนั้นไปซะ let it go แต่หนูปล่อยวางไม่ได้ หนูต้องทำอย่างไรจึงจะปล่อยวางได้

………………………………………

ตอบครับ

     โอเค. คุณลืมคำพูดที่คนอื่นบอกให้คุณปล่อยวางซะนะ ฟังผมพูดใหม่ ผมบอกคุณว่า

     “ให้ปล่อยความคิดที่มันอยากอยู่กับคุณให้มันอยู่กับคุณ Let it stay”

     คุณไม่ใช่คนเดียวที่หยุดความคิดไม่ได้ จริงๆแล้วไม่มีใครหยุดความคิดได้หรอก ในเมื่อผู้จะหยุดความคิดก็คืออีกความคิดหนึ่ง แล้วความคิดมันจะไปหยุดความคิดได้อย่างไร มันมีแต่จะต่อยอดกันขึ้นให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นเท่านั้น สิ่งที่คุณทำได้และควรทำก็คือคุณแค่สังเกตความคิดแค่นั้น อย่าหนี แล้วคุณก็จะเห็นว่าความคิดนั้นไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกผิดหรือความกลัวหรือความโกรธก็ตาม เมื่อถูกสังเกตมันจะฝ่อหายไปเอง โดยเราไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย เหมือนการสังเกตเป็นการส่องไฟฉายเข้าใส่สัตว์ซึ่งกลัวแสงสว่างพอดี กับปัญหาชีวิตทุกปัญหาคุณก็ใช้วิธีเดียวกัน คือให้สังเกต เมื่อคุณมีความรู้สึกผิด ให้คุณอยู่กับมัน ให้คุณเป็นมัน ให้คุณรู้จักมันแบบถึงกึ๋น แบบ insight ให้ความรู้สึกผิดนั้นมันบาน เมื่อมันบานสุดๆแล้วมันก็จะเหี่ยวไป ไม่ต้องไปพยายามแก้ปัญหาด้วยการขับไล่ ทำอย่างนั้นคุณจะติดกับความพยายามดับความคิดแต่ดับไม่ได้ ความเศร้าก็เช่นเดียวกัน คุณไม่ต้องหนีไปหาคำปลอบโยน ไม่ต้องหลีกเลี่ยง ปล่อยให้มันอยู่กับคุณ แล้วคุณสังเกตมันเฉยๆ ไม่ใช่ฝังความเศร้าให้เป็นนิสัยเคยชินนะ ไม่บูชาความเศร้าด้วย ไม่ดราม่ากับความเศร้าด้วย แต่สนใจความเศร้าอย่างผู้สังเกต ชำเลืองมอง สังเกตอย่างไม่กำหนดทิศทางให้มันว่าจะให้มันไปทางไหน สังเกตโดยไม่แยกแยะ ขออนุญาตพูดภาษาอังกฤษ..choiceless observing แล้วคุณก็จะได้เรียนรู้ว่าเมื่อความเศร้ามันบานจนสุดที่มันจะบานต่อได้แล้ว มันก็จะหุบเหี่ยวหายไปเอง เหลือแต่ความว่างๆโปร่งๆใสๆที่ผมเรียกว่าความรู้ตัว

     คุณต้องเข้าใจก่อนว่าความคิดนี้มันคืออะไร มันเคลื่อนไหวไปอย่างไร ทำไมคนจึงมาจมปลักอยู่ตรงนี้ ความคิดก็คือการใช้ความจำจากอดีต มาปรุงเนื้อหาขึ้นใหม่ที่ปัจจุบัน แล้วคาดการณ์ไปในอนาคตซึ่งเป็นเวลาที่สมมุติขึ้นในใจ ยกตัวอย่างเช่นความกลัว ปัจจัยที่จะเอามาปั้นเป็นความกลัวมีอยู่สองอย่างเท่านั้นคือความจำเรื่องร้ายๆในอดีต กับความเชื่อในคอนเซ็พท์เรื่องเวลาว่าอนาคตมีอยู่จริง หมายถึงเวลาในใจหรือ psychological time ซึ่งก็เป็นความคิดเช่นกัน สองปัจจัยนี้ทำให้เราเวียนว่ายอยู่ในวงจรทำลายตัวเอง    ความกลัวเป็นการคาดการณ์อดีตที่เลวร้ายไปในอนาคต แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวนี้สิ่งที่กลัวยังไม่เกิดขึ้น ความกลัวจึงเป็นการเคลื่อนไหวของความคิดในมิติของเวลาในใจ ดังนั้นทั้งความคิดทั้งเวลาแท้จริงแล้วมันก็คืออันเดียวกันคือเป็นความคิดทั้งคู่ กลไกของมันคือเริ่มจากการรับรู้สิ่งเร้าเข้ามาเป็นประสบการณ์ เก็บไว้เป็นความจำ แล้วความจำเหล่านั้นแหละที่กลับโผล่ขึ้นมาเป็นความคิดใหม่ที่วาดภาพไปในอนาคต เป็นกลไกซ้ำซากไม่รู้จบ กลไกที่ความคิดก่อปัญหาให้เรานี้เป็นกลไกง่ายๆตื้นๆไม่มีอะไรลึกลับหรือศักดิ์สิทธิ์ระดับลบหลู่ไม่ได้หรอก ยกตัวอย่างเรื่องคนกลัวผี เขาเป็นคนเชื่อว่าอนาคตเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เขาได้ยินได้ฟังเรื่องผีมาแต่อดีตว่าบ้านนี้มีผี เขาผูกโยงเรื่องผีเป็นคอนเซ็พท์เรื่องราวเป็นตุเป็นตะในใจและเชื่อมันด้วย สมองเขาจะจำเรื่องผีนี้ไว้ นานๆเรื่องนี้ซึ่งฝังอยู่ในความจำก็โผล่ขึ้นมาดึงความสนใจของเขาให้ไปสนใจเรื่องผีดุในบ้านนี้เสียทีหนึ่ง โผล่ขึ้นมาแต่ละทีเขาก็จะเอาความจำเก่าเรื่องผีนี้มาปรุงต่อโดยผสมคลุกเคล้ากับความเชื่อว่าเวลาในอนาคตเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง สองความเชื่อคลุกเคล้ากันกลายเป็นความกลัว เช่นกลัวว่าคืนนี้หรืออีกสองสามคืนเมื่อเดือนมืดลงผีจะมา ไม่มีใครจะสามารถปัดเป่าหรือไล่ความกลัวผีนี้ออกจากใจเขาได้ตราบใดที่กลไกการปรุงความคิดซ้ำซากนี้ยังอยู่ในหัวเขา

     การจะแก้ปัญหาใดๆที่เกิดจากความคิด รวมทั้งความรู้สึกผิดในใจด้วย คุณจะต้องปลดปล่อยสมองให้เป็นอิสระจากความจำในอดีตซึ่งเป็นบ่อเกิดความคิดให้ได้ก่อน ให้ใจมีแต่ความว่างๆโปร่งๆใสๆ ให้ใจมี clarity ก่อน หากจมอยู่ในปัญหาร้อยแปดอยู่แล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร เพราะสมองจะสนองตอบต่อปัญหาในแบบที่มันเคยทำ มันเป็นกลไกอัตโนมัติที่ถูกมัดมือชกให้วิ่งซ้ำรอยเดิม (conditioned reflex) มันจะเป็นเช่นนี้เสมอ ถ้ามันเคยคิดซ้ำซาก มันก็จะใช้วิธีคิดซ้ำซากต่อไปไม่รู้จบสิ้น

     แต่ขณะเดียวกันคุณไม่ต้องคาดหมายให้ความโปร่งใสในใจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนะ นั่นเป็นการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในมิติของเวลาซึ่งเป็นความคิดอีกอันหนึ่ง ความโปร่งใสในใจจะเกิดจริงก็เฉพาะเดี๋ยวนี้แว้บเดียวซึ่งอยู่นอกมิติของเวลาเท่านั้น อย่าไปเชื่อความคิดที่พร่ำบอกคุณว่าทุกอย่างต้องทำได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอนเพราะความคิดมันคุ้นเคยกับมิติของเวลา การจะหลุดจากความคิดไปรู้ว่าความจริงของชีวิตคืออะไรมันต้องเริ่มด้วยการเคลียร์ความคิดที่ผูกพันอยู่กับเวลาทิ้งไปให้หมดเพื่อมาอยู่ที่เดี๋ยวนี้ให้ได้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นความคิดซ้ำซากในเรื่องรู้สึกผิด อิจฉา โกรธ เกลียด เศร้า เคลียร์ออกไปให้หมดก่อนด้วยการเฝ้าสังเกตมันแบบเฉยๆ

     อนึ่ง ในการใช้ชีวิตอย่าไปพยายามควบคุมอะไร เพราะเมื่อมีการควบคุมก็มีความตั้งใจจะทำ ซึ่งนั่นก็คือความอยาก เมื่อผมบอกว่าผมจะทำสิ่งนี้ หรือจะต้องทำสิ่งนั้น ผมกระโดดเข้าไปในมิติของเวลาในใจแล้ว อดีตอนาคตก็จะเกิดขึ้นตามมา ความกลัว ความหวัง ความยึดถือเกี่ยวพันก็จะตามมา เราหยิบเรื่องความยึดถือเกี่ยวพันขึ้นมาเป็นตัวอย่างก็ได้ ทำไมฉันจึงยึดถือเกี่ยวพันกับคนคนนี้ เพราะฉันเหงา ฉันอยากได้รับคำปลอบ ฉันยืนด้วยตัวเองไม่ได้ ฉันต้องการใครสักคนมาจับมือฉันบีบแล้วบอกว่าฉันมีค่า ฉันเศร้า ฉันกังวล ฉันจึงต้องพึ่งพาใครสักคน การพึ่งพาทำให้เกิดการยึดติด การยึดติดก่อให้เกิดความกลัว ความกังวล ความอิจฉา ทั้งหมดนี้คือธรรมชาติโดยรวมของความยึดถือเกี่ยวพันซึ่งเราสังเกตมันได้และทิ้งมันได้ทั้งกะบิตูมเดียวทิ้งหมด ทิ้งความยึดติดไปได้แล้ววามกลัวความกังวลถึงอนาคตที่สืบเนื่องจากความยึดติดนั้นก็จะหายไปด้วย เท่ากับว่าเราได้ทิ้งเวลาในใจไปแล้วกลับมาอยู่กับปัจจุบันซึ่งอยู่นอกมิติของเวลาได้สำเร็จ

     การเลิกบ่นเลิกเปรียบเทียบเลิกพิพากษาตัดสินใครๆก็เป็นการยุติเวลาในใจเช่นกัน เพราะการเปรียบเทียบก็คือความอยากเป็นอย่างนั้นหรือความไม่อยากเป็นอย่างนี้ การเปรียบเทียบคือความเคลื่อนไหวของความคิดในมิติของเวลา ยกต้วอย่างเช่น เขาเป็นสามีที่แย่กว่าสามีคนอื่นอย่างนี้ แล้วชีวิตอนาคตของฉันจะเป็นอย่างไร เป็นต้น ดังนั้นให้เลิกบ่น เลิกเปรียบเทียบ เลิกพิพากษา ความคิดชอบกระทบกระเทียบเปรียบเปรยพิพากษานี้ หากตามมันไปมากๆมันก็คือความบ้าอำนาจดีๆนี่เอง

     พูดถึงความบ้าอำนาจ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์คือความบ้าอำนาจผ่านการพยายามควบคุมความคิดของคนอื่น พวกพระในยุโรปสมัยกลางพยายามควบคุมความคิดของผู้คนด้วยวิธีต่างๆเช่น การเทศนา อบรมสั่งสอนให้เชื่อ เขียนหนังสือ โฆษณาชวนเชื่อ ให้รางวัล ลงโทษ สร้างความกลัว สอบสวน ทรมาน เผาทั้งเป็น สิ่งเหล่านี้ถ้าพวกนักบวชเป็นคนทำเราเรียกว่า “ศาสนา” ถ้านักปกครองเป็นคนทำเราเรียกว่า “ความรักชาติ” หรือจะเรียกเหมาโหลรวมๆว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ก็คงพอได้กระมัง ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ ทั้งหมดเป็นแค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เก๊ หากคุณอยากรู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงเป็นอย่างไร ให้คุณทิ้งสิ่งที่ความคิดของคุณบอกคุณว่ามันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปเสียให้หมด ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ คำสอน รูปปั้น รูปเคารพ ภาพสีบนกระจก ศิลาจารึก พิธีกรรม คำสวด มนต์คาถา ทิ้งไปให้หมด จนไม่เหลืออะไรเลยที่ภาษาเรียกชื่อได้อธิบายได้ ไม่ต้องอาศัยบาทหลวง ไม่ต้องอาศัยนักบวช ไม่ต้องอาศัยกูรู ไม่มีใครเป็นสาวกใคร อยู่นิ่งในความเงียบที่สมองว่างเปล่าจากความจำในอดีตและการวาดถึงสิ่งร้ายๆในอนาคต แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของจริงคือ “ความรู้ตัว” จะปรากฎแก่คุณเอง

    การจะหลุดพ้นจากความคิด คุณต้องมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีอำนาจอะไร ไม่เป็นใครสักคน ถ่อมตัวอย่างไม่มีเบื้องหลัง ปลดปล่อยสมองจากภาระทั้งหมด เลิกเก็บบันทึกเรื่องเหลวไหล คำยกยอปอปั้น คำดูหมิ่นดูแคลน แล้วใจของคุณจะบริสุทธิ์เหมือนใจเด็กเกิดใหม่ เงียบ ไม่มีอีโก้ ไม่บันทึกความทุกข์ ความขัดแย้ง ความเจ็บปวด มีแค่ความโปร่งใสและสิ่งสดๆใหม่ๆที่เกิดขึ้นตรงหน้าคุณทีละช็อตๆที่เดี๋ยวนี้ มีแต่ความรู้ตัว ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ไม่มีอะไรที่อธิบายได้ด้วยภาษา อยู่ๆก็รู้ขึ้นมาดื้อๆ

     วิธีปฏิบัติให้หลุดพ้นจากความคิดก็ต้องถอยความสนใจออกมาจากความคิดให้ได้ก่อนด้วยการสังเกตความคิด เมื่อถอยออกมาได้แล้วก็เอาความสนใจนั้นมาสนใจพลังงานในร่างกายแทน พลังงานของร่างกายแสดงออกผ่านความรู้สึกบนผิวหนัง มันรับรู้ได้ชัดมากในคนเป็นอัมพาต แต่ในคนปกติพลังงานของร่างกายซึ่งแผ่วเบาละเอียดอ่อนจะถูกกลบโดยพลังงานไฟฟ้าที่สมองสั่งการมาตามระบบประสาทซึ่งแรงกว่า ดังนั้นต้องผ่อนคลายร่างกายให้มากที่สุดก่อนจึงจะรับรู้พลังงานของร่างกายได้ พลังงานของร่างกายรับรู้ได้ในรูปของความรู้สึกวูบๆวาบๆจิ๊ดๆจ๊าดๆซู่ๆซ่าๆบนผิวหนัง  มันเป็นพลังงานที่ละเอียดอ่อนซึ่งเชื่อมโยงใกล้ชิดกับความรู้ตัวหรือจิตสำนึกรับรู้ซึ่งหากจะพูดให้ลึกไปกว่านี้ก็คือจิตสำนึกรับรู้นี้มันไม่ใช่ของใคร มันอยู่เหนือสำนึกการเป็นเจ้าของ มันเป็นของร่วมกันของสรรพชีวิต และเป็นอันเดียวกันกับสิ่งที่เราเรียกว่าเมตตาธรรม เมตตาธรรมนี้ไม่ใช่ความจำนะ ไม่ใช่ประสบการณ์จากอดีต ไม่ใช่ความคิด แต่มันเป็นพลังงานละเอียดอ่อนที่บ่งชี้ถึงความไว้วางใจหรือเชื่อใจ (trust) ว่าชีวิตทั้งหลายทั้งปวงนี้มันมีรากมาจากที่เดียวกัน เราและเขาเป็นสิ่งเดียวกัน เมื่อไว้วางใจอย่างนี้ก็มีความพร้อมที่จะหลอมรวมเป็นชีวิตเดียวกับชีวิตอื่นๆ พร้อมที่จะแชร์กันกับชีวิตอื่นไม่แยกเราแยกเขา นั่นแหละคือเมตตาธรรม ที่ปลายทางตรงนี้ความรู้ตัวหรือจิตสำนึกรับรู้กับเมตตาธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน ไม่มีสำนึกความเป็นเจ้าของ ไม่มีเราไม่มีเขา คนที่มาถึงตรงนี้แล้ว จะอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น นอนกลางคืนจะไม่ฝันเปะปะ เพราะความรู้ตัวจะยังคงแหลมคมแข็งแรงจนสำนึกความเป็นบุคคลหรืออีโก้ที่หากินอยู่กับความจำเก่าๆในอดีตจะไม่อาจฟื้นคืนชีพได้ง่ายๆแม้ในขณะหลับ ผมพูดถึงได้แค่นี้ ต่อจากนี้ไปผมทำได้แค่ชี้ไปที่ประตู ให้คุณเดินเข้าประตูไปเอง เพราะสิ่งที่อยู่ต่อจากนี้ไปอธิบายไม่ได้ด้วยภาษา คนเป็นๆที่ยังมีชีวิตอยู่คนไหนก็ตามที่พูดว่าเขารู้และอธิบายมันออกมาเป็นภาษาได้ ผมเดาเอาว่าเขายังไม่รู้

     ขอโทษด้วย คุณถามนิดเดียวแต่ผมตอบพล่ามยาวเหยียด เพราะการตอบคำถามของผมหากไม่ใช่คำถามทางการแพทย์แต่เป็นคำถามเชิงจิตวิญญาณผมจะตอบโดยไม่ต้องคิด อะไรถูกส่งเข้ามาในหัวก็จะถ่ายทอดพร่างพรูออกมาเหมือนเปิดน้ำก๊อก คุณอ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ไม่เป็นไรอย่าถือสาเลยนะ เผื่อคนอื่นเขาอาจจะอ่านรู้เรื่องและใช้ประโยชน์จากมันได้ก็ได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์