Latest

หมอสันต์พูดเรื่องการปรับวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง ในวันเปิดแค้มป์ลดน้ำหนัก

สวัสดีครับ

     เราจะอยู่ด้วยกันเจ็ดวัน

     ผมรับทราบจากแพทย์ที่ตรวจร่างกายทุกท่านว่าแม้แค้มป์นี้จะเป็นแค้มป์ลดน้ำหนัก แต่บางท่านก็ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก แต่มาเข้าแค้มป์นี้เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตตัวเองดีก็มี ซึ่งอาจมาถูกที่ก็ได้นะ

     อย่างไรก็ตาม แค้มป์นี้เราจะโฟกัสแต่เรื่องการลดน้ำหนัก งานวิจัยพบว่าการลดน้ำหนักสำคัญที่อาหาร แต่งานวิจัยเปรียบเทียบผลของการลดน้ำหนักด้วยสูตรอาหารยอดนิยมสี่สูตรพบว่าทุกสูตรลดน้ำหนักได้ใกล้เคียงกันในระยะต้น ในระยะปลายตัวตัดสินคือความอึดว่าใครจะอึดอยู่กับสูตรอาหารของตนได้นานกว่ากัน ความอึดนี้ก็คือแรงบันดาลใจหรือ motivation ใครมีแรงนี้มากกว่าก็จะประสบความสำเร็จในระยะยาว ดังนั้นแค้มป์ลดน้ำหนักทุกแค้มป์ก็ล้วนเน้นการสร้างความบันดาลใจเหมือนกันหมด แค้มป์นี้ก็ไม่เว้น

     วิธีการที่เขาใช้กันทั่วไปในการสร้างความบันดาลใจคือการกระตุ้นให้คิดบวกหรือด้วยการสั่งจิตหรือสะกดจิตตัวเองแบบที่เรียกว่า NLP นั้นเป็นวิธีทางจิตวิทยาที่ได้ผลกับคนจำนวนหนึ่ง

     แต่วิธีการของผมนั้นจะแตกต่างออกไป คือจะไม่อาศัยความคิด แต่จะอาศัยพลังชีวิตซึ่งอยู่ที่ส่วนลึกในตัวของเราทุกคน เป็นพลังชี้นำและขับเคลื่อนให้เราเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

     พลังชีวิต ภาษาแขกเรียกว่า “ปราณา” ภาษาจีนเรียกว่า “ชี่” มันเป็นพลังงานพื้นฐานของร่างกายเราที่ได้มาจากอากาศ น้ำ อาหาร และพลังงานจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา

     พลังชีวิตนี้ มันเชื่อมโยงกับพลังงานจากภายนอกที่เราเรียกว่าเกรซ (Grace) หรือพลังเมตตา ซึ่งมีศักยภาพไม่มีขีดจำกัด ทั้งในแง่พละกำลังความสดชื่น (ecstasy) และในแง่ปัญญาญาณ (intuition) ที่จะช่วยให้เรารู้เห็นเข้าใจสิ่งต่างๆตามที่มันเป็น

     ในด้านหนึ่งเราได้พลังชีวิตมาจากอากาศ น้ำ อาหาร และการเปิดรับเชื่อมโยงกับพลังเมตตาจากภายนอก ในอีกด้านหนึ่งเราก็เสียพลังชีวิตไปกับความคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดลบๆ

     ความคิดลบเช่น อิจฉา อยากเอาชนะ โกรธ เกลียด หงุดหงิด ไม่พอใจ ไม่ได้อย่างใจ น้อยใจ รู้สึกกลัวกลัวแพ้ กลัวการสูญเสีย กลัวคนอื่นได้ดี มีแต่อยากได้ไม่รู้จักพอ ไม่อยากให้อะไรใคร มองเห็นแต่ความขาดแคลนในชีวิต ความบกพร่องในชีวิต เหล่านี้เป็นรูรั่วที่พลังชีวิตพากันรั่วออกไปจากตัวเรา เหลือไว้แต่ซากร่างกายที่ไร้พลัง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ มีแต่จมอยู่กับความคิดที่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์อย่างโงหัวไม่ขึ้น

     ดังนั้นในเจ็ดวันที่อยู่ด้วยกันนี้ ยุทธศาสตร์หลักของแค้มป์นี้คือทิ้งความคิดไปให้หมด ถอยความสนใจของเรากลับเข้ามาในตัว มาอยู่กับพลังชีวิต ทิ้งจนไม่เหลือความคิดอะไรอยู่ในหัวเลย ทิ้งเป้าหมายว่าจะลดน้ำหนักให้ได้กี่กิโลในเวลากี่วันไปเสียด้วย ทิ้งความหวั่นใจว่าจะทำนั่นได้หรือไม่ได้ไปเสียด้วย

     เมื่อทิ้งความคิดไปแล้ว ก็จะเหลือแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า มีอะไรบ้างที่อยู่ตรงหน้าเรา ณ ขณะนี้

     อย่างที่หนึ่ง มีความสนใจของเราอยู่ละ หมายความว่าเรายังตื่น ไม่หลับ ยังสนใจรับรู้อะไรได้

     อย่างที่สอง มีสิ่งเร้าเข้ามาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง สัมผัส อย่างเช่นลมแอร์มาถูกผิวหนังเย็นๆนี่ก็เป็นการสัมผัสรับรู้โดยร่างกาย เป็น sensation หรือ feeling บนร่างกาย

     เมื่อใดที่เรา feel ร่างกายของเราได้ นั่นหมายความว่าเมื่อนั่นเราได้วางความคิดมาอยู่กับร่างกายได้สำเร็จแล้ว

     เรามาลองอะไรกันสักอย่างนะ เอ้า.. คุณนั่งตัวตรงขึ้น ไม่ต้องพิงพนัก ลองหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ กลั้นไว้สักพัก แล้วผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆพร้อมกับสั่งให้กล้ามเนื้อทั่วตัวผ่อนคลาย หายใจเข้าออกธรรมดาสองสามครั้ง แล้วเอาใหม่ หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพัก แล้วผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆพร้อมกับสั่งให้กล้ามเนื้อทั่วตัวผ่อนคลาย แล้วคุณลองลาดตระเวณความสนใจไปรับรู้ผิวหนังและกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ผิวหนังตรงไหนมีความรู้สึกชา เหน็บ ยุบๆยิบๆ คัน หรือเจ็บ ก็รับรู้ กล้ามเนื้อตรงไหนมันผ่อนคลายแล้ว ตรงไหนมันยังตึงอยู่ ส่วนที่ตึงก็สั่งให้มันผ่อนคลายซะ พอมันคลายแล้วเราก็รับรู้ความผ่อนคลายนั้น นี่เรียกว่าการทิ้งความคิดมาอยู่กับความรู้สึกบนร่างกาย

     คราวนี้ผมขอคุณ … ออกมาเป็นตัวแทนเพื่อนๆนะ

    คุณเอาถ้วยกาแฟที่มีน้ำอยู่ข้างในถ้วยนี้ทูนไว้บนหัว อย่างนี้

     “จะดีหรือครับ”

     จะดีหรือครับ..นี่เป็นความคิดนะ เป็นความคิดคาดการณ์ไปถึงสิ่งที่น่ากลัวในอนาคต คุณทิ้งความคิดไปให้หมดก่อน อยู่กับชีวิตเฉพาะช็อตที่อยู่ตรงหน้านี้ หนึ่งช็อตผมนิยามง่ายๆว่าหนึ่งลมหายใจเข้าออก อย่าไปคิดอะไรไกลกว่านั้น ดีหรือไม่ดี ได้หรือไม่ได้ เป็นเรื่องที่ไกลเกินไป เอาแค่ช็อตนี้ ที่มีถ้วยกาแฟวางอยู่บนหัวแล้วนี่ ให้คุณรู้สึกถึงการมีอยู่ของถ้วยกาแฟ feel น้ำในถ้วยกาแฟเสมือนหนึ่งว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายคุณ feel ความรู้สึกบนร่างกายทุกส่วน ร่างกายกำลังเอียงหน้าหรือเอนไปหลัง เอียงซ้ายหรือเอียงขวา ตรงไหนตึงตรงไหนหย่อน ตรงไหนตึงก็สั่งให้มันผ่อนคลาย ตรงไหนเอียงก็ปรับ เพื่อให้ถ้วยกาแฟนี้ตั้งอยู่ได้ คุณกำลังอยู่กับความรู้สึกบนร่างกาย โดยไม่ต้องไปคิดอะไรต่อยอด

     ขั้นต่อไปคือให้คุณหัดออกมาเสียจากมิติของเวลาในใจ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทีละแว้บ ทีละแว้บ

     คราวนี้ผมจะให้คุณก้าวเดินไปข้างหน้าสิบก้าวโดยมีถ้วยกาแฟที่เต็มเปี่ยมทูนอยู่บนหัวนี่แหละ คุณก้าวเท้าซ้ายออกมาหนึ่งก้าวก่อนซิ แล้วหยุด นี่เป็นก้าวที่หนึ่ง คุณสนใจตรงนี้เท่านั้น สนใจว่าตรงนี้คุณกำลังก้าว ก้าวที่หนึ่ง อย่าไปสนใจก้าวที่สอง สาม สี่… หรือสิบ ไม่ต้องไปคิดว่าถ้าถ้วยตกแตกหน้าชั้นอย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องไปคิดว่าจะเดินได้ถึงสิบก้าวหรือเปล่า เพราะคุณกำลังจะออกก้าวก้าวที่สอง สนใจแต่ก้าวที่สองเท่านั้น

     คราวนี้คุณก้าวเท้าขวาออกมาเป็นการก้าวก้าวที่สองซิ โอเค. คุณสนใจอยู่แค่ตรงนี้ ก้าวที่หนึ่งไม่มีแล้ว มันผ่านไปแล้ว คุณสนใจแค่ก้าวที่สอง ก้าวสาม สี่ ห้า ก็ไม่ต้องสนใจ เพราะมันยังไม่มี สนใจแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าที่มีอยู่ คือก้าวที่สอง

     คราวนี้ผมจะให้คุณเดินไปข้างหน้าจนครบสิบก้าวอย่างช้าๆมั่นคง โดยคุณสนใจเฉพาะก้าวที่กำลังเดินเท่านั้น นับออกเสียงไปด้วย เอ้า สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ

     โอเค.ขอบคุณมาก

     การอยู่ด้วยกันเจ็ดวันเราจะอยู่กันอย่างนี้ คืออยู่กับปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ อยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทีละช็อต ทีละช็อต ไม่ไปเสียดายเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ไม่ไปกังวลเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ไม่พะวงถึงความต่อเนื่องด้วย เมื่อสิ่งที่ทำมาขาดตอนไปก็เริ่มใหม่ที่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปเสียใจที่มันขาดตอน ไม่ต้องไปกังวลว่าอนาคตมันจะไม่ต่อเนื่อง ความต่อเนื่องเป็นความคิดในมิติของเวลา มันจะหลอกล่อคุณไปหาความหวังกับความกลัว ทิ้งมันไปเสีย ทิ้งความต่อเนื่อง เอาแต่เดี๋ยวนี้ ทิ้งความคิดไปให้หมด ไม่มีความคิด ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีความหวัง ไม่มีความกลัว เปิดใจยอมรับอะไรก็ตามที่มานำเสนอต่อคุณ ณ ปัจจุบัน ที่นี่ เดี๋ยวนี้ อะไรก็ตามที่ถูกเสนอเข้ามาถึงตรงหน้าแล้ว คุณยอมรับหมด ไม่วิ่งหนีสิ่งที่มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่วิ่งตามหาสิ่งที่ยังไม่มี อยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไปทีละช็อตๆ รับรู้ความรู้สึกบนร่างกายเป็นระยะๆอย่างไม่มีความคิด สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่้ต้องไปสนใจเป้าหมายในอนาคต เรียนรู้ที่จะเพิ่มความสามารถให้ตัวเองเพื่อรับมือกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทีละช็อตๆก่อน อย่าไปคิดไกลถึงการบรรลุเป้าหมายว่าจะลดน้ำหนักให้ได้กี่กิโลในเวลากี่วันกี่เดือน ชีวิตจริงไม่มีเวลาในใจ เวลาในใจเป็นของหลอก สมมุติว่าคุณไต่ราวอยู่ถ้าตาข้างหนึ่งของคุณอยู่ที่เป้าหมายที่ปลายราว อีกตาอีกข้างหนึ่งอยู่ที่จะก้าวตรงหน้า คุณล้มตกจากราวแน่นอน

    โดยวิธีอยู่กับปัจจุบันไปทีละช็อตอย่างนี้ ความสนใจของคุณจะค่อยๆเข้าถึงและกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพลังชีวิตของคุณเอง ไม่มีความคิด นั่นหมายความว่าจิตคุณเป็นสมาธิแล้ว จากจุดนั้นพลังชีวิตของคุณจะเชื่อมโยงคุณเข้ากับเกรซหรือพลังเมตตาจากภายนอก มันจะเป็นพลังงานจากภายนอกที่ไหลเข้ามาสู่คุณเมื่อคุณมีสมาธิ มันเป็นพลังขับดันที่ไร้ขอบเขตและจะกลายเป็นปัญญาญาณที่จะนำทางชีวิตให้คุณได้อย่างที่คุณไม่เคยพบเคยรู้มาก่อนว่าคุณเองมีของดีนี้อย่างนี้อยู่ในตัว

    ในการอยู่ด้วยกันเจ็ดวันที่แค้มป์นี้ ให้คุณเลิกหวาดระแวง อย่าเผลอตามความคิดหวาดระแวงที่อีโก้ของคุณชงขึ้นมาเพื่อรักษาฟอร์มหรือปกป้องความล้มเหลวของตัวอีโก้เอง ให้คุณไว้วางใจปัญญาญาณส่วนลึกของคุณว่ามันจะนำสิ่งดีๆมาสู่ตัวคุณเสมอ เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ที่เสนอตัวมาที่เดี๋ยวนี้ อย่าไปตั้งการ์ดปกป้องอีโก้ของตัวเองที่กลัวความล้มเหลวกลัวจะเสียรังวัด อีโก้เป็นเพียงความคิด ความคิดเป็นความคิดของคุณก็จริง แต่มันไม่ใช่คุณ มันถูกชงขึ้นมาแบบอัตโนมัติในหัวคุณด้วยกลไกอัตโนมัติที่เอาความจำในอดีตมาบวกกับความเชื่อเรื่องเวลาว่าเป็นของจริง ความกลัวคือความคิดว่าสิ่งเลวๆที่เคยประสบมาในอดีตจะเกิดกับคุณ คุณอย่ากลัวอะไร ความกลัวเป็นแค่ความคิด ความคิดไม่ใช่คุณ คุณคือผู้สังเกตเห็นความคิด คุณจริงๆคือความรู้ตัวที่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับพลังชีวิตและเชื่อมโยงกับเกรซจากภายนอก ไม่ต้องไปเข้าเป็นพวกด้วยกับอีโก้ ปลดวาระของอีโก้ออกจากวาระการประชุมเสียก่อน ผ่อนคลาย สบายๆ ให้คุณเชื่อ ให้คุณ trust ในปัญญาญาณส่วนลึกของคุณ ปล่อยวางความหวาดระแวง เปิดใจเรียนรู้ รับรู้สิ่งใหม่ๆสดๆที่เข้ามา สนองตอบต่อความอยากรู้อยากเห็นที่เกิดขึ้นที่เดี๋ยวนี้อย่างตั้งใจจดจ่อ แล้วอดทนรอผลอย่างใจเย็นโดยไม่ร้องเรียนหรือเรียกร้องอะไรมากไปว่าสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แล้วคุณจึงจะมีความอึดที่จะดลบันดาลให้คุณลดน้ำหนักได้สำเร็จ

     ความอ้วนเป็นโรคเรื้อรังนะ โรคเรื้อรังทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคไขมันในเลือดสูง ความดันเลือดสูง โรคหัวใจ อัมพาต โรคไตเรื้อรัง โรคมะเร็ง วงการแพทย์ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายได้ ถ้ารักษาให้หายได้มันก็คงไม่ถูกจัดให้เข้าเข่งโรคเรื้อรังแล้วใช่ไหม ประเด็นสำคัญ คือ

     “การกินแบบเดิมๆ การใช้ชีวิตแบบเดิมๆ นำเรามาสู่จุดนี้ หมายถึงจุดที่เราป่วยเป็นโรคเรื้อรัง เราไม่มีทางออกจากจุดนี้ได้หากเรายังกินแบบเดิมๆ และใช้ชีวิตแบบเดิมๆ” 

     เราจะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง เราจึงจะพาตัวเองออกจากจุดนี้ได้ วิธีการของแค้มป์นี้คือคุณจะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณทันทีอย่างสิ้งเชิง ในแปดประเด็นต่อไปนี้

     1. คุณจะต้องเปลี่ยนท่าร่าง (posture) ของคุณเสียใหม่ จากท่าร่างที่งองุ้มเป็นยืดตัวขึ้น อกผาย ไหล่ผึ่ง แขม่วพุง ไม่ว่าจะนั่งยืนหรือเดิน คุณต้องยืดตัวขึ้นอย่างนี้

     2. คุณจะต้องเปลี่ยนวิธีเคลื่อนไหว (motion) ของคุณเสียใหม่ พูดถึงตรงนี้ผมขอให้คุณ … ออกมาเป็นตัวแทนเพื่อนๆนะ เอ้า ทิ้งไม้เท้าไปก่อน ไม่ต้องพึ่งไม้เท้า คุณลองเดินจากตรงนี้ไปสุดโน้นแล้วเดินกลับมา โอเค. คราวนี้ผมให้คุณเดินแบบใหม่ คุณเดินแบบนี้นะ ยืดตัวขึ้น เดินยกขาขึ้นสูง เดินให้เร็ว ก้าวให้ยาว ฉับๆๆๆ แล้วพอไปสุดให้หันกับมาแบบทวิสเทอร์นของชะ ชะ ช่า ฟับ..บ แบบนี้ เอ้า ลองทำดูซิ เจ๋งมาก (เพื่อนๆตบมือให้) คือให้ทุกคนเลิกเคลื่อนไหวช้าๆเงื่องๆหงอยๆมาเป็นเคลื่่อนไหวเร็ว เดินเร็ว กระฉับกระเฉง ว่องไว มีจังหวะจะโคน ฟุบฟับ ฟุบฟับ

     3. คุณจะต้องฝึกวางความคิด ถอยความสนใจของคุณออกจากความคิดมาอยู่กับความรู้ตัว (awareness) อยู่ที่ตรงนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในแค้มป์นี้เราจะเรียนจะฝึกเรื่องนี้กันบ่อยๆ เพราะตรงนี้เป็นหัวใจของการเกิดพลังที่จะทำให้คุณเดินหน้ากับชีวิตต่อไปได้

     4. คุณจะต้องผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกาย (relaxation) ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา ทุกครั้งที่หายใจออกให้คุณผ่อนคลายร่างกาย ลองยิ้มที่มุมปากดู หากยังยิ้มไม่ได้ก็แสดงว่าอย่างน้อยกล้ามเนื้อใบหน้าของคุณยังไม่ผ่อนคลาย การผ่อนคลายกล้ามเนื้อเป็นวิธีวางความคิดวิธีหนึ่ง เพราะความคิดมีสองขา ขาหนึ่งปรากฎเป็นเนื้อหาสาระของความคิด อีกขาหนึ่งปรากฎเป็นอาการของร่างกาย เมื่อผ่อนคลายร่างกาย ความคิดก็ถูกวางลงโดยอัตโนมัติ

     5. คุณจะต้องเปลี่ยนการกิน (eating) คือ (1) เปลี่ยนจากการกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์เป็นหลัก มากินพืชในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติที่ปรุงโดยไม่ใช้น้ำมันเป็นหลัก (low fat plant based, whole food) (2) เปลี่ยนขั้นตอนการกินเสียด้วย จากเดิมที่กินอาหารหนักก่อน แล้วตามด้วยผลไม้ แล้วตามด้วยน้ำ (3) ให้เปลี่ยนเป็นเริ่มด้วยน้ำก่อน แล้วตามด้วยผลไม้ แล้วถ้ายังหิวค่อยตามด้วยอาหารหนัก (4) แล้วคุณไม่ต้องกินจนอิ่ม อีกสิบคำยี่สิบคำจะอิ่มก็หยุดได้ เพราะอาหารสำรองคุณมีแยะแล้ว ไม่จำเป็นต้องอิ่มตลอดเวลา และหากถึงเวลากินแล้วคุณไม่หิว ก็ไม่ต้องกิน (5) เอาน้ำเปล่าเป็นเครื่องดื่มประจำตัวของคุณ เลิกดื่มเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลไปเสียให้หมด

     6. คุณจะต้องเปลี่ยนสไตล์ชีวิตแบบนั่งจุมปุ๊กทั้งวันมาเคลื่อนไหวไปมาทั้งวัน ผมหมายถึงการออกกำลังกาย (exercise) แต่ไม่ได้โฟกัสที่จะให้คุณเข้ายิมวันละชั่วโมง แต่โฟกัสที่กิจกรรมที่คุณทำทั้งวันตั้งแต่ตื่นนอนจนกลับเข้านอน ขอให้ทำอะไรก็ได้ให้คุณมีการเคลื่อนไหวทั้งวัน เจ็ดวันที่อยู่ในแค้มป์นี้ผมจะพาคุณออกไปทำกิจกรรม outdoor ทุกวัน เพื่อให้คุณคุ้นกับสไตล์ชีวิตแบบใหม่นี้

     7. คุณจะต้องจัดเวลาเพื่อตัวเอง (personal time) อย่างน้อยวันละหนึ่งชั่วโมง ต้องจัดตรงนี้ให้ได้ คุณต้องดีต่อตัวเองให้ได้อย่างน้อยเท่ากับที่คุณดีต่อคนอื่น ถ้าแค่จัดเวลาให้ตัวเองวันละชั่วโมงไม่ได้ก็จบข่าว เรื่องอื่นไม่ต้องไปพยายาม มันไม่สำเร็จดอก ในเวลาหนึ่งชั่วโมงนี้คุณจะทำอะไรก็ได้ แต่ขออย่าให้มีความคิด ให้วางความคิด จะนั่งสมาธิ ทำโยคะ ไทชิ หรือออกกำลังกายอะไรก็ได้ หรือแม้จะนั่งเฉยๆก็ยังได้ ขอแค่อย่ามีความคิด วันละหนึ่งชั่วโมงทุกวันนี่เป็นการสร้างนิสัย สิ่งที่คุณทำได้ทุกวันจะเป็นนิสัยของคุณ แล้วนิสัยที่ทำได้ทุกวันนี่แหละที่จะมีอำนาจอิทธิพลพาชีวิตคุณไป ไม่ใช่สิ่งใหญ่โตที่คุณทำสำเร็จได้นานๆครั้ง สิ่งนั้นมันดูใหญ่โตก็จริงแต่มันไม่มีอำนาจดลบันดาลอะไรได้เทียบเท่ากับนิสัยที่คุณสามารถทำได้ทุกเมื่อเชื่อวันนี่หรอก

     8. ให้คุณขยันถามตัวเองบ่อยๆ ว่า “วันนี้ตื่นมาทำไม” หรือ “เกิดมาทำไม” ถามซ้ำๆซากๆจนได้คำตอบเดิมซ้ำๆซากๆ คำตอบนั้นแหละ ที่จะเป็นธงชัยนำชีวิตคุณโดยไม่ต้องไปรอให้ครูหรือโปรแกรมอินเตอร์เน็ทใดๆมาบอกว่าคุณควรดำเนินชีวิตของคุณอย่างไร

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์