Latest

ลองเซอร์ไพร้ส์ระบบภูมิคุ้มกันดูไหมละ

เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ

     ดิฉันเป็นมะเร็งรังไข่ระยะที่ 4 แพร่กระจายไปตามอวัยวะอื่นแล้ว หมอให้หยุดเคมีบำบัดและการรักษาใดๆแล้ว แต่ตัวดิฉันยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้แย่ถึงขนาดนั้น เพราะยังเดินเหินไปมาและยังทำงานได้อยู่ มีอะไรที่ดิฉันควรทำและยังไม่ได้ทำอีกไหมคะ

………………………………………………

ตอบครับ

     ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเป็นปราการด่านสุดท้ายในการขจัดมะเร็งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดหากเขาจะทำงาน แต่เท่าที่ผ่านมาเขาไม่ทำงาน ในด้านเหตุที่ชักนำให้เกิดมะเร็งนั้น อย่างน้อยเหตุปัจจัยเสริมเท่าที่วงการแพทย์ทราบก็คือการดำเนินชีวิตของเราในแบบที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม สารพิษต่างๆในสิ่งแวดล้อม การขาดการออกกำลังกาย การมีความเครียดเรื้อรัง และพันธุกรรมของเราเอง ทั้งหมดนี้นำเรามาสู่จุดนี้ จุดที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่ยอมเป็นธุระขจัดเซลมะเร็งออกไปจากตัว หากเรายังคงดำเนินชีวิตในแบบเดิมอย่างที่ผ่านมาต่อไป เขาก็จะไม่ทำงานอยู่เหมือนเดิม มันจะต้องเป็นการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ที่ surprise เขาได้ จึงจะมีโอกาสที่เขาจะลุกขึ้นมาทำงานบ้าง ดังนั้นมาลองเซอร์ไพรส์ระบบภูมิคุ้มกันดูไหมละ

     วิทยาศาสตร์รู้แต่ว่ากลไกสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันที่ใช้ทำลายเซลมะเร็งคือเซลเม็ดเลือดขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเลือดขาวชนิดนักฆ่าตามธรรมชาติ (NK – Natural Killer) ซึ่งทำหน้าที่ลาดตระเวณไปทั้วร่างกาย เมื่อใดที่พบเซลไหนหน้าตาผิดแผกไปจากเซลปกติก็จัดการรุมกินทันทีโดยไม่ต้องรอรับฟังข่าวสารคำสั่งจากใคร แต่ว่าการทำงานของระบบเม็ดเลือดขาวนี้มันเป็นแบบบัดเดี๋ยวขยัน บัดเดี๋ยวขี้เกียจ ปัจจัยที่จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำกิจสำเร็จนั้นวงการแพทย์ยังไม่รู้ครบถ้วน รู้แต่ว่าธาตุเล็กธาตุน้อย (trace element) ซึ่งมีอยู่ในพืชที่หลากหลายเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของเซลร่างกายทุกระบบรวมทั้งระบบภูมิคุ้มกันนี้ด้วย ดังนั้นอาหารพืชที่หลากหลายจึงเป็นสิ่งจำเป็น ส่วนปัจจัยที่จะเบรกไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานนั้น ตัวเอ้ตัวหนึ่งก็คือภาวะเครียด (stress) เพราะเป็นธรรมชาติว่าเมื่อมีสิ่งคุกคามร่างกายจะเข้าสู่ภาวะเครียด และเมื่อใดที่เครียดร่างกายจะปิดระบบที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนสามระบบคือระบบภูมิคุ้มกัน ระบบทางเดินอาหาร และระบบสืบพันธ์ เพื่อเอาทรัพยากรไปใช้กับระบบอื่นที่จำเป็นเร่งด่วนกว่า ปัญหาคือสาเหตุของภาวะเครียดของชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ไม่ใช่การหนีเสือสิงห์ที่จะมาจับเรากินซึ่งเป็นความเครียดชั่วคราวอย่างในอดีต แต่สมัยนี้สาเหตุของความเครียดมันเป็นความคิดลบของเราเองซึ่งวนเวียนอยู่ในหัวไม่ไปไหนจนกลายเป็นความเครียดเรื้อรัง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต้องถูกปิดการทำงานยาว

     การจะเซอร์ไพรส์ระบบภูมิคุ้มกัน ก่อนอื่นคุณต้องปลดปล่อยระบบภูมิคุ้มกันให้เขาพ้นจากอิทธิพลของความคิดลบทั้งมวลให้ได้ก่อน ความคิดลบของคนเรานี้มีอยู่สองอย่าง คือ

     (1) การยึดติดถวิลหาหรืออยากได้สิ่งดีๆที่เคยได้ (attachment)
   
     (2) การอยากหนีสิ่งเลวๆที่กลุ้มรุมอยู่ตอนนี้ (non-acceptance)

     การจะปลดความคิดลบทั้งสองให้เหลือศูนย์มีวิธีเดียว คือจะต้องยอมรับ (acceptance) หรือยอมแพ้ (surrender) ต่อทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขให้ได้ก่อน

     ความกลัวนั้นแน่นอนว่าเป็นสิ่งเลวร้าย ความกลัวพาจะคุณหนีออกจากปัจจุบันไปอยู่กับลมๆแล้งๆในอนาคต ความกลัวเป็นความคิดลบที่บงการคุณได้ ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะยังไม่เวอร์คหรอกหากคุณยังอยู่กับความกลัว

     การอยู่กับความหวังก็เป็นการแสดงถึงการไม่ยอมรับสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ถ้าเรายอมรับสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ 100% เราก็ไม่ต้องไปตั้งความหวังอะไร ถูกแมะ เพราะที่มีอยู่ที่เป็นอยู่เรายอมรับได้หมดแล้ว ดีแล้ว พอแล้ว ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ดังนั้นความหวังก็ไม่ต้องไปสร้างหรือฟูมฟักมันไว้หรอก เพราะความหวังเองก็เป็นตัวร้ายคอยพาเราลี้ภัยหนีออกจากปัจจุบันไปอยู่กับลมๆแล้งๆในอนาคตเช่นกัน

     กล่าวโดยสรุป ผมแนะนำให้คุณวางความคิดทั้งหมดลงเสีย วิธีวางก็ด้วยการแอบสังเกตดูความคิดแบบไม่เข้าไปคิดต่อยอด เมื่อถูกสังเกต มันจะฝ่อไปเอง นอกจากวางความคิดทั้งหมดลงแล้ว ให้ทิ้งตัวชี้วัดใดๆไปให้หมดด้วย ไม่ต้องตามดู หันมาอยู่กับความรู้ตัวที่นี่ เดี๋ยวนี้ ทีละช็อต ทีละช็อต ยอมรับทุกอย่างที่มาถึง ณ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ แบบสดๆซิงๆ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ทิ้งความจำในอดีตทั้งมวลไปเสีย ทิ้งอนาคตไปเสียด้วย แล้วรับมือกับทุกอย่างซึ่งๆหน้า ตรงๆ ทีละช็อตในปัจจุบัน ในรูปแบบของความกระดี้กระด๊าที่จะได้พบกับความตื่นเต้นท้าทายใหม่ๆที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะในชีวิตหนึ่งนี้ใครจะไปรู้ได้ว่าช็อตต่อไปของชีวิตอะไรจะมา นี่แหละคือความท้าทายในชีวิต และนี่แหละคือการใช้ชีวิตแบบใหม่ๆสดๆ ไม่ใช่แบบเก่าๆอับๆจืดๆชืดๆอยู่กับความกลัวและความหวังลมๆแล้งๆเดิมๆ  ถ้าความตายจะมาถึงเวลาใดก็ยอมรับมันที่ ณ เวลานั้น ไม่วิ่งหนีอะไร ไม่วิ่งหาอะไร แค่ที่มีอยู่ เป็นอยู่ ณ เดี๋ยวนี้ มีอากาศหายใจ มีน้ำให้ดื่ม มีอาหารให้กิน ก็เพียงพอที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพและมีความหมายในช็อตนี้ได้แล้ว ให้คุณใช้ทุกเวลานาทีฝึกฝนทักษะที่จะสังเกตแล้ววางความคิดซึ่งโผล่ขึ้นมาทุกขณะลงโดยไม่ให้มาระคายเคืองความสงบเย็นซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของความรู้ตัว อยู่อย่างสงบเย็นและทำกิจที่พึงทำเฉพาะสำหรับวันนี้ก็พอแล้ว วันอื่นช่างมันก่อน

     และก่อนนอนทุกวันให้คุณ “ซ้อมตาย” ด้วยการบอกตัวเองว่าการเข้านอนครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้จะไม่มีแล้ว หลับไปครั้งนี้จะไม่ตื่นมาอีกแล้ว ให้คุณตั้งใจที่จะเข้าไปสู่ความหลับอย่างรู้ตัวโดยไม่มีความคิดใดๆมาครอบหรือบงการอยู่เบื้องหลัง รู้ตัวอยู่ทุกขณะโดยไม่มีความคิดจนหลับไป โดยไม่ต้องไปคิดด้วยว่าตายแล้วจะไปไหน เอาแค่เข้าไปสู่การหลับซึ่งเราสมมุติว่าเป็นความตายอย่างรู้ตัวและสงบเย็นเท่านั้น

     หากทำได้อย่างนี้ ใจจะนิ่ง สงบเย็น ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจึงจะเซอร์ไพรส์ (surprised) ส่วนที่ว่าคุณทำได้อย่างนี้แล้ว ปลดเขาออกจากอิทธิพลของความคิดลบใดๆแล้ว เขาจะลุกขึ้นมาทำงานของเขาหรือไม่ นั่นมันเรื่องของเขา นั่นอยู่นอกเขตอำนาจของคุณ คุณไม่ต้องไปคาดหมายอะไรกับเขา คุณได้ทำหน้าที่ของคุณแล้ว ส่วนเขาจะเอาอย่างไรกับหน้าที่ของเขาก็ให้คุณยอมรับ ได้มีชีวิตอยู่เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีๆต่อไปอีกวันหนึ่ง ก็โอเค. หรือจะตายไปอย่างรู้ตัวและสงบเย็นในวันนี้ ก็โอเค. สรุปก็คือโอเค.ทั้งนั้น แล้วให้คุณมองชีวิตทีละวันเท่านั้นนะ ไม่ต้องไปพูดไกลถึงวันพรุ่งนี้ ให้คุณใช้ทุกเวลานาทีที่ร่างกายนี้ยังรับใช้คุณได้อยู่ไปกับการฝึกวางความคิดเพื่อหันมาอยู่กับความรู้ตัวอย่างสงบเย็นที่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ทีละช็อต ทีละช็อต

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์